วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2017

พี่น้องที่รัก
            ตรุษจีนเวียนบรรจบมาถึงอีกรอบนึงแล้ว ปีนี้เป็นปีไก่ ปีที่ผ่านไปเป็นปีลิง(ดุ) ที่วงเล็บไว้ว่า ดุ พี่น้องคงพอเข้าใจได้นะ ว่าปีที่ผ่านมามีหลายเรื่องหลายราวที่ ดุ จริงๆ ปีใหม่ตามธรรมเนียมจีนปีนี้ พ่อขอนำเรื่องมาเล่าต่ออีกเรื่องนึง
            เมื่อชาวจีนโบราณ ต้องการอยู่อย่างปลอดภัย พวกเขาได้สร้างกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา โดยเชื่อว่าจะไม่มีมนุษย์หน้าไหนสามารถปีนมันได้ เพราะสูงมาก แต่ ทว่า...!
           
            ภายในร้อยปีแรกหลังการสร้างกำแพงนั้น เมืองจีนกลับถูกรุกรานถึงสามครั้ง !
            ในแต่ละครั้ง กองทัพบกของศัตรูไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทะลวงกำแพง หรือปีนมันเลยแม้แต่น้อย...!
            เพราะว่าในทุกครั้งพวกเขาใช้วิธีติดสินบนยามเฝ้าประตู แล้วเข้าทางประตูนั่นแหละ
            แน่นอนว่า ชาวจีนมัวแต่ห่วงเรื่องสร้างกำแพง จนลืมสร้างคนเฝ้ากำแพง...!

            เพราะการสร้างคนต้องมาก่อนการสร้างทุกสิ่ง
            และนี่คือสิ่งที่คนหนุ่มสาวของพวกเราทุกวันนี้ ต้องตระหนักให้มาก

            นักบูรพาคดีคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ....
            ถ้าท่านต้องการทำลายอารยธรรมของประชาชาติหนึ่ง ประชาชาติใด
            มีขั้นตอนอยู่สามอย่างคือ

            1. ทำลายครอบครัว
            2. ทำลายการศึกษา
            3. ล้มบุคคลต้นแบบ และตัวอย่างที่ดีงามของพวกเขา

            เมื่อแม่ที่ฉลาด ครูที่จริงใจ และต้นแบบที่ดีหายไป ....
            ใครเล่าจะเลี้ยงดูต้นกล้าเยาวชนให้มีคุณธรรม ???

            ภารกิจของชุมชนความเชื่อวัดเซนต์หลุยส์ของเราประการสำคัญคือ สร้างคนด้วยคุณธรรม งานนี้ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือกันทั้งวัดและครอบครัว พ่อเชื่อว่าครอบครัวคือตัวจักรสำคัญที่จะหล่อหลอมบุคคล โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน ให้เติบโตขึ้นพร้อมกับการปลูกฝังสิ่งที่ดีให้กับชีวิตของลูกหลานของเรา ถ้าปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งขาดหายไป ผลลัพธ์ก็คือ ล้มเหลวครับ

คุณพ่อสุพจน์
..........................................................................................................

ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ ความสุขแท้

#ความสุขแท้
สุขแท้ สุข-ไม่เยอะ
เยอะ-มักเลอะเทอะ-ไม่ค่อยสุข

#เปาโลบอกว่า
สุขเกิดเพราะโลกดูเราน้อย
และเพราะเราน้อย เราเลยไม่เยอะ

#สุขเกิดเพราะเรา...
ไม่เยอะด้วยความรู้ แต่เฟื่องฟูด้วยความรัก
ไม่เยอะด้วยอิทธิพล แต่มากล้นด้วยคนรัก
ไม่เยอะด้วยตระกูลสูง แต่สูงด้วยภายใน

#เราน้อย น้อยน้อยไว้
น้อยจึงไม่มีอะไรให้โอ้อวด
น้อยจึงโอ้อวดในองค์พระผู้เป็นเจ้า

#ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเราจึงพบความสุขแท้
สุขแท้ เพราะเหตุที่ใจเรายากจน ผลจึงนำเราร่ำรวยด้วยเมืองสวรรค์
สุขแท้ เพราะเหตุที่ใจเราโศกเศร้า ผลจึงนำเราให้ได้รับการปลอบโยนพระองค์
สุขแท้ เพราะเหตุที่ใจเราอ่อนโยน ผลจึงนำให้เราเป็นเจ้าของแผ่นดิน
สุขแท้ เพราะเหตุที่ใจเรากระหายหาความชอบธรรม ผลจึงนำให้เราอิ่มแท้จริง
สุขแท้ เพราะเหตุที่ใจเราเมตตา ผลจึงนำให้เราได้รับความเมตตาจากพระองค์
สุขแท้ เพราะเหตุที่ใจเราบริสุทธิ์ ผลจึงนำให้เราได้เห็นพระเจ้า
สุขแท้ เพราะเหตุที่ใจเราสร้างสันติ ผลจึงนำให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้า
สุขแท้ เพราะเหตุที่ใจเราถูกเบียดเบียน ผลจึงนำให้เราได้รับอาณาจักรสวรรค์

#แล้วเราจะโอ้อวดอะไรได้
หากไร้พระองค์ เราก็แค่คนโง่ที่ไร้รัก
หากไร้พระองค์ เราก็แค่คนบ้าอำนาจที่ไม่เอาคน
หากไร้พระองค์ เราก็แค่คนสูงแต่ชื่อที่ภายในต่ำตรม

#อย่าเยอะ



บาทหลวงบางกอก

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2017

พี่น้องที่รัก
                ช่วงนี้พ่อเห็นว่าบทความมากมายที่ส่งผ่านกันทางไลน์ มีข้อคิด ข้อไตร่ตรองที่ดีเป็นประโยชน์ เลยคัดที่เหมาะสมมาฝากพี่น้องกันเรื่อยๆครับ อย่างเช่นเรื่องต่อไปนี้
            พลังที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้เราเป็นสุขใจและทำให้เราเอาชนะตนเองได้ พลังนั้นคือ "พลังแห่งการให้อภัย"
            การที่เราไม่สามารถให้อภัยคนอื่น เป็นรากฐานของความคิดเชิงลบ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความโกรธและโทษคนอื่น ทำให้เกิดความกลัวและแคลงใจ หรือเกิดความอิจฉาริษยา
            ตั้งแต่เล็กจนโต เราถูกปลูกฝังว่า "ความถูกต้อง" เป็นสิ่งสำคัญมากและถูกกำหนดโดยกรอบของ "ความยุติธรรม" ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่ถูกต้องหรือความไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง หรือ ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าตนเองและผู้อื่นไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราจะตอบโต้ด้วยความโกรธ เมื่อเป็นเช่นนี้ความเคารพในตนเองที่บอบบางจะถูกคุกคาม หลายคนที่จมอยู่กับความรู้สึกอย่างนี้อย่างไม่สามารถจะหลุดพ้นจากมันได้ ถ้าเราไม่รู้จักปลดปล่อยความทุกข์ในวัยเด็กให้ผ่านพ้นไป เราจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักให้อภัย และจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความโกรธต่อคนอื่น ทำให้ต้องเผชิญกับความทุกข์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
            สิ่งที่มีพลังที่สุดที่จะปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระคือ การให้อภัย ทุกคนที่เคยทำให้คุณเจ็บปวดในทุกๆเรื่อง เพียงคุณปลดปล่อยคนอื่นออกจากจิตใจโดยการให้อภัยเขา คุณจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากความทุกข์ นี่คือเหตุผลที่ศาสนาให้ความสำคัญกับการให้อภัยและสอนว่าการให้อภัยเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่สันติสุขในใจและบนโลกมนุษย์ คุณลองนึกภาพถึงความรู้สึกที่ไม่โกรธใครทั้งสิ้นในโลกนี้ นึกภาพว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีและมีความสุข มีความเชื่อมั่นและเคารพตนเอง นึกภาพว่าเป็นคนอบอุ่นเป็นมิตร และมีแต่ความสงบสุขภายใน ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้สามารถเป็นจริงได้ถ้าคุณรู้จักให้อภัย
            ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณไม่ยอมให้อภัยคนอื่น คุณจะโกรธ เครียด วิตกกังวล ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และไม่มีความสุข การไม่ยอมให้อภัยทำให้คุณติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ ในขณะที่การให้อภัยทำให้คุณเป็นอิสระ คุณจะเลือกสิ่งใด มันเป็นสิ่งที่คุณต้องเลือกด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้น
            มีบางคนที่ปิดกั้น ตนเองจากการให้อภัยด้วยความเชื่อผิดๆที่ว่า การให้อภัยคือการยอมรับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง หรือ คิดว่าการให้อภัยเท่ากับว่าเรายอมรับคนๆนั้นและกำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูก มีคำกล่าวว่า การจำคุกต้องมีทั้งสองฝ่ายเสมอ คือนักโทษและผู้คุมซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในเรือนจำเช่นกัน ถ้าคุณปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระ คุณเองก็จะเป็นอิสระด้วย คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับพฤติกรรมหรือต้องชอบคนที่ทำให้คุณเจ็บ เพียงคุณให้อภัยเขาเพื่อที่คุณจะได้ดำเนินชีวิตต่อไป การให้อภัยจึงเป็นการกระทำเพื่อตนเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อคนอื่นเลย และมันเป็นการกระทำด้วยจิตใจที่สงบสุขและมั่นคง
            เมื่อคุณโกรธคนอื่น คุณจะควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้ทุกครั้งที่นึกถึงเขา คุณปล่อยให้เขาเข้ามาควบคุมจิตใจ และชีวิตของคุณ เขาจะเข้ามาอยู่ในความคิดของคุณตลอดเวลา และเหตุการณ์ที่ทำให้คุณโกรธก็จะปรากฏขึ้นในใจของคุณ
            หนทางแห่งการให้อภัย
            วิธีที่จะให้อภัยนั้นง่ายมาก คุณสามารถทำได้โดยการพูดว่า "ขอให้พระคุ้มครองเขา ฉันยกโทษให้เขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและขอให้เขาโชคดี" มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยกโทษให้คนอื่นในเวลาเดียวกับที่คุณโกรธเขา เพราะความคิดเชิงบวกจะไปยกเลิกความคิดเชิงลบของคุณ คุณเองจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้เร็วขึ้น โดยการยอมรับผิดชอบในส่วนของคุณต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ต่างๆจะเกิดขึ้นโดยตัวของมันเองได้ยากมาก คุณย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นด้วยเสมอ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องดึงส่วนที่คุณรับผิดชอบออกมา โดยพูดว่า "ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่แรก หรือ เกี่ยวข้องกับมันมากเกินไป ฉันไม่ควรทำเช่นนี้ ฉันให้อภัยเขาอย่างแท้จริง และปล่อยให้มันผ่านไป มันอาจจะยากสำหรับคุณในการให้อภัยในครั้งแรก การพูดถ้อยคำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก จึงมีหลายคนที่มีชีวิตเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ถ้าคุณให้อภัยคนอื่นและปล่อยเขาไป คุณจะรู้สึกมีความสุขและสดใสขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อความโกรธและความขุ่นเคืองจางหายไป จิตใจของคุณจะเต็มไปด้วยความคิดในทางที่ดี คุณจะมีพลังมากขึ้น กระฉับกระเฉงขึ้น เข้มแข็งและมั่นใจมากขึ้น
            ไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนคุณจะคิดอย่างไร ถ้าคุณให้อภัยคนที่ทำให้คุณเจ็บ เพราะเพื่อนคุณอาจจะเบื่อหน่ายที่จะรับฟังคุณรำพึงรำพันถึงความทุกข์นั้นแล้วก็ได้ ในความเป็นจริงเมื่อคุณเริ่มต้นให้อภัยแล้ว คุณจะพบว่าความโกรธเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มาพันธนาการคุณไว้กับคนบางคน และเมื่อคุณตัดสินใจให้อภัยเขา คุณอาจจะไม่รู้สึกอยากพูดถึงเขาอีกต่อไป
            คนที่คุณต้องให้อภัย
            มีคนอยู่ 4 กลุ่มที่คุณต้องให้อภัย ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนชีวิตของคุณอย่างจริงจัง
            กลุ่มแรก คือ พ่อแม่ของคุณ ไม่ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม คุณต้องให้อภัยท่านอย่างหมดสิ้นสำหรับความผิดพลาดในอดีตในการเลี้ยงดูคุณ อย่างน้อยที่สุดคุณควรขอบคุณท่านที่ให้ชีวิตแก่คุณ ท่านทำให้คุณมีวันนี้ ถ้าคุณยังมีความสุขที่จะมีชีวิตอยู่คุณก็ควรให้อภัยท่านได้ทุกเรื่องและจงอย่าตำหนิท่านอีก ถ้าคุณไม่ให้อภัยพ่อแม่ของคุณ คุณจะยังคงเป็นเด็กตลอดไป และจะปิดโอกาสในการเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ คุณยังคงมองตนเองเป็นเหยื่อผู้โชคร้าย และที่แย่ไปกว่านั้นคือคุณจะเก็บความรู้สึกเชิงลบความเป็นปมด้อย และความโกรธไว้ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพ่อแม่ของคุณเสียชีวิตลง โดยที่คุณยังไม่ได้ให้อภัยท่านสิ่งนี้จะรบกวนคุณไปตลอดชั่วชีวิต
            กลุ่มที่สอง คือ คนใกล้ชิด กลุ่มคนที่ใกล้ชิดของคุณที่มีความสัมพันธ์ต้องสิ้นสุดลง การแต่งงาน และความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นความรู้สึกที่รุนแรง ซึ่งอาจทำลายความเคารพตนเองได้มากจนกระทั่งคุณอาจโกรธและไม่ให้อภัยคนเหล่านั้นเป็นเวลาหลายปี แต่อย่างน้อยคุณอาจรับผิดชอบได้ส่วนหนึ่ง โดยการให้อภัยคนอื่นและปล่อยเขาไป จงพูดว่า "ฉันผิดเอง ฉันยกโทษให้เขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง และขอให้เขาโชคดี" ทุกครั้งที่พูดเช่นนี้อีก ความรู้สึกเชิงลบที่ติดอยู่กับความทรงจำก็จะเลือนหายไป และในไม่ช้ามันจะหมดไปอย่างถาวร
            คนกลุ่มที่สาม ใครก็ได้ในชีวิตที่ทำให้คุณเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย หุ้นส่วนทางธุรกิจ เพื่อน คนที่โกง หรือ ทรยศต่อคุณ รวมทั้งทุกคนที่นำความทุกข์มาให้คุณ จงซักผ้าที่เปื้อนสีของคุณให้ขาว จงปล่อยเขาไป โดยพูดว่า "ฉันให้อภัยเขา สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง และขอให้เขาโชคดี" พูดประโยคนี้ซ้ำอีกทุกครั้งที่คุณนึกถึงเขา จนกระทั้งความรู้สึกเชิงลบนั้นจางหายไป
            กลุ่มที่สี่ คือ ตัวคุณเอง คุณต้องให้อภัยตนเอง อย่างหมดสิ้นสำหรับการกระทำหรือคำพูดของคุณที่โง่เขลา เบาปัญญา ไม่มีเหตุผล ร้ายกาจ สิ้นคิด หรือ หยาบคาย คุณต้องเลิกเก็บความผิดพลาดเหล่านี้ไว้กับคุณ จงจำไว้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอดีตแต่ตอนนี้คุณอยู่กับปัจจุบัน ถ้าคุณนึกถึงแต่อดีตที่รู้สึกไม่ดีกับมัน คุณก็จะไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ขอให้คิดว่าในเวลานั้น คุณไม่เหมือนกับตอนนี้ คุณยังเด็ก ขาดประสบการณ์และยังไม่มีตัวตนที่แท้จริง จงหยุดทำร้ายตนเองด้วย สิ่งที่ผ่านไปแล้วและเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
            เมื่อคุณรู้สึกว่าต้องแบกรับความรู้สึกที่ผิดที่เป็นผลมาจากรอยแผลในอดีต ความรู้สึกนี้จะระบายออกไปทันทีที่คุณตระหนักว่า "มันไม่ใช่ความผิดของฉัน" เพราะคุณได้กระทำลงไปตอนที่คุณเป็นเด็กและด้อยประสบการณ์เกินกว่าจะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ คุณทำดีที่สุดแล้วในขณะนั้น จงให้อภัยตนเองและปล่อยให้ตนเองหลุดจากบ่วงนี้ไป เพียงแค่พูดว่า "ฉันให้อภัยตนเองในความผิดที่ฉันได้ทำลงไป ฉันเป็นคนดีอย่างแท้จริงและฉันกำลังจะมีอนาคตที่สดใส" เมื่อใดที่คุณคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตอีก จงพูดว่า "ฉันยกโทษให้ตนเองอย่างหมดสิ้น" จากนั้นก็ดำเนินชีวิตต่อไป จงเดินหน้าไปสู่อนาคตแทนที่จะถอยกลับไปหาอดีต คิดถึงที่ที่คุณกำลังจะไป ไม่ใช่ที่ที่คุณผ่านมาแล้ว
            อ่านดูแล้วลองไปฝึกปฏิบัติดูสิครับ จะได้ฝึกฝนการให้อภัย ซึ่งเป็นอีกความหมายหนึ่งของคำสอนเรื่องของความรักที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเรา
คุณพ่อสุพจน์
.............................................................................................................................

ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ เมื่อทรงประกาศและทรงเรียก

#จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว
ข่าวดีแรก คำเทศน์แรกที่ทรงประกาศต่อโลก

#จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว
ไม่ใช่อัศจรรย์ อิทธิปาฏิหารย์ ที่ทรงกระทำ
แต่เป็นคำพูดง่ายง่าย ว่าต้องกลับใจ
กลับใจ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว

#จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว
อาณาจักรสวรรค์กำลังมา อยู่ธรรมดาเฉยเฉยไม่ได้
ใช้ชีวิตแบบ Middle Class ไม่ได้
สวรรค์ไปไม่ได้ ถ้าไม่กลับใจและเปลี่ยนแปลง

เมื่อทรงเรียกให้ติดตาม ไม่ได้ทรงเรียกยืดยาว
เพียงแต่ตรัสอย่างเรียบง่าย #จงตามเรามาเถิด

เมื่อทรงเรียกให้ติดตาม ไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราเป็น
แต่ทรงยกระดับเราให้สูงขึ้น #เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์

เมื่อศิษย์ตอบรับพระองค์ ไม่ได้ตอบยืดยาว
พวกเขาทำอย่างเรียบง่าย#เขาทั้งสองก็ทิ้งแหไว้

เมื่อศิษย์ตอบรับพระองค์ ไม่ได้อืดอาดยืดยาด
แต่ด้วยความกระตือรือร้น#แล้วตามพระองค์ไปทันที

เมื่อศิษย์ตอบรับพระองค์ ไม่ได้ลังเลกังวลใจ
แต่ตอบด้วยความมุ่งมั่น#เขาทั้งสองก็ทิ้งเรือและบิดา แล้วตามพระองค์ไป

#พระมาติดดิน ให้เราติดตาม
อย่าลังเล อย่ายืดยาด อืดอาด เอื้อนเอ่ยมากความ
พูดได้ก็ดี ประกาศได้ไม่ว่า แต่ต้องตามด้วย
ตามแต่ปาก ดีแต่พูด ปากรอดแต่ตัวไม่รอด
อยากรอดเริ่มด้วย เริ่ม...ที่การกลับใจ


บาทหลวงบางกอก

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2017

พี่น้องที่รัก
            มีผู้ส่งข้อความน่าอ่านผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์มาให้พ่อ พ่ออ่านแล้วชอบมาก อยากนำมาให้พี่น้องอ่านด้วย ข้อความเป็นภาษาอังกฤษครับ ไม่อยากแปลให้เสียอรรถรส ลองอ่านกันดูครับ
           
            Nice line from Ratan Tata's Lecture in London
            1. Don't educate your children to be rich. Educate them to be Happy. So when they grow up they will know the value of things not the price.
            2. Eat your food as your medicines. Otherwise you have to eat medicines as your food.
            3. The One who loves you will never leave you because even if there are 100 reasons to give up he will find one reason to hold on.
            4. There is a lot of difference between human being and being human. A Few understand it.
            5. You are loved when you are born. You will be loved when you die. In between You have to manage..!
           
            If you want to Walk Fast, Walk Alone...!
            If you want to Walk Far, Walk Together...!

            Six Best Doctors in the World
            1. Sunlight
            2. Rest
            3. Exercise
            4. Diet
            5. Self Confidence
            6. Friends
            Maintain them in all stages of Life and enjoy healthy life.

            If you see the moon ...You see the beauty of God ...If you see the Sun ... You see the power of God ... And... If you see the Miror... You see the best Creation of God ... So Believe in YOURSELF ...
            We all are tourists & God is our travel agent who already fixed all our Routes Reservations & Destinations So! Trust him & Enjoy the “Trip” called LIFE...

อ่านแล้วได้ข้อคิดดีใช่ไหมครับท่าน

พ่อสุพจน์
.....................................................................................................................................................
ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ :  LAMBnation


#ยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
รู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง เขาไม่ใช่ เขาเป็นแค่ผู้นำไปสู่ หนทาง
รู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง เขาไม่ใช่ เขาเป็นแค่ผู้ชี้ไปสู่ ความจริง
รู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง เขาไม่ใช่ เขาเป็นแค่ผู้บอกว่าใคร คือ ชีวิต

#ลูกแกะของพระเจ้าต่างหากทรงเป็น
ลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก อภัยโทษเราเทอญ
ลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก เมตตาเราเทอญ
ลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก โปรดประทานสันติแก่เราเทอญ

#ยอห์นผู้ทำพิธีล้าง
ไม่แอบอ้าง แต่บอกเล่า ชี้ชัด ชัดเจน
นั่นต่างหาก ผู้นั้นผู้จะมา จงตามเขาไป

หน้าที่หมดลง ไม่ใช่ตัวเราที่ยิ่งใหญ่ เป็นพระองค์ต่างหาก
บทบาทหมดลง เพราะพระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น
หน้าที่และบทบาทหมดลง เหลือคงแต่คำพูดที่ยั้งยืนยงเป็นพยาน

#บทเรียนของยอห์นสอนเราว่า
ปากที่พูด ตาที่มอง นิ้วที่ชี้ จงชี้นำให้ผู้คนเห็นพระองค์
บทบาทหน้าที่ของเรา คือ นำผู้คนไปพบ หนทาง ความจริง และชีวิตแท้จริง

#บทเรียนของยอห์นสอนเราว่า
ปากที่พูด ตาที่มอง นิ้วที่ชี้ หาใช่การพูด การจับจ้อง การชี้มาที่ตัวของเรา
แต่เป็นการพูด คิด และทำ เพื่อให้พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ได้ปรากฎ

#บทเรียนของยอห์นสอนเราว่า
พระเจ้าจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าจะต้องเล็กลง
ความรักพระองค์จะต้องชัดขึ้น ความรักตัวเองจะต้องน้อยลง

#ไม่ใช่ ความเก่งกาจ ของเราที่ทำให้รอดพ้น
#แต่เป็นความรักของพระองค์เพื่อเราต่างหากที่ทำให้เรารอดพ้นได้



บาทหลวงบางกอก

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2017

พี่น้องที่รัก
                ตามที่เราทราบมาจากบันทึกในพระคัมภีร์ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทราบข่าวจากนักปราชญ์จากทิศบูรพาที่เดินทางมาสอบถามเกี่ยวกับกษัตริย์องค์ใหม่ ที่มาประสูติ เพราะเขาได้เห็นนิมิตจากดวงดาวในท้องฟ้า เหตุการณ์นี้ทำให้กษัตริย์เฮโรดกังวลใจ เพราะคิดว่าจะมีคนอื่นมาเกิดขึ้นเป็นเสี้ยนหนามของตน จึงวางอุบายบอกกับนักปราชญ์ทั้งสามจากทิศบูรพาว่า ถ้าจะมีกษัตริย์ใหม่มาบังเกิดก็น่าจะบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม ถ้าท่านเดินทางไปพบและถวายนมัสการแล้ว กรุณากลับมาบอกด้วยว่าอยู่แห่งหนตำบลใด เพื่อเฮโรดจะได้ไปเยี่ยมเยียนนมัสการด้วย แต่แผนการนี้ไม่สำเร็จเพราะนักปราชญ์จากทิศบูรพานั้นเดินทางกลับไปบ้านเมืองของตนด้วยเส้นทางอื่น ที่สุด เฮโรดจึงตัดสินใจออกคำสั่งให้ทหารไปประหารทารกที่มีอายุตั้งแต่ 2 ขวบลงมาให้ตายให้หมด เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามตามความคิดของตนเอง ด้วยเหตุนี้เองพระศาสนจักรจึงจัดวันรำลึกถึงบรรดาทารกผู้วิมลที่ต้องตายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพียงเพราะความคิดมากเกินไปของกษัตริย์เฮโรดในคราวนั้น พร้อมกันนี้ภายหลังจึงมีประเพณีการอวยพรเด็กจัดขึ้นไปพร้อมๆกันกับวันฉลองนี้ เพื่อจะถือโอกาสนี้ในการปลูกฝังสั่งสอนบรรดาเด็กๆเกี่ยวกับพระเจ้าให้เขาได้รับรู้ว่า นอกเหนือจากบิดามารดา ญาติพี่น้อง ที่คอยอุปถัมภ์ค้ำชูเด็กๆแล้ว เรายังมีพระเจ้าในสวรรค์ที่คอยอุปถัมภ์ค้ำชูช่วยเหลือเรา สำหรับชีวิตในโลกนี้ และ ชีวิตในโลกหน้าให้กับเราแต่ละคนอีกด้วย
                แต่เนื่องว่าวันฉลองทารกผู้วิมลไม่ตรงกับวันอาทิตย์ และปีนี้แม้ว่าวันฉลองทารกผู้วิมลในปีพิธีกรรมนี้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่วัดโดยทั่วๆไปก็ยังคงรักษาธรรมเนียมในการอวยพรเด็กเอาไว้ เด็กที่ว่าหมายรวมตั้งแต่เด็กทารกไปจนถึงทุกคนที่ยังอยู่ในวัยเด็กด้วย สำหรับวัดเซนต์หลุยส์ของเราในปีนี้ จัดพิธีอวยพรเด็กในวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคมนี้ บางปีถ้าเหมาะสมก็จะจัดให้ใกล้ๆกับวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม แต่ปีนี้เห็นว่าในวันอาทิตย์หน้า เป็นวันเสกสุสานศานติคาม ครอบครัวและเด็กๆหลายคนอาจไม่ได้มาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณที่นี่ จึงเห็นควรให้เลื่อนมาเร็วขึ้นหนึ่งสัปดาห์
                โดยส่วนตัวแล้วพ่อมีความเห็นว่า ช่วงวัยเด็กเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดที่ครอบครัวจะปลูกฝังอบรม ชีวิตวิญญาณให้มั่นคง ฝังแน่นอยู่ในชีวิตของเด็กๆทุกคน เพราะเป็นช่วงที่เหมาะที่สุดที่จะลงรากฐานของแนวคิดทางศีลธรรม ความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และ การปฏิบัติศาสนกิจให้กับเด็กๆเหล่านี้ให้เกิดความคุ้นเคย จนถือเป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ในชีวิตของการเป็นคริสตชน แต่ละครอบครัวจึงต้องใช้ความพยายามทุกหนทาง ที่จะปลูกฝังความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้าให้กับยุวชนตัวน้อยๆเหล่านี้โดยไม่ละเลย ครอบครัวไหนที่ละเลย ไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ เป็นเรื่องน่าเสียดาย และช่วงเวลาทองที่เสียไปแล้ว จะไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีกเลย พ่อจึงอยากถือโอกาสนี้ย้ำเตือนพี่น้องอีกครั้ง และอยากให้ครอบครัวทุกครอบครัวเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ ไม่น้อยไปกว่าการจัดให้เด็กๆได้รับการเรียนการสอนในวิชาความรู้ต่างๆที่ดี หรือ การฝึกฝนความชำนิชำนาญในด้านการเล่นเครื่องดนตรี หรือ กิจกรรมพัฒนาการด้านต่างๆอาทิ การเล่นบัลเลต์ หรือการเล่นกีฬาที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศเพื่อการแข่งขัน ฯลฯ
                โอกาสที่เด็กๆมารับพรพิเศษประจำปีนี้ พ่อเชิญชวนให้เราร่วมใจกันภาวนาเป็นพิเศษเพื่อชีวิตในภายภาคหน้าของเด็กๆแต่ละคน จะได้ผูกสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับพระเจ้า และ ขอพระเจ้าปกปักษ์พิทักษ์รักษาเด็กๆทุกคนให้ปลอดภัยทั้งกายและวิญญาณ เพื่อเขาจะเติบโตขึ้นมีความเชื่อที่เข้มแข็ง และเป็นผู้ที่จะสืบทอดสานต่อชีวิตคริสตชนให้กับยุวชนรุ่นหลังได้อย่างดีต่อไป

พ่อสุพจน์
................................................................................................................
ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ ทรงเป็นความสว่างของโลก

#พระคริสตเจ้าแสดงพระองค์
เพื่อให้โลกได้รู้ว่า การเกิดมา ไม่ใช่เพื่อชนชาติเดียว
เพื่อให้โลกได้รู้ว่า การเกิดมา ไม่ใช่เพื่อคนที่รู้จัก
เพื่อให้โลกได้รู้ว่า การเกิดมา ไม่ใช่เพื่อรอดกันอยู่ไม่กี่คน

#พระคริสตเจ้าแสดงพระองค์
เพื่อให้โลกได้รู้ว่า การเกิดมา เพื่อชนชาติทุกชาติ
เพื่อให้โลกได้รู้ว่า การเกิดมา เพื่อคนที่ไม่รู้จักพระองค์ด้วย
เพื่อให้โลกได้รู้ว่า การเกิดมา เพื่อรอดกันทุกคน

#พระคริสตเจ้าจึงแสดงพระองค์
ไม่ใช่ว่าอยากดัง อยากเด่น อยากดี
แต่เพื่อโลกบอกว่า ความเชื่อในพระเจ้าสำคัญ

#พระคริสตเจ้าจึงแสดงพระองค์
ไม่ใช่ว่า เพราะอยากเป็นที่รู้จักมักคุ้น
แต่เพื่อบอกโลกว่า ความหวังยังมีอยู่

#พระคริสตเจ้าจึงแสดงพระองค์
ไม่ใช่ว่า เพราะอยากแสดงพลานุภาพยิ่งใหญ่
แต่เพื่อบอกโลกว่า ความรักยังคงอยู่

ดวงดาวดวงนั้น จึงนำพาโหราจารย์ไป
ดวงดาวดวงนั้น จึงนำทองคำ กำยาน มดยอบไป
ดวงดาวดวงนั้น จึงนำพามนุษยชาติไป พบความสว่างแท้จริง

จึงเราควรตามดวงดาวนั้นไป
เพื่อพบองค์ความสว่างของโลก
จึงเราควรตามนั้นไป
เพื่อนำหัวใจของเราไปถวาย
จึงเราควรตามดวงดาวนั้นไป
เพื่อพบกับความรอดตลอดกาล


บาทหลวงบางกอก