วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                นักบุญโฮเซ่ มารีอา เอสครีวา ครั้งหนึ่งเคยสอนว่า "หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในบ้านของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี เรื่องไม่ดี ซึ่งมีผลต่อชีวิตของลูกๆของเรา ดังนั้นจงพยายามช่วยพวกเขาด้วยแบบอย่างที่ดีของเรา โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อความศรัทธาต้องแสดงให้พวกเขาเห็นประจักษ์"
                ข้อแนะนำ 5 ประการต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่แต่ละครอบครัวพึงกระทำร่วมกับเด็กๆในบ้านทุกวัน เพื่อช่วยปลูกฝังให้ความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้าฝังรากลึกลงในชีวิตของพวกเขา
                1. สวดภาวนา เริ่มวันใหม่ด้วยการสวดภาวนา ก่อนที่จะไปโรงเรียน ให้เราสวดภาวนาด้วยกันด้วยบทภาวนาง่ายๆ เช่น ข้าแต่พระบิดา วันทามารีย์ พระสิริรุ่งโรจน์ ควรทำเช่นเดียวกันก่อนที่จะไปพักผ่อนหลับนอน หรือ ก่อนรับประทานอาหารเย็น
                2. อ่านพระคัมภีร์ด้วยกัน หาสมุดภาพพระคัมภีร์สวยๆให้เด็กเล็กๆอ่าน และพ่อแม่ควรอ่านพระคัมภีร์อธิบายเรื่องราวในพระคัมภีร์ให้กับเด็กๆด้วยตนเอง
                3. สอนพวกเขาให้รู้ว่าพระเจ้ารักเขาแค่ไหน หาโอกาสที่จะสอนเด็กๆบอกกับเขาว่า พระเยซูรักพวกเขา โดยเฉพาะในเวลาที่พ่อแม่บอกกับพวกเขาว่าพ่อแม่รักเขา ควรจะบอกกับเขาเช่นกันว่า "รู้ไหมนอกจากแม่จะรักลูกแล้ว ยังมีคนอื่นที่รักลูกมากเช่นกัน นั่นคือ พระเยซู" เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะเข้าใจสาระสำคัญที่เราเคยสอนเขาในเวลาเป็นเด็ก
                4. หาโอกาสที่จะทำคุณงามความดีให้กับผู้อื่นพร้อมกับลูกๆของเรา จงเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆ ด้วยการฝึกเขาให้รู้จักทำกุศลกรรมที่เป็นรูปธรรมร่วมกันกับเขา เช่นไปทำบุญในบ้านเด็กกำพร้า หรือ การเป็นจิตอาสาในกิจการกุศลต่างๆ
                5. ให้เวลาที่ดีๆกับเด็กๆ ด้วยการใช้ชีวิตใกล้ชิดกับเขาในกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เขารู้ว่าเขาได้รับความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่ การเป็นศิษย์ที่ติดตามใครสักคนเริ่มต้นจากการมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถ้าท่านต้องการให้เด็กๆเรียนรู้แบบอย่างความเชื่อจากท่านและกลายเป็นศิษย์ที่ใกล้ชิดของพระเยซู จงอุทิศเวลาให้กับพวกเขาเท่าที่สามารถ ให้พวกเขารู้สึกว่าท่านให้ความเอาใจใส่พวกเขาอย่างใกล้ชิดทุกๆวัน ใช้เวลาพูดคุยกับเขา อ่านหนังสือให้เขาฟัง เล่นกับเขา หากิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างพ่อแม่กับลูกๆทำด้วยกันเสมอๆ
                ที่สำคัญอย่าลืมที่จะพาลูกๆมาวัดด้วยกันทุกวันอาทิตย์ และในโอกาสสำคัญต่างๆของครอบครัว เช่นวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน ฯลฯ วันฉลองสำคัญๆทางศาสนา
                หวังว่าข้อเขียนนี้จะเป็นแนวทางช่วยให้ครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆเป็นสมาชิกในครอบครัวสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความเชื่อความศรัทธาให้กับเด็กๆให้มั่นคงยั่งยืนครับ

พ่อสุพจน์
........................................................................................................................

ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ :MAY DAY... วันของเมย์

อาทิตย์นี้ ประเทศบ้านเราถือเป็นวันแรงงาน
พระศาสนจักรสากล นึกถึงท่านนักบุญยอแซฟ กรรมกร
วันอาทิตย์นี้ เมย์เดย์” (May’s Day) วันของน้องเมย์

เมย์ รัชนก อินทนนท์ สร้างสถิติเป็นนักแบดมินตั้นหญิงคนแรก
ที่ได้สามแชมป์ ในสามสัปดาห์ ก่อนหน้านี้ มีคนได้สามแชมป์ติดเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่ในรายการที่แข่งขันกันสามอาทิตย์ติด สิ่งที่น้องเมย์ทำ เลยเป็นสถิติ

ก่อนที่เมย์จะมาถึง ณ จุดจุดนี้ ก่อนที่เมย์จะได้สร้างสถิตินี้
คงมีการเตรียมการ เตรียมตัว เตรียมหัวใจกันมาไม่น้อยทีเดียว
ไม่มีทางฟลุ๊ค ไม่ใช่โชคช่วย ยิ่งไม่ใช่ความบังเอิญ

#แผนการณ์แห่งความรอดพ้นสำหรับมนุษย์ก็เช่นกัน

ในวันที่เราฉลองนักบุญยอแซฟ ช่างไม้, นักบุญกรรมกร
บุคคลที่มีส่วนอย่างยิ่งในแผนการณ์แห่งความรอดพ้น
ผู้ตอบรับแผนการณ์ของพระเจ้า ผู้เป็นบิดาเลี้ยงของพระเยซู
และภัสดาของพระนางมารีย์พรหมจารีย์ แม่พระมารดาของเรา

น่าจะเป็นโอกาสให้เราได้ย้อนกลับมามองชีวิตคริสตชนของเราด้วย
ในฐานะที่เราได้รับชวน ได้รับเชิญจากพระ ให้มีส่วนร่วม
ชีวิตคริสตชน จึงเป็นชีวิตที่ต้องออกแรง ทั้งกายและใจ
อาศัยพระเจ้า พร้อมกับพระเจ้า และในพระเจ้า

ชีวิตคริสตชน จึงอยู่นิ่งนิ่งไม่ได้ Static ไม่ได้
เพราะเป็นชีวิตที่ต้องเป็นพลวัตร เป็น Dynamic ก้าวและเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
การพัฒนาชีวิตจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและต้องทำ
เหมือนที่ใครบางคนบอก แค่อยู่กับที่ ก็เท่ากับถอยหลังแล้ว

ไม่ผิด ถ้าเราจะทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้ก้าวหน้าและเติบโตในทางโลก
แต่น่าเสียดาย ถ้าเราทำจนลืมไปว่า ชีวิตฝ่ายจิตของเรา ก็ต้องเติบโตด้วยเช่นกัน


บาทหลวงบางกอก

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2016

พี่น้องที่รัก
            เอกลักษณ์สำคัญของการดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชนคือ "การดำรงอยู่ในความรัก" เพราะพระเจ้าทรงรักเรา รับเราเป็นลูกของพระองค์ เราจึงอยู่ในความรักของพระองค์ ในเวลาเดียวกันพระองค์สอนเราให้รู้จักรักผู้อื่นด้วย ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวซึ่งเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรของพระองค์ จึงได้รับการปลูกฝังว่า ให้รู้จักรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง หมายความว่า ถ้าเรารักตัวเราอย่างไร ก็จงรักคนอื่นอย่างนั้นเถิด ซึ่งถือว่าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่แล้ว เพราะการที่คนคนหนึ่งจะรักคนหนึ่งในแบบที่รักตัวเองได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว แต่คำสอนให้รักเพื่อนบ้านเท่ากับรักตัวเองนั้นดูจะเล็กลงไปทันที ที่พระเยซูสอนศิษย์ของพระองค์ในวันนี้ว่า "เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด" (ยน.13:34) ความรักที่พระเยซูสอนนี้เป็นบัญญัติใหม่ในความหมายที่ว่ามันเป็นความรักที่ใหญ่กว่า กว้างขวางกว่า กินอาณาเขตมากกว่าขอบเขตของความรักแบบเดิมอย่างที่ได้รับการปฏิบัติกันมาแต่โบราณนั่นเอง  เพราะว่าพระเยซูรักเรามากกว่าชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ยอมรับการทนทรมาน และความตายบนไม้กางเขนที่น่าอดสูใจ เพื่อเป็นพลีบูชาถวายแด่พระบิดาเจ้าชดเชยโทษบาปของชาวเรา แสดงว่าพระองค์ทรงรักเรามากกว่าที่จะรักตัวเองเสียอีก ความรักในความหมายนี้เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ เป็นความรักที่เสียสละ เป็นความรักที่มีแต่ให้ ขอบเขตของความรักเพื่อนมนุษย์แต่เดิมที่กำหนดไว้เพียงแค่ เท่าเทียมกับเรารักตัวเราเองนั้น จึงได้รับการขยายออกไปให้กว้างกว่าเก่าอย่างมากมาย และนี่แหละคือความรักที่พระเยซูเจ้าทรงสอน
            " ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา" (ยน.13:35) ข้อความนี้ชี้บอกกับเราว่าเอกลักษณ์ของกลุ่มคริสตชนคือการที่ทุกคนรักกันเยี่ยงพระเยซูเจ้าทรงรักเรานั่นเอง ดังนั้นพื้นฐานของกลุ่มคริสตชนทุกกลุ่ม ทุกหมู่เหล่าคือ ทุกคนรักกันเป็นหนึ่งเดียวกัน จะต้องไม่มีความขัดแย้งหรือความแตกแยกในกลุ่มคริสตชนไหนๆ เพราะความขัดแย้ง ความแตกแยกเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า กลุ่มคริสตชนนั้นๆ ขาดคุณสมบัติที่สำคัญของกลุ่มคริสตชน นักบุญเปาโลให้ความหมายของความรักได้ชัดเจนมากขึ้นว่า "ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง" (1คร.13:4-7)
            ชีวิตของเรามนุษย์จะมีคุณค่าสูงส่งได้ก็ต่อเมื่อ เราฝึกฝนปฏิบัติที่จะรักกันให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ เท่าที่จะถ่างตัวเราเองออกเพื่อเปิดพื้นที่ความรักให้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำไหว นี่แหละคือประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตเรา ลองดูครับ ทำดูครับ เพราะพระเยซูสอนเรา แล้วจะพบว่า สันติสุขที่แท้จริงคืออะไร


พ่อสุพจน์
............................................................................................................

สวัสดีพี่น้องที่รัก
ในบรรยากาศแห่งการล่ำลาที่อึมครึมด้วยการวางแผนการณ์ การทรยศ ความมืดมนนั้น  พระเยซูเจ้าทรงมอบบัญญัติแห่งความรักแก่บรรดาศิษย์ มันไม่ใช่เรื่องของกฎบัญญัติข้อบังคับ แต่เป็นการเชื้อเชิญให้สู่ความสัมพันธ์หนึ่งเดียวอย่างอิสระกับพระบิดาโดยทางพระเยซูเจ้าและเพื่อนพี่น้อง
       บัญญัตินี้มีลักษณะจำเพาะสามอย่าง นั่นคือ เป็นบัญญัติใหม่  ปฏิบัติด้วยการเลียนแบบความรักของพระเยซูเจ้า และเป็นตัวชี้บอกความเป็นคริสตชน ความใหม่  เป็นความรักที่มีลักษณะใหม่ ส่วนความเกลียดชัง การแก้แค้นพยาบาท ความรุนแรง ความเฉยเมย ความเห็นแก่ตัว คือลักษณะเก่าที่ผ่านพ้นไป เพราะจะทำให้เกิดความแก่และทำให้โลกต้องอยู่ในความเก่า เป็นดังข่าวเก่า เป็นการกระทำซ้ำไปซ้ำมา ไม่นำความก้าวหน้ามาให้โลกเลย
       มีแต่ความรักเท่านั้นที่ใหม่ ไม่เคยได้ยินมาก่อน สามารถสร้างสรรค์ ค้นคิดสถานการณ์ใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ถึงรากถึงโคนความรักมีองค์ประกอบแห่งความแปลกใจ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน และทำให้เกิดความก้าวหน้าพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่าง เป็นความรักที่เราจำต้องเลียนแบบความรักของพระคริสต์  เรารักท่านอย่างไร พวกท่านก็จงรักกันและกันเช่นเดียวกัน
       ความใหม่ของบัญญัตินี้ ไม่อยู่ในความต่างกับบัญญัติในพระธรรมเก่า ซึ่งสอนให้รักเพื่อนพี่น้องและคนแปลกหน้าด้วยเช่นกัน หากแต่อยู่ในพระบุคคลของพระเยซูเจ้า ความรักที่ทรงมีต่อมนุษย์ ซึ่งกลายเป็นต้นแบบสำหรับความสัมพันธ์ที่เราพึงมีต่อกันและกัน
       ความรักของพระคริสตเจ้าเป็นความรักที่เปลี่ยนตนเองเป็นของขวัญ  ไม่เป็นของตนเอง แต่เป็นชองขวัญแบบทรงชีวิตเพื่อผู้อื่น  พระองค์ไม่ได้ประทานสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เรา แต่ประทานตัวพระองค์เองให้เราทั้งหมดสิ้นโดยไม่เก็บอะไรไว้เลย
       ความรักของพระองค์เป็นความรักให้เปล่า โดยไม่มีเหตุผล ความรักของพระเจ้าไม่ตั้งอยู่ในคุณภาพของมนุษย์  ความรักของคริสตเจ้าเผยให้เห็นถึงความรักที่ไม่ตั้งอยู่บนคุณค่าของสิ่งของ แต่ตั้งอยู่บนธรรมชาติของพระเป็นเจ้า ความรักของพระเจ้าไม่ขึ้นกับเงื่อนไขหรือในพฤติธรรมของมนุษย์ พระองค์ทรงโปรดให้ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว ให้ฝนตกสำหรับคนดีและคนชั่ว” (มธ5,45)พระคริสตเจ้าไม่ทรงรักเราเพราะเรามากด้วยฤทธิ์กุศล เป็นคนดี สมควร น่ารัก   แต่ความรักของพระองค์ทำให้เรากลับเป็นคนดี ความรักของพระองค์เป็นความรักสร้างสรรค์
       พระเจ้าไม่ทรงรักสิ่งที่ทำให้เราสมควรแก่ความรักของพระองค์ แต่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์ทรงบันดาลคุณค่าให้แก่เราสิ่งที่ไร้คุณค่า กลายเป็นสิ่งมีคุณค่าในความรักของพระเจ้า
       ความรักไม่มองหาคุณค่า แต่สร้างคุณค่าให้ เพราะความรักสร้างสรรค์บันดาลคุณค่า  ความรักคือเครื่องแบบของการเป็นคริสตชน ซึ่งทำให้รู้ได้ว่าเป็นศิษย์ของพระเยซูจ้า
คริสตชนไม่ใช่คนถือบัญญัติ หรือไปวัด ทำบุญ หรือสวดบทยืนยันความเชื่อ  แต่คริสตชนในแก่นแท้คือผู้ที่รัก ความรักจึงเป็นคำสำคัญ เป็นภาษาคริสตชน  หากไม่มีคำว่า รักคำอื่นๆก็ไร้คุณค่า ไร้ความหมาย  “ถ้าข้าพเจ้าพูดภาษามนุษย์และภาษาเทวดาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฉิ่งหรือฉาบที่ส่งเสียงได้แค่นั้น” (1คร13,1)
       ความรักเป็น สาส์นที่คริสตชนต้องประกาศในชีวิตประจำวันหากไร้ซึ่ง สาส์นนี้ แม้แต่เราจะพูดทั้งวัน เราก็เหมือนไม่ได้พูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราว คนอื่นก็ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
       “ส่วนเรา...เราเชื่อในความรัก” (1ยน4,16)ความจริงแห่งการเป็นคริสตชนคือการรักคริสตชนคือคนที่เชื่อในความรักเชื่อในความรักหมายความว่าเชื่อในพลังแห่งความรัก หมายความว่ามุ่งทุกสิ่งไปที่พลังแห่งความรัก หมายความว่าตระหนักว่า เราใช้เหตุใช้ผลด้วยการรัก”  “เราชนะด้วยการรักเราสอนคนอื่นด้วยการรัก” “เราเข้าหาคนด้วยการรักเหมือนจะบอกว่า คุณยังไม่เป็นใคร กระทั่งคุณมีคนที่รักคุณ ความรักไม่ใช่ความรู้สึกลอยๆ แต่เป็นความรู้สึกที่มีเป้าหมายที่ดี
       ในพระวรสาร เราเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงรักเราอย่างไร เป็นความรักพระเจ้าและความรักมนุษย์ในเวลาเดียวกัน ความรักที่แสดงออกมาในการกระทำ ทำให้คนสามารถรู้ว่าเป็นคริสตชนแท้

พ่อพงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2016

สวัสดีครับพี่น้อง
วันนี้เราฉลองวันอาทิตย์พระเมตตา พระเยซูประจักษ์มากับซิสเตอร์โฟสตินา และกล่าวกับซิสเตอร์ว่า เราปรารถนาให้วันฉลองพระเมตตา เป็นที่พึ่งที่กำบังของเหล่าดวงวิญญาณ ของคนบาปทั้งหลาย วันฉลองนี้เป็นวันที่ความเมตตา อ่อนโยนของเรา จะเผยแสดงออกมา เราจะโปรดให้มหาสมุทรแห่งพระพรหลั่งไหลมายังดวงวิญญาณผู้เข้ามาพึ่งพาความเมตตาของเรา วิญญาณที่ไปพึ่งพาศีลอภัยบาป และรับศีลมหาสนิท จะได้รับการอภัยและช่วยให้พ้นมลทินบาปอย่างบริบูรณ์ วันฉลองนี้ ความเมตตาของเราจะเอ่อล้น มาสู่ท่านทั้งหลาย" (Diary, 699)
                วันวันนี้จึงเป็นวันที่เราเฉลิมฉลอง ความหมายอันลึกล้ำ ของความเมตตาที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรามนุษย์ วันวันนี้เป็นวันที่ นักบุญโทมัสร้องออกมาว่า "พระเจ้าข้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า" (ยน. 20:28)
                วันนี้คือวันที่พระเจ้าทรงสรรสร้าง ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม วันนี้คือวันคืนดีกับพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ พระโลหิตของพระเยซูได้รับการประพรมบนพระที่นั่งแห่งความเมตตา พระเยซูคือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ได้ทรงชดเชยบาปของเราแต่ละคน เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์
                วันนี้คือวันแห่งพันธสัญญา แปดวันหลังจากวันกลับคืนชีพของพระองค์ เราฉลองพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับประชากรของพระองค์ ว่าพระองค์จะมีความรักความเมตตากับประชากรของพระองค์
                วันนี้คือวันที่เราเฉลิมฉลองพระเมตตาของพระเจ้า     พระเมตตาของพระองค์นั้นมากมายมหาศาล มากมายเกินกว่าบาปใดๆรวมกัน ยิ่งใหญ่กว่าความทุกข์ยาก ความชั่วร้ายใดๆ รวมไปถึงความตาย เรามีชัยชนะโดยอาศัยพระเมตตาของพระองค์ เราจึงได้รับความรอดพ้น และ ชีวิตนิรันดร
                วันนี้เป็นวันแห่งพระเมตตา วันที่เราจะหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และ ชุบตัวเราลงในมหาสมุทรไพศาลแห่งพระเมตตาของพระองค์ วันวันนี้เป็นวันที่เราจะนำพาสมาชิก และ เพื่อนพ้องของเราไปยังมหาสมุทรแห่งพระเมตตา ด้วยการภาวนาอุทิศให้กับพวกเขา วันวันนี้เป็นวันที่เราจะบอกกับพระเยซูว่า เรารักพระองค์ เรามอบชีวิตของเราไว้กับพระองค์ และ กล่าวกับพระองค์ว่า เราวางใจในพระองค์ วันวันนี้ และ ทุกๆวันจากนี้ไป เราจะร้องหาพระองค์บอกกับพระองค์ว่า "พระเยซู ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์"
                ปี 1931 องค์พระผู้เป็นเจ้า ประทานนิมิตให้กับ นักบุญโฟสตินา ด้วยลำแสงสองลำแสง ที่พวยพุ่งออกมาจากหัวใจของพระองค์ ลำแสงหนึ่งมีสีแดง และ อีกลำแสงหนึ่งสีขาว ขณะที่ซิสเตอร์เพ่งพิศมองดูพระองค์ พระองค์กล่าวกับเธอว่า "จงวาดภาพนี้ ตามอย่างที่เธอเห็น และ เขียนที่ใต้ภาพว่า "พระเยซู ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์" เราสัญญาว่า บุคคลใดที่มีความศรัทธาต่อภาพนี้จะไม่มีวันสูญสลายไป เราสัญญาว่า เขาจะมีชัยชนะต่อศัตรูทั้งในโลกนี้และในเวลาสิ้นใจ เราเองจะปกป้องเขาเยี่ยงสิริมงคลของเรา เราอยากให้ทุกคนทั่วโลกมีความศรัทธาต่อภาพนี้ ซึ่งเราจะประทานพระพรให้กับดวงวิญญาณ  ลำแสงสองลำแสง คือตัวแทนของ เลือดและน้ำ ลำแสงสีขาวคือน้ำที่ชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์ ลำแสงสีแดง คือเลือด ที่ให้ชีวิตกับดวงวิญญาณ ลำแสงทั้งสองลำนี้ พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกแห่งความเมตตาอ่อนหวาน เมื่อดวงใจของเราที่ทุกข์ระทมถูกเปิดออกโดยหอกบนไม้กางเขน ลำแสงนี้คือเกราะป้องกันดวงวิญญาณจากพระพิโรธแห่งความยุติธรรมของพระเจ้า บุคคลใดที่ดำรงอยู่ในความคุ้มครองนี้จะมีความสุข


พ่อสุพจน์
...................................................................................................
สวัสดีพี่น้องที่รัก
พระวาจาของพระเจ้าในสัปดาห์นี้ ได้ให้บทเรียนที่สำคัญสำหรับเราคริสตชนในการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันหลายประการ
ประการแรก ให้เรามอบสันติสุขแก่กันด้วยจริงใจ ในการมอบสันติสุขแก่กันในพิธีบูชาขอบพระคุณ ขอให้เป็นการแสดงออกถึงท่าทีแห่งการให้อภัยและการมอบสันติสุขที่แท้จริงจากใจเราแก่กันและกัน สันติสุขจะบังเกิดขึ้นในใจเราก็ต่อเมื่อ 1). เราได้ปฏิบัติตามบัญญัติแห่งความรักที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา รักพระเจ้าสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นั่นแหละบัญญัติใหญ่และข้อต้น   ข้อที่สองก็เหมือนกันคือ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (มธ22:37-39) และ 2) เราได้ใส่ใจในความต้องการของเพื่อนพี่น้อง ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ25:40)
ประการที่สอง ให้เราฉลองและปฏิบัติพระเมตตาในชีวิตประจำวัน ในสัปดาห์นี้พระศาสนจักรฉลองพระเมตตาของพระเจ้า ซึ่งแสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดในศีลแห่งการคืนดีและศีลมหาสนิท เพื่อจะได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า เราต้องหมั่นมาหาพระองค์ทางศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิทบ่อยๆ ในอันที่จะช่วยเราให้ฉายแสงแห่งพระเมตตาของพระองค์ในกิจการ คำพูดและคำภาวนาของเรา
ประการที่สาม ให้เราได้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระคริสตเจ้าผู้กลับคืนชีพ การดำเนินชีวิตในความเชื่อ ทำให้เรามองเห็นพระคริสตเจ้าผู้กลับคืนชีพในทุกคนและพร้อมที่จะรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรัก เพราะ ความเชื่อหากไม่มีการกระทำก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว”  (ยบ2:17) ให้เราได้แสดงออกถึงความเชื่อที่มีชีวิตเช่นเดียวกับนักบุญโทมัสอัครสาวก (ในการเลียนแบบพระคริสตเจ้าและเป็นพยานถึงพระองค์ถึงประเทศอินเดีย) อีกทั้ง ทำให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งและเติบโตยิ่งขึ้นผ่านทางการภาวนา
ให้เราได้สานต่อพันธกิจของพระเยซูเจ้า ในงานแห่งความรักและการให้อภัยไม่สิ้นสุดในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อเราจะได้เป็นเครื่องมือในการสร้างสันติสุขในสังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และความแตกแยกรุนแรง มีการแบ่งสีเลือกข้างอย่างในปัจจุบัน เพื่อสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นในครอบครัว หมู่คณะและในหมู่บ้านของเรา ดังที่ นักบุญฟรังซิสอัสซีซี ได้ภาวนาว่า:
ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ
ที่ใดมีความเกลียดชัง   ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก
ที่ใดมีความเจ็บแค้น    ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย
ที่ใดมีความแตกแยก    ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี
ที่ใดมีความเท็จ            ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความจริง
ที่ใดมีความสงสัย        ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความเชื่อ
ที่ใดมีความสิ้นหวัง     ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความหวัง
ที่ใดมีความมืด             ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสว่าง
ที่ใดมีความเศร้าโศก    ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความยินดีเบิกบานใจ
ข้าแต่พระเป็นเจ้า         โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นผู้บรรเทา มากกว่าจะเป็นผู้รับการบรรเทา
เห็นใจผู้อื่น                   มากกว่าจะรับความเห็นใจ
รักผู้อื่นก่อน                 และมากกว่าที่จะให้คนอื่นรักข้าพเจ้า
ผู้ที่ให้เท่านั้น                จะได้รับความอิ่มเอิบยินดี
ผู้ที่ลืมตนเองเท่านั้น     จะพบตนเองในทางสันติ
ผู้ที่ยกโทษให้เท่านั้น    จะได้รับการอภัยโทษ
ดังนี้เมื่อเราตาย            จะได้ไปสู่พระราชัย ของพระองค์ชั่วนิรันดร
พ่อพงษ์เกษม