วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                เราก้าวล่วงเวลาของปีใหม่ ค.. 2013 หรือ พ.. 2556 มาได้ 6 วันแล้ว พ่อมีความรู้สึกว่าเวลาของเราแต่ละคนผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆนะครับ ไม่ว่าพี่น้องจะเห็นด้วยกับพ่อหรือไม่ก็ตาม เวลาก็หมุนไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอไม่มีวันหยุดพัก เราพึ่งจะผ่านช่วงวันหยุดพักผ่อนช่วงปีใหม่มาได้หลายวันแล้ว บางคนโชคดีได้หยุดงานตั้งแต่หลังการฉลองคริสต์มาสเรื่อยมาจนถึงช่วงวันหยุดยาวปีใหม่เสียด้วยซ้ำ เวลาที่เราหยุดพักผ่อนจากหน้าที่การงานปกติ เราก็อยากจะหยุดเข็มนาฬิกาเอาไว้ไม่ให้เดินไปข้างหน้าด้วยกันกับวันหยุดของเรา แต่เราก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเวลาไม่เคยหยุดพัก เวลาของทุกคนหมุนไปข้างหน้าเสมอ
            ช่วงปีใหม่หลายคนมีโอกาสไปร่วมงานเค้าท์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ รายงานข่าวจากทั่วโลกชี้ให้เห็นว่าคนจำนวนมากไปร่วมงานนับเวลาถอยหลังเพื่อเฉลิมฉลองการเริ่มต้นศักราชใหม่ ทำให้เราคิดกันไปว่า เวลามันเดินถอยหลังได้ เพราะมีการนับเลขถอยหลังจาก เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ศูนย์ ตัวเลขที่นับถอยหลังกันนี้ไม่ได้หมายความว่า เวลาหมุนถอยหลังได้ เพราะแท้ที่จริงเป็นการหมุนไปข้างหน้าตามปกตินั่นแหละ และด้วยเหตุนี้เองเราจึงไม่สามารถย้อนเวลาไปหาอดีตเพื่อแก้ไขสิ่งที่เคยทำเอาไว้ในอดีตได้ อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถนำกลับมาเป็นปัจจุบันเพื่อเราจะแก้ไขการกระทำของอดีตให้เปลี่ยนไปจากเดิมได้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงชอบคติพจน์ที่ว่า "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" เพราะถ้าเราทำดีเต็มที่ตามศักยภาพและโอกาสที่เรามีแล้ว ก็ไม่ต้องเสียใจกับการกระทำของเราอีกเมื่อเวลาผ่านไป
            สิ่งที่เราควรคิดถึงเสมอคือ "อนาคต" เพราะอนาคตยังมาไม่ถึง เรายังมีเวลาในการตระเตรียม เรื่องราวต่างๆให้พร้อมสรรพได้ พ่อเจอะเจอลูกศิษย์หลายคน เดี๋ยวนี้เขาเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงาน มีครอบครัว มีอาชีพที่ดีมั่นคง รับผิดชอบในหน้าที่สำคัญๆขององค์กร ความรู้สึกแรกที่พบกันคือ ดีใจ ที่ได้พบกันอีก แต่ก็อดที่จะรำลึกถึงความหลังเมื่อหลายปีก่อนหน้า ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมา พร้อมกับเรื่องราวในหนหลัง เมื่อหันกลับมาคิดถึงปัจจุบัน และ อนาคตที่จะมาถึงก็พบว่า เออ เวลาผ่านไปเร็วนะ หลายครั้งยังคิดอยู่ว่า เราไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เราก็ยังเป็นคนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เวลา และ อายุต่างหาก แม้เวลาของเราแต่ละคนหมุนไปไม่เคยหยุด แต่ต้องไม่ลืมว่า เราแต่ละคนมีเวลาที่จำกัดนะครับ อย่าลืมความจริงประการนี้ไปเสียล่ะ
            วันนี้เรามีพิธีอวยพรเด็กๆ เด็กเหล่านี้แหละคืออนาคตของเรา เขาเหล่านี้แหละคือผู้ที่จะมาสืบต่ออนาคตของชุมชนวัดของเรา ให้เราช่วยกันหล่อหลอมปลูกฝังเขาให้มีความเชื่อที่มั่นคง เพื่อเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวและวัดของเราในอนาคตครับ

พ่อสุพจน์
...................................................................................................................................................................
ทางแสงดาว
อาทิตย์ส่งท้ายเทศกาลพระคริสตสมภพกันแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเทศกาลแห่งความยินดีนี้ ได้แบ่งปัน ได้สนุกสนาน และชื่นชมกับการบังเกิดมาของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเราอย่างไรกันบ้าง? แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีคำตอบสำหรับตนเองต่างๆ นานากันออกไป แต่ทั้งหมดก็คือความยินดีนั่นเอง
พ่อเองมีบทเพลงที่ชื่นชอบอยู่เพลงหนึ่งที่เข้ากับวันฉลองนี้ได้อย่างดี แม้ไม่ใช่เพลงที่คาทอลิกเราแต่งขึ้น แต่คริสตจักรไมตรีจิต ได้รังสรรค์เพลงนี้ขึ้นมาอย่างสวยงาม อยู่ในบทเพลงชุด “ตลอดเวลา” หากหาฟังได้ก็ลองหามาฟังกันดูนะครับ ไพเราะและมีความหมายดีจริงๆ เนื้อเพลงมีว่า
“ในคืนพระคริสต์บังเกิด มีดาวบนฟ้ามากมาย แต่มีดวงดาวหนึ่งดวงส่องแสงโดดเด่นกว่าดาวนับร้อยพัน ในคืนที่ฟ้าบรรเจิด มองเห็นมีชายสามคน เดินทางมาจากแดนไกลโพ้น เดินตามดาวบนฟ้ามา
นักปราชญ์สามคนที่มองเห็นดวงดาว และได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่สำคัญ จึงออกเดินทางไปตามแสงของดวงดาว เดินออกไปตามทางที่ดาวนำ
ออกเดินผ่านทะเลทราย ผ่านเขาและลำน้ำใหญ่ ไปเพื่อพบกับองค์พระคริสต์ ที่บังเกิดมาเพื่อเรา
เพราะรักมากมายจึงบังเกิดมาเพื่อเรา เพื่อนำเส้นทางชีวิตทุกคน
ได้เจอองค์พระเยซู ได้มีของขวัญมอบให้ บนรางหญ้าทรงนอนหลับใหล ช่างเป็นเวลาน่าชื่นใจ อยากเป็นดังเหมือนนักปราชญ์ ที่เดินตามทางแสงดาว เตรียมของขวัญในกล่องใบน้อยถวายมอบแด่พระองค์
พ่อนำเนื้อเพลงมาเพื่อเป็นการสรุปสั้นๆ กับพี่น้องครับ อีกอย่างคืออยากเล่าประวัติของบรรดานักปราชญ์เหล่านี้สักหน่อย นี่เป็นข้อสงสัยที่กลายเป็นตำนานตั้งแต่สมัยคริสตชนยุคเริ่มแรกได้เล่าต่อกันมาว่า ทั้งสามเป็นกษัตริย์ องค์หนึ่งมาจากทวีปแอฟริกา องค์หนึ่งจากเอเชีย และอีกองค์จากยุโรป จึงมีคนผิวดำ คนตะวันออกไกล และคนขาว ท่านทั้งสามติดตามดวงดาวมาพบเจอกัน ณ จุดเดียวกัน และเดินทางช่วงสุดท้ายร่วมกันขึ้นสู่กรุงเยรูซาเล็ม ชื่อของทั้งสามคือ กัสปาร์ เมลคีเออร์ และบัลธาซาร์ ด้วยพาหนะที่ใช้คืออูฐ เมื่อได้คำนับและมอบของขวัญแด่พระกุมารน้อยแล้วก็แยกย้ายกันกลับถิ่นกำเนิด จนกระทั่งเมื่อทั้งสามอายุครบ 120 ปี ได้เห็นดาวนั้นอีกครั้งจึงออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งไปยังเมืองอานาโธเลียเพื่อร่วมมิสซาพระคริสตสมภพด้วยกัน ทั้งสามได้สิ้นชีวิตในวันเดียวกันอย่างเบิกบานยินดี ชิ้นส่วนของพระธาตุของทั้งสามได้เดินทางไปยังที่ต่างๆ มากมาย (เดินทางไกลกว่ายามมีชีวิตเสียอีก) จนในที่สุดก็มาอยู่ที่มหาวิหารแห่งโคโลจน์ ประเทศเยอรมนี จนถึงปัจจุบัน
แม้เรื่องนี้จะเป็นเพียงตำนานที่เล่าต่อกันมา หาความเป็นจริงไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ช่วยให้เราเห็นสิ่งสำคัญของวันนี้ คือวันที่เราได้รับแสงสว่างแท้จากองค์พระกุมารที่ลงมาบังเกิดแล้ว เป็นหน้าที่ของเราต่อไปที่จะต้องรักษาแสงสว่างนี้ในชีวิตเราต่อไปด้วยการทำความดี เชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้า หลีกหนีความชั่วของบาปที่จะนำพาเราสู่ความมืดมัว หากเราเชื่อมั่นในพระองค์ เราก็ย่อมมีทางแสงดาวนี้นำเราไปสวรรค์อยู่ร่วมกับพระองค์เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตเรามาถึงเช่นกัน
สวัสดีปีใหม่ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน
                                                                                                                       คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น