วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            การฉลองคริสต์มาสที่วัดของเราก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทั้งในแง่ของการจัดงานรื่นเริงภายนอก และ การร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณสมโภชพระคริสตสมภพ อย่างที่พ่อได้กล่าวไปแล้วว่า งานคริสต์มาสปีนี้ค่อนข้างมีบรรยากาศที่เอื้ออำนวย เพราะมีลมเย็นพัดโชยมาถึงพอดี ทำให้เข้ากับบรรยากาศเฉลิมฉลองได้เป็นอย่างดี พ่อมองดูโดยภาพรวมแล้ว กิจกรรมต่างๆที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ ช่วงก่อนพิธีบูชาขอบพระคุณ ไม่ว่าจะเป็นการจับสลากสอยดาว การเล่นบิงโก เกมการละเล่นต่างๆ และ บ้านลมสำหรับเด็ก การจัดประกวดถ้ำพระกุมาร รวมไปถึงขนมขบเคี้ยวต่างๆที่มีผู้มีน้ำใจดีบริจาคมาเพื่อช่วยเสริมสร้างให้บรรยากาศต่างๆครบสมบูรณ์ยิ่งขึ้นนั้น มีส่วนทำให้ค่ำคืนวันคริสต์มาสที่วัดของเราช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะความร่วมมือกันของทุกๆคนที่เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อทำให้งานคริสต์มาสของวัดเราเป็นงานพิเศษสำหรับทุกคนจริงๆ แม้จะมีข้อขาดตกบกพร่องไปบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้เพื่อจะหาทางปรับปรุงทำให้ดีขึ้นในโอกาสต่อๆไป งานคริสต์มาสปีนี้มีคนมาร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณเยอะมาก หลายคนบอกกับพ่อว่า มีคนมามากกว่าทุกปี ซึ่งอาจเป็นความบังเอิญหรือด้วยสาเหตุใดๆก็แล้วแต่ พ่อถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะแสดงว่าคริสตชนจำนวนมากมีจิตใจผูกพันอยู่กับวันคริสต์มาส ซึ่งถือว่าเป็นวันสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ มีสิ่งหนึ่งที่พ่อสังเกตเห็นก็คือ มีพี่น้องต่างความเชื่อจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาร่วมฉลองวันคริสต์มาสด้วยกันกับเรา พ่อเชื่อมั่นว่า ภาพของความศรัทธา ภาพของความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชน เสียงเพลงไพเราะ และ บรรยากาศแห่งความชื่นชมยินดี คงจะนำมาซึ่งความประทับใจให้กับทุกๆคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์สำคัญนี้ เราจึงต้องโมทนาคุณพระเจ้ามิได้ขาด เพราะพระคุณยิ่งใหญ่ที่พระองค์ได้ประทานมาให้กับเรามนุษย์ทุกคน นั่นคือ พระบุตรของพระองค์ลงมาบังเกิดและประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์คือความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่นำความหวังในชีวิตมาให้กับเราทุกคน พ่อขอถือโอกาสนี้ขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ได้เสียสละหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้งานฉลองการบังเกิดของพระกุมารเยซูเป็นงานฉลองที่น่าประทับใจยิ่งอีกครั้งหนึ่ง
            ปีใหม่ 2013 ก็ก้าวเข้ามารอเราอยู่ตรงหน้าแล้ว พ่อขอถือโอกาสนี้ส่งความสุข ความชื่นชมยินดี สันติสุข ที่พระกุมารเยซูนำมาให้กับพี่น้องทุกๆท่าน ขอให้พระพรนี้ดำรงอยู่กับพี่น้องทุกๆวันตลอดปีใหม่ พ.. 2556 สุขสันต์วันคริสต์มาส และสวัสดีปีใหม่ครับ
พ่อสุพจน์
................................................................................................................................................................                                                                            
พี่น้องที่รักทุกท่าน
                สุขสันต์วันพระคริสตสมภพแด่พี่น้องสัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์ทุกๆ ท่าน เราได้ผ่านช่วงเวลาของการสมโภชวันพระคริสตสมภพมาแล้วเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา พ่อรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้เห็นพี่น้องสัตบุรุษทั้งหลายได้มาร่วมฉลองพระคริสตสมภพกันอย่างมากมาย ทั้งผู้ที่มาร่วมสนุกสนานในกิจกรรมต่างๆ ที่ทางวัดได้จัดขึ้น ซึ่งได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกๆ ฝ่าย กลุ่มของสภาภิบาลของวัดที่ได้ร่วมกันจัดเตรียมและจัดหาของรางวัลต่างๆ พ่อแม่ของผู้ปกครองของเด็กช่วยมิสซาที่ได้มาช่วยกันจัดเตรียมของรางวัล กลุ่มผู้สูงอายุที่ได้จัดหาอาหารและเครื่องดื่มมาบริการในงานรื่นเริง พี่น้องสัตบุรุษที่น้ำใจดีร่วมบริจาคปัจจัยหรือสิ่งของเพื่อเป็นของรางวัล พนักงานและเจ้าหน้าที่ของวัดที่ได้จัดเตรียมสถานที่ของการจัดงาน ฯลฯ อีกมากมาย ขออภัยหากไม่สามารถกล่าวถึงได้ทั้งหมด นอกจากนี้ในส่วนของกิจกรรมส่งเสริมความศรัทธาพ่อก็รู้สึกดีใจที่พี่น้องสัตบุรุษได้มารับศีลอภัยบาปกันมากมายอีกเช่นกันเพื่อเตรียมจิตใจของเราแต่ละคนสำหรับการฉลองพระคริสตสมภพ  ขอบคุณคุณพ่อทั้งหลายที่ได้มาช่วยฟังแก้บาปและบริการศีลมหาสนิทให้กับพี่น้องสัตบุรุษ การจัดประกวดทำถ้ำพระกุมารก็มีผู้ที่ร่วมส่งประกวดกันมากมายถึง 18 ทีมด้วยกัน ขอบคุณสำหรับผู้ที่จัดเตรียมสถานที่ การตกแต่ง การสร้างบรรยากาศของวัด ทำถ้ำพระกุมารในวัด จัดเตรียมพิธีกรรมได้อย่างสง่างาม สมกับการฉลองการบังเกิดมาของพระองค์ จะเห็นได้ว่าในการจัดงานแต่ละครั้งเราจะเห็นถึงความร่วมมือร่วมใจกันของพี่น้องสัตบุรุษทั้งหลาย ทุกส่วนต่างช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบ ทำให้กิจการงานต่างๆ ดำเนินไปและสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ถึงแม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดตกบกพร่องไปบ้างก็เป็นเหตุสุดวิสัยที่ทุกคนพร้อมที่จะให้อภัยกัน และจะแก้ไขให้ดีขึ้นในโอกาสต่อๆ ไป จึงทำให้งานฉลองพระคริสตสมภพในปีนี้สำเร็จผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
            และขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ ค.ศ. 2013 แด่พี่น้องสัตบุรุษทุกท่าน ขอให้ปีใหม่นี้มีแต่สิ่งที่ดีๆ เข้ามาในชีวิตของเรา สิ่งไม่ดีทั้งหลายขอให้ทิ้งมันไปข้างหลัง และก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความชื่นชมยินดี สวัสดีปีใหม่นะครับ

                                                                                                                                    คุณพ่อศวง

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้อง
พระคุณนี้ใหญ่หลวงยิ่งนักสำหรับเรามนุษย์ทุกคน เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์มาประทับอยู่ท่ามกลางชาวเรา เพื่อไถ่เรามนุษย์ให้พ้นจากบาป และ มอบชีวิตให้กับชาวเรา พระองค์มาเพื่อฟื้นฟูสภาพของเราทุกคนให้กลับมาสู่สถานภาพที่สมบูรณ์และประทานความหวังให้กับเรา พระองค์ได้ปลดปล่อยเราให้ได้รับอิสรภาพ และ มอบเกียรติและศักดิ์ศรีคืนให้กับเรา เพื่อเราจะได้นมัสการพระองค์จากก้นบึ้งแห่งหัวใจของเราด้วยความจริงใจ เราจึงเฉลิมฉลองการเสด็จมาของพระองค์อย่างยิ่งใหญ่ เพราะการเสด็จมาของพระองค์ทำให้เราได้ค้นพบสันติสุข  เราเฉลิมฉลองการเสด็จมาของพระองค์อย่างยิ่งใหญ่ เพราะการเสด็จมาของพระองค์ทำให้เราทุกคนบรรลุถึงความบริบูรณ์ได้

            เราน้อมกราบถวายการนมัสการแด่พระองค์จากก้นบึ้งของหัวใจของเรา ด้วยการเทิดเกียรติสูงสุดแด่พระองค์
            เพราะพระองค์คือ องค์พระผู้สร้าง องค์พระผู้ไถ่ ผู้ประกาศข่าวดี
            เพราะพระองค์คือ พระสงฆ์สูงสุด กษัตริย์ เจ้าชายแห่งสันติภาพ
            เพราะพระองค์คือ ความงดงาม ผู้บรรเทาใจ พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ
            เพราะพระองค์คือ กษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย ต้นกำเนิด และ ที่บรรจบของสรรพสิ่ง
            เพราะพระองค์คือ องค์แห่งความจริง ศิลาหัวมุม คนกลางระหว่างเรามนุษย์กับพระบิดาเจ้า
            เพราะพระองค์คือ หนทาง ความจริง และ ชีวิตนิรันดร
            เพราะพระองค์คือ แสงสว่างส่องโลก ที่ขจัดความมืดมนให้สูญสิ้นไป
            การเสด็จมาของพระองค์เปลี่ยนแปลงสรรพสิ่ง ทำให้เรามีความชื่นชมยินดี และ น้อมใจเทิดพระเกียรติแด่พระองค์อย่างสูงสุดตลอดไป
            องค์ความรอด ได้เสด็จมาแล้ว !!!
                        สุขสันต์วันคริสต์มาส แด่พี่น้องวัดเซนต์หลุยส์ทุกๆท่านครับ
พ่อสุพจน์
                                                                            
 .................................................................................................................................................................
ขอสันติสุขของพระกุมารเจ้าสถิตอยู่กับพี่น้องทั้งหลาย
            พี่น้องครับ พ่ออยากจะรอให้ถึงวันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012เสียก่อน ค่อยเขียนสารวัดฉบับนี้ แต่คงทำไม่ได้ เพราะคงจะส่งต้นฉบับไม่ทันเป็นแน่ อีกอย่างก็เห็นว่าในบทความต่างๆ หนังสือพิมพ์บ้างก็ใช้ตัวเลขเหล่านี้มาสร้างความน่าสนใจให้กับบทความ เป็นการเกริ่นนำไปสู่เนื้อความ ครั้งนี้พ่อขอใช้ตามแนวทางของพ่อบ้าง
            กระแสเรื่องวันสิ้นโลกที่มีมาแต่นมนานมาแล้วก็สร้างความฮือฮาให้คนในยุคนี้ได้ดีทีเดียว ทำให้พ่อต้องมาคิดว่าประโยชน์ที่เราได้จากเรื่องเหล่านี้มีอะไรกับตัวเราบ้าง เชื่อว่าหลายคนคงได้เตรียมฉลองการบังเกิดมาของพระคริสตเจ้าด้านภายในจิตใจด้วยการแก้บาปกันแล้วในวันนั้น หากวันสิ้นโลกทำให้เรากลัวตาย กลัวโลกจะดับมืด กลัวพระอาทิตย์ไม่ส่องสว่างอีก กลัวภัยพิบัติต่างๆ มาคร่าชีวิตเราไป แล้วจึงใช้โอกาสนี้เพื่อตื่นเฝ้า เตือนตัวเองให้ทำแต่ความดี เตรียมตัวเตรียมใจสำนึกผิดแก้บาป และทำกิจใช้โทษบาปแล้วล่ะก็ เรื่องวันสิ้นโลกนี้ก็ช่วยเราได้ดีทีเดียว แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าและอยากจะบอกก็คือ อย่าให้โอกาสนี้เป็นแค่ครั้งเดียวที่เราจะมาขอการอภัยบาปจากพระ และขอพระพรต่างๆ สำหรับตนเอง แต่ว่าเมื่อผ่านวันไปได้แล้วก็เป็นอันจบกัน พ่อขอให้พี่น้องทุกคนได้ยึดมั่นในการปฏิบัติแก้บาปรับศีลฯ อยู่เป็นประจำไว้ด้วยเถิด
            เรื่องราวคำทำนายถึงองค์พระกุมาร น.ยอห์นบัปติสตา แม่พระและนักบุญยอแซฟเศคาริยาห์และนางเอลิซาเบ็ธ บุคคลเหล่านี้ได้ถูกกล่าวขานตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงวันอาทิตย์นี้ด้วย ประกาศกมีคาห์ ภาษาฮีบรูว่า “Mikayahu” แปลว่า “ใครเล่าจะเทียมเท่าพระยาห์เวห์” ท่านมีคาห์เป็นชาวนาชาวไร่ที่อยู่ในยุคสมัยที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมมีสูง บรรดาเจ้าของที่ดินร่ำรวยคอยกดขี่พวกชาวไร่ชาวนา พระสงฆ์และประกาศกทำตัวเป็นพ่อค้าวานิชและนักกฎหมายที่เห็นแก่สินบน เรื่องศาสนาก็ปฏิบัติกันแต่เพียงผิวๆ ภายนอก แต่ละเลยเรื่องภายในจิตใจอันเป็นคุณธรรมทางศาสนา มีคาห์จึงต้องออกมาพูดเตือนสังคมให้ได้ตระหนัก พอจะเห็นภาพของคนในสมัยนี้เป็นอย่างนี้บ้างไหมครับ พ่อก็ต้องมาตรวจสอบตัวเองเหมือนกันครับ ว่าได้ทำอย่างพวกพระสงฆ์สมัยของมีคาห์หรือเปล่า? พี่น้องล่ะครับ คิดว่าอย่างไร???
            ส่วนวันนี้เราได้ยินคำทำนายของมีคาห์ว่า “ผู้ปกครองจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด จะถือกำเนิดมาในเมืองเบธเลเฮม เอฟราธาห์ ท่านจึงแนะนำให้ประชาชนมีความอดทนและรอคอยจนกว่า “หญิงผู้เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร” พระผู้ไถ่นี้จะปกครองเลี้ยงดูประชากรและนำสันติสุขมาให้
            คืนพรุ่งนี้ก็จะเป็นคืนคริสตมาสอีฟแล้ว เชิญชวนพี่น้องได้พากันเข้ามานมัสการองค์พระกุมารที่เรารอคอยมาตลอดสี่อาทิตย์นี้ ขอส่งความสุขวันคริสตมาสและสวัสดีปีใหม่พี่น้องทุกคน ขอพระเจ้าอวยพร
                                                                                                  คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 20142


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            วันคริสต์มาสใกล้เข้ามาอีกนิดหนึ่งแล้ว เหลือเวลาอีกเพียง 8 วัน ก็จะเป็นวันฉลองวันคริสต์มาสประจำปี ค.. 2012 นับเป็นวันฉลองครบรอบการบังเกิดมาครั้งที่ 2012 ขององค์พระเยซูเจ้า ในวันที่พ่อเขียนบทความนี้ ตรงกับวันที่ 12 ธันวาคม 2012 ถ้าจะดูให้เป็นเลขสวยๆหน่อยก็ต้องเขียนว่า 12 12 12 นั่นก็คือ วันที่ 12 เดือน 12 แล้วก็ปีที่ลงท้ายเป็นเลข 12 อีกด้วย ข่าวในหน้าจอโทรทัศน์วันนี้ก็พูดถึงเลขนี้กันยกใหญ่ ว่าจะมีความหมายในทำนองเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ส่วนใหญ่ก็ออกแนวทำนองว่า เป็นกระแสของเรื่องวันสิ้นโลก เหมือนกับกระแสเรื่องปฏิทินของชาวมายา มาหยุดอยู่ที่วันที่ 21 ธันวาคม 2012 ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็วนเวียนอยู่กับเลข 12 นั่นเอง ซึ่งหลายคนก็ตีความว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ หรือ ลางบอกเหตุ ถึงหายนะของโลกและจักรวาล แต่ก็นั่นแหละ คำทำนายทำนองนี้ก็ก่อให้เกิดประเด็นที่จะพูดกันไปหลากหลายทรรศนะ บ้างก็เชื่อบ้าง บ้างก็ไม่เชื่อบ้าง ก็ว่ากันไป แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อเห็นว่ากระแสเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ช่างเหมาะเจาะกับช่วงเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าเสียจริงๆ เพราะเป็นเรื่องที่ชวนให้เราคิดถึง วันเวลาสุดท้ายของโลก และ การเสด็จมาของพระเยซูเจ้า ทั้งในแง่ของการมาเพื่อพิพากษาประมวลพร้อม และ รำลึกถึงการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระกุมารเยซูที่เราเฉลิมฉลองและระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญนี้ในเทศกาลคริสต์มาสทุกๆปี
            เทศกาลคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุข ความยินดี การเฉลิมฉลอง บรรยากาศในเทศกาลนี้คือความงดงามของการประดับประดาตกแต่งด้วยสายรุ้ง ดวงไฟระยิบระยับ เพื่อสื่อถึงบ่อเกิดแห่งความยินดีของเรามนุษย์คือ องค์พระกุมารเยซู ผู้นำความหวัง ความยินดีมาสู่ชาวเรา เพราะพระองค์ทรงนำความรอดพ้นมาให้กับเรามนุษย์ ความรอดพ้นนี้คือ สันติสุข ซึ่งเป็นสุขที่ยืนยาว ไม่เสื่อมคลาย ไม่มีวันจืดจาง ซึ่งดวงวิญญาณของเราทุกคนใฝ่ฝันหา ขอให้เราเตรียมตัวฉลองเทศกาลคริสต์มาสด้วยการประดับประดาจิตวิญญาณของเราแต่ละคน ด้วยการเตรียมจิตใจให้บริสุทธิ์พร้อม เพื่อการมาบังเกิดของพระเยซูจะสร้างความหมายที่ยิ่งใหญ่ในใจของเราทุกคน

พ่อสุพจน์

......................................................................................................................................................... 

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
                 เวลานี้เรามาถึงหัวใจของบูชามิสซาแล้ว คือ “บทขอบพระคุณ” (Prex eucharistica) ซึ่งเริ่มด้วยการโต้-ตอบรับระหว่างพระสงฆ์กับสัตบุรุษ ตามมาด้วย “บทเริ่มขอบพระคุณ” (Praefatio) และจบด้วยบทยอพระเกียรติท้ายบท (doxology) ขณะที่พระสงฆ์สวดบทขอบพระคุณเราคริสตชนควรทำอะไร? ขอตอบว่าเราคริสตชนที่ร่วมในพิธีควรร่วมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าในการคิดถึงการกินเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูเจ้ากับบรรดาอัครสาวก พระองค์ทรงภาวนาเหนือขนมปังและเหล้าองุ่นซึ่งเป็นธรรมเนียมของชาวยิวเรียกว่า berakah ซึ่งเราแปลว่า “คำภาวนาขอบพระคุณ” เป็นคำภาวนาถวายพระพรและขอบพระคุณพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้กระทำทุกสิ่งเพื่อมนุษยชาติตลอดประวัติศาสตร์แห่งความรอด เมื่อครั้งรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายพระเยซูเจ้าทรงภาวนาเหนือขนมปังและเหล้าองุ่นและแจกจ่ายให้บรรดาศิษย์ได้รับประทาน ซึ่งต่อมาหมายถึงพระกายและพระโลหิตของพระองค์ที่สละเพื่อเป็นบูชา การรับพระกายและพระโลหิตนี้เป็นการแสดงถึงความสนิทสัมพันธ์ในบูชาแห่งการไถ่บาปซึ่งมีพระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางเรา นอกจากนี้บทขอบพระคุณยังเป็นการประกาศยืนยันความเชื่อความศรัทธาที่พระศาสนจักรมีต่อศีลมหาสนิท บทขอบพระคุณมาหลายบทด้วยกัน เพราะว่าไม่มีบทใดสามารถแสดงออกถึงความเข้าใจของพระศาสนจักรเกี่ยวกับศีลมหาสนิทได้อย่างเพียงพอในทุกๆ แง่มุมได้
            บทตอบโต้ระหว่างพระสงฆ์กับสัตบุรุษเป็นถ้อยคำอันประเสริฐที่ใช้กันมาอย่างน้อยปี ค.ศ. 200 เป็นต้นมาแล้ว คำว่า “พระเจ้าสถิตกับท่าน” เป็นคำทักทายของคริสตชนดั้งเดิมมาก จากพระคัมภีร์(วนฉ 6:12, ลก 1:28) เป็นการยืนยันว่าพระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางสัตบุรุษที่มาชุมนุมกัน ส่วนคำว่า “จงสำรวมจิตใจคิดถึงพระเจ้า” เป็นคำเชื้อเชิญให้ยกจิตใจไปยังพระบัลลังก์แห่งพระหรรษทาน ซึ่งเป็นที่ที่พระเยซูเจ้ากำลังถวายพิธีกรรมแห่งสวรรค์ โดยถวายพระองค์เองแก่พระบิดาเจ้าเพื่อเรา และคำว่า “จงขอบพระคุณพระเจ้าพร้อมกันเถิด” เป็นการปฏิบัติตามสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงให้ปฏิบัติเพื่อขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้าสำหรับกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยเฉพาะการกอบกู้มนุษยชาติ บทตอบโต้ระหว่างพระสงฆ์กับสัตบุรุษนี้จึงเป็นการเตือนเราให้ละสิ่งที่เป็นความกังวลในใจของเราทั้งหมด และยกจิตใจขึ้นหาสิ่งที่ควรคารวะสูงสุดของเราเป็นการสรรเสริญ ขอบพระคุณและวอนขอต่อพระบิดาพร้อมกับพระเยซูเจ้า
            ช่วงเวลาที่เราคริสตชนกำลังรอคอยการเฉลิมฉลองการบังเกิดมาของพระเยซูคริสตเจ้าในเทศกาลเตรียมพระคริสตสมภพอยู่นี้ เป็นโอกาสดีที่เราจะคิดถึงความรักของพระเจ้าและขอบพระคุณพระองค์ ด้วยการปรับเปลี่ยนชีวิตของเราให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นเพื่อสรรเสริญพระเจ้าและมอบถวายตัวของเราแด่พระองค์ตลอดไป
                                                                                                            ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
                                                                                                                        คุณพ่อศวง

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                นี่ก็เพิ่งผ่านวันพ่อไปหมาดๆ อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงภาพที่น่าประทับใจที่พสกนิกรชาวไทยกว่าสองแสนคนพร้อมใจกันใส่เสื้อเหลืองไปเฝ้ารับเสด็จในหลวง ในการเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา แม้ว่าพ่อจะชมภาพอันน่าประทับใจนี้ผ่านจอโทรทัศน์ โดยไม่ได้มีโอกาสที่จะไปอยู่ร่วมกับผู้คนจำนวนมากที่ลานพระบรมรูปทรงม้าก็ตาม ก็มีความรู้สึกปลาบปลื้มปิติเป็นอย่างมากเพราะสัมผัสได้ถึงหัวใจของคนไทยจำนวนมากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อในหลวงของเรา พระพักตร์ของในหลวงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความผ่องใส แสดงถึงพระพลานามัยที่ยังสมบูรณ์ตามอัตภาพ ยิ่งได้เห็นใบหน้าของผู้คนจำนวนมากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีเป็นล้นพ้นในยามที่ได้ชื่นชมพระบารมีในโอกาสนี้ยิ่งทำให้รู้ว่า ในหลวงของเราคือศูนย์รวมดวงใจของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
                โอกาสวันพ่อ พ่อก็คิดถึงบิดาของพ่อเองเหมือนกัน เลยถือโอกาสขับรถไปเยี่ยมเยียนท่านที่บ้าน ครอบครัวของเรามีพี่น้องชายหญิงรวมกัน 5 คน แต่ปีนี้สมาชิกพี่น้องของเราหายไปหนึ่งเสียแล้ว เพราะน้องสาวคนหนึ่งของพ่อซึ่งเป็นสมาชิกภคิณีคณะพระหฤทัยพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ ต้องมาด่วนจากทุกคนไปด้วยอายุขัยเพียง 45 ปีเท่านั้น ด้วยโรคมะเร็ง "ซิสเตอร์ปุ๊ก" ซึ่งเป็นชื่อที่เราเรียกกันในหมู่พี่น้องมักจะเป็นคนคอยโทรตามนัดพี่น้องทุกคนให้กลับไปบ้านในโอกาสวันพ่อเสมอๆ แต่ปีนี้ไม่มีใครทำหน้าที่นี้อย่างเคย โอกาสวันพ่อปีนี้พ่อเลยสอบถามน้องๆที่เหลืออีก 3คน ว่ามีใครสามารถกลับไปเยี่ยมบิดาที่บ้านในวันพ่อได้บ้าง แต่ปรากฏว่าปีนี้ทุกคนติดภารกิจการงานหน้าที่ที่รับผิดชอบกันซะหมด พ่อเลยเป็นตัวแทนน้องๆทุกคนกลับไปเยี่ยมบิดาที่บ้าน ในวัย 83 ปีของท่าน ท่านก็ยังแข็งแรงตามวัย เดี๋ยวนี้ต้องใช้ไม้เท้าช่วยในยามเดินเหินไปไหนมาไหน อยู่อาศัยกับคุณแม่เพียงสองคนที่บ้านเจ้าเจ็ด ส่วนน้องๆต่างก็ไปทำงานกันตามหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง ตั้งแต่มาปฏิบัติหน้าที่ที่วัดเซนต์หลุยส์แห่งนี้ พ่อไม่ค่อยได้มีโอกาสเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านได้บ่อยเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่วันพ่อวันนี้ที่บ้านของเรายังคงอบอุ่น เพราะแม้ว่าลูกๆจะไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่ใจของเรายังคงเป็นหนึ่งเดียวกันในความรัก ความกตัญญูรู้คุณต่อท่านเสมอ

พ่อสุพจน์
............................................................................................................

ขอสันติสุขของพระกุมารเจ้าสถิตอยู่กับพี่น้องทั้งหลาย
            ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย คริสตชนไทยเราได้เจริญขึ้นมาได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ผู้ประกอบด้วยทศพิศราชธรรมผู้นี้ ด้วยเหตุนี้ ทั่วทุกหัวระแหงในเมืองไทยจึงพร้อมใจกันสดุดีพระองค์ จุดเทียนชัยถวายพระพร ริเริ่มกิจการดีอันเป็นกุศลถวายแด่พระองค์ เท่าที่พอจะนึกได้ คาทอลิกไทยเราก็ได้มีการจัดคอนเสิร์ต การเดิน-วิ่งเฉลิมพระเกียรติ การฉลองวัดพระมารดานิจจานุเคราะห์ในวันพ่อที่ผ่านมาก็มีพิธีอาศิรวาทฯ พวกเราต่างแสดงออกในกิจกรรมที่ตนเองถนัด พ่อเองก็เชื่อว่าพี่น้องคริสตชนไทยเราจงรักภักดี และอยากจะทำดีเพื่อในหลวงของเราเช่นกัน
            เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (ADVENT) แล้ว ทำให้พ่อนึกถึงความหมายของเทศกาลนี้ที่เราได้รอคอย เตรียมตัว และเฝ้ารับเสด็จพระคริสตเจ้า เรารอคอยโดยรู้ว่าพระองค์จะมาแน่นอน แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร สีม่วงในเทศกาลนี้ ตามที่อาจารย์พิธีกรรมได้ให้ความรู้ไว้ เป็นสีม่วงอ่อน เพราะเตือนให้เป็นทุกข์ถึงบาปกลับใจ แต่น้ำหนักน้อยกว่าในเทศกาลมหาพรต ที่เป็นพรตใหญ่กว่า อย่างไรก็แล้วแต่ พระวาจาวันนี้กล่าวถึงนักบุญยอห์นบัปติสตา ผู้เป็นเสียงร้องในถิ่นทุรกันดารว่า “จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็ม ภูเขาและเนินทุกแห่งจะถูกปรับให้ต่ำลง ทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรง ทางขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจากพระเจ้า”
            แค่คำว่าเสียงร้องในถิ่นทุรกันดารก็มีความหมายมากแล้ว “ถิ่นทุรกันดาร” ทำให้เรานึกถึงที่สงบเงียบ ที่เราสามารถฟังเสียงต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เหตุนี้ยอห์นถึงต้องไปร้องประกาศในถิ่นทุรกันดาร แต่ว่าก็น่าแปลก เพราะหากเป็นพวกเราคงไม่ไปร้องที่นั่นแน่ เพราะคงไม่มีใครอยู่  ไม่รู้จะร้องให้ใครฟัง แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่คน แต่อยู่ที่การฟังต่างหาก และนี่คือจุดประสงค์ของพระวาจาในวันนี้ เปิดหูของเราฟังพระวาจาของพระเจ้า เปิดใจของเราเพื่อทบทวนความบาปผิดบกพร่องของเรา เปิดตาของเรามองไปที่คนยากจนขัดสนและทุกข์ยากกว่าเราเพื่อช่วยเหลือเขา เมื่อนั้นเราจะร่วมกันเปิดโลกใบนี้ด้วยกันให้เห็นถึงข่าวดีที่พระกุมารมาบังเกิดเพื่อเราทุกคนจริงๆ
            พี่น้องครับ หากช่วงปลายปีนี้ยังวุ่นวายกับเรื่องต่างๆ มากเกินไป ลองหยุดบ้าง ไม่ต้องถึงกับเข้าป่า ออกทะเล หรือไปกลางทะเลทรายจริงๆ แต่ขอให้หยุดนิ่ง เพื่อสวดภาวนา ฟังพระวาจาพระเจ้า เพื่อทบทวนดูความเชื่อของเราว่าเป็นอย่างไร ความเชื่อควรมาจากการฟัง สังเกตดูตอนล่ามภาษามือออกมาแปลคำว่าความเชื่อ หรือข้าพเจ้าเชื่อสิครับ เขาจะชี้มือไปที่หู เพราะถ้าไม่ฟังก็ไม่มีทางมีความเชื่อแน่นอน
                                                                                 ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
                                                                                    คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            คำกล่าวที่ว่า "สายน้ำไม่คอยท่า วันเวลาไม่คอยใคร" ช่างเป็นคำกล่าวที่เตือนใจเราให้เห็นคุณค่าของเวลาที่เราแต่ละคนมีอยู่เสียจริงๆ เพราะหลายครั้งเรามนุษย์เราก็เป็นเหมือนปลาที่ว่าย อยู่ในน้ำ ชีวิตของมันคุ้นเคยอยู่กับน้ำจนลืมความสำคัญของน้ำไป ต่อเมื่อไม่มีน้ำนั่นแหละจึงจะตระหนักถึงความสำคัญของน้ำที่มีความจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของปลาทุกตัว ในทำนองเดียวกัน มนุษย์จำนวนมากขาดความคิดคำนึงที่ถูกต้องในการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ บางคนไม่เห็นคุณค่าของเวลา เมื่อเปิดตาตื่นขึ้นมา ก็ใช้เวลาไปเรื่อยอย่างขาดจุดมุ่งหมาย ใช้เวลาอย่างสิ้นเปลือง โดยหารู้ไม่ว่า เวลาที่เราใช้ไปแล้วก็ผ่านไปไม่มีวันหวนกลับเอามาใช้ใหม่ได้อีก เราแต่ละคนสูญเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากมาย ด้วยเหตุนี้ขอให้เรารู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์และมีคุณค่าสำหรับชีวิตของเราเอง และ ชีวิตของผู้อื่นด้วย อย่าให้วันเวลาผ่านไปจนเข้าตำราที่ว่า "เมื่อคิดได้ ก็สายเสียแล้ว"
             เราเข้าสู่เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าแล้ว นั่นหมายความว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมตัวรับการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสตเจ้า ทั้งในแง่ที่ว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งเพื่อพิพากษามวลมนุษย์ และทั้งในแง่ที่ว่า เรากำลังเตรียมตัวรำลึกถึงช่วงแห่งการที่พระองค์ได้เคยมาบังเกิดเป็นมนุษย์ มารับเอาธรรมชาติมนุษย์เยี่ยงเราทุกคน การเตรียมตัวนี้จึงหมายถึง การจัดแจงชีวิตของเราให้พร้อมเสมอสำหรับวันเวลาสุดท้ายของชีวิตของเราแต่ละคนนั่นเอง พูดง่ายๆว่า เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความตายที่จะมาถึง หรือ ให้สั้นและชัดกว่านั้นอีกก็คือ เตรียมตัวตายอย่างดี นั่นเอง เพราะโดยธรรมชาติของเราทุกคน ชีวิตที่เรามีและเป็นอยู่ในโลกนี้นั้น เป็นเรื่องชั่วคราว ไม่ถาวร ไม่จีรัง และก็ไม่แน่นอนอีกด้วย เราทุกคนจึงต้องตั้งเป้าหมายในการดำรงชีวิตให้ชัดเจน เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเรามนุษย์ทุกคนในโลกนี้ก็คือ การเดินทางไปสู่เมืองสวรรค์ ซึ่งเป็นบ้านแท้ ถาวร นิรันดรของเราทุกคน ด้วยเหตุนี้ วันเวลาทุกนาทีของเราจึงควรมุ่งหน้าเดินตรงไปยังเป้าหมายนี้ด้วยการประกอบคุณงามความดี และ ถือปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าเสมอ
พ่อสุพจน์
......................................................................................................................................................

พี่น้องที่รักทุกท่าน
             ภาคที่สองของพิธีบูชาขอบพระคุณคือ ภาคพิธีศีลมหาสนิท ซึ่งฟังดูเหมือนกับว่าเป็นเพียงพิธีเสกศีลและการรับศีลมหาสนิทเท่านั้น แต่ความจริงแล้วมีรายละเอียดต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ดังที่จะนำเสนอให้พี่น้องได้รับรู้ดังนี้ เริ่มแรกคือการเตรียมถวายเครื่องบูชา ก่อนที่จะมีการนำเครื่องบูชามาถวายซึ่งจะกลายเป็นพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้านั้น จะต้องมีการเตรียมพระแท่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพิธีศีลมหาสนิทโดยการปูผ้ารองถ้วยกาลิกส์ จานศีล ผ้าเช็ดถ้วยกาลิกส์ ถ้วยกาลิกส์ และหนังสือมิสซามาวางบนพระแท่น จากนั้นนำของถวายมาซึ่งแต่เดิมสัตบุรุษจะเป็นผู้นำแผ่นปังและเหล้าองุ่นมาถวายเพราะเป็นสิ่งที่สัตบุรุษสามารถทำขึ้นมาเองได้ แต่ในปัจจุบันสัตบุรุษจะไม่เป็นผู้นำมาถวายแล้ว แต่มักจะใช้สิ่งอื่นเป็นการทดแทน เช่น เงิน หรือของอื่นๆ เช่น น้ำมัน เนย ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ ในประวัติศาสตร์เคยมีบันทึกไว้ว่า นักบุญซีเปรียนได้ตำหนิสตรีฐานะดีคนหนึ่งที่มักไปวัดโดยไม่มีอะไรมาถวาย และรับศีลมหาสนิทจากขนมปังซึ่งคนจนนำมาถวาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สตรีผู้นั้นควรที่จะน่าละอายใจ
            ต่อจากนั้นมีการถวายกำยานแด่เครื่องบูชาและพระแท่นซึ่งหมายถึงเครื่องบูชาและคำภาวนาของพระศาสนจักรลอยขึ้นไปยังพระผู้เป็นเจ้า ส่วนการล้างมือของพระสงฆ์นั้นมีกำเนิดมาจากประเพณีของตะวันออก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการชำระล้างจิตใจ นักบุญซีรีลแห่งเยรูซาเล็มพูดถึงเรื่องนี้ว่า ฉะนั้นจงชำระจิตใจด้วย มิใช่เพียงชำระมือที่เปื้อน ต่อจากการล้างมือของพระสงฆ์จะเป็นบทภาวนาของพระสงฆ์ก่อนเข้าสู่พิธีเสกศีลมหาสนิท แต่เดินนั้นเป็นการเชิญชวนให้พระสงฆ์ที่ร่วมในพิธีได้ร่วมใจกันภาวนาพร้อมกับประธาน แต่เมื่อมีพระสงฆ์ประกอบพิธีเพียงคนเดียวจึงเชิญชวนให้สัตบุรุษได้ภาวนาในใจร่วมกัน คำภาวนานี้เป็นการวอนขอให้พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดรับเครื่องบูชาที่กำลังถวายนี้และขอให้มิสซานี้เป็นคุณประโยชน์แก่ตัวของผู้ร่วมพิธีทั้งหลายตามจุดประสงค์ที่ได้วอนขอไว้
            อาทิตย์นี้เราเข้าสู่ปีพิธีกรรมใหม่ของพระศาสนจักรคือ ปีซี (Year C) โดยเริ่มเข้าสู่สัปดาห์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า อาทิตย์นี้มิสซา 17.30 น. จะมีพิธีต้อนรับคริสตชนใหม่ที่เรียนคำสอนผู้ใหญ่กับวัดของเรา เป็นจำนวน 12 ท่านด้วย จึงขอพี่น้องร่วมใจกันภาวนาและเป็นกำลังใจให้กับผู้เตรียมตัวสำหรับเป็นคริสตชนใหม่ของวัดของเราด้วย และในโอกาสที่เราเข้าสู่เทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะเตรียมจิตใจของเราสำหรับการเฉลิมฉลองพระคริสตสมภพในปีนี้ โดยหวังว่าเราทุกคนจะได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมในชีวิตคริสตชนของเราเสมอไป
                                                                                                                                    คุณพ่อศวง

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            ตามที่พี่น้องได้ให้ความกรุณาบริจาคเงินเพื่ออารามคาร์แมล เจโลรัป ออสเตรเลีย เพื่อช่วยเหลือทางอารามจัดปรับปรุงห้องพยาบาลเพื่อดูแลซิสเตอร์ที่ป่วยหนักไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้นั้น พ่อได้โอนเงินไปยังบัญชีของอารามเรียบร้อยแล้ว และ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพ่อได้รับอีเมล์จากอารามคาร์แมล เจโลรัป ที่ออสเตรเลีย ส่งข้อความมาขอบคุณพี่น้องความว่า "เราขอขอบคุณสำหรับเงินบริจาคที่ได้ส่งมาให้ พร้อมกับรายชื่อของผู้บริจาค และ จุดประสงค์คำภาวนาต่างๆ เราจะระลึกถึงท่านในคำภาวนาประจำวันของเราเสมอ ต้องขออภัยด้วยที่ล่าช้าในการตอบจดหมาย เพราะซิสเตอร์คริสตินา สมาชิกคนหนึ่งของเราต้องล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งในระยะสุดท้าย เธอคงจะกลับไปหาพระเจ้าในไม่ช้านี้ ตอนนี้พวกเราค่อนข้างยุ่งกับการตระเตรียมหลายสิ่งหลายอย่าง และ ต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดด้วย โปรดภาวนาเพื่อซิสเตอร์และพวกเราในมิสซา และ ในคำภาวนาเสมอๆด้วย ขอพระเจ้าโปรดตอบแทนน้ำใจดีของคุณพ่อและสัตบุรุษทุกๆท่าน ขอพระองค์โปรดประทานพระพรให้ร้อยเท่าพันทวีในชีวิตนี้ และ ในชีวิตหน้าที่จะมาถึง ลงชื่อ ซิสเตอร์ เบเนดิกตา  ป.. เราจะจัดส่งรูปของห้องพยาบาลที่ได้รับการปรับปรุงใหม่มาให้ดูทันทีเมื่อดำเนินการสำเร็จแล้ว ว่ามีหน้าตาอย่างไร หวังว่าคงอีกไม่นาน"
            พ่อก็ขอถือโอกาสนี้ ขอบคุณพี่น้องทุกๆท่านที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสนับสนุนให้กับซิสเตอร์ที่ต้องจากบ้านไปไกล เพื่อดำเนินชีวิตตามกระแสเรียกที่พระเจ้าประทานให้ พ่อเชื่อว่าความเอื้ออาทร และน้ำใจที่เรามีให้กับกันและกัน จะเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเราแต่ละคนจนสำเร็จตามพระประสงค์ของพระเจ้าครับ

พ่อสุพจน์
...................................................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
ประชาชนชาวไทยเราโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์ที่นับว่าเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้กับทุกคนได้ และสิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทั้งโลก ที่ต่างชื่นชมพระบารมี และปรารถนาจะทำดี หรือทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลด้วย ดังนั้น คาทอลิกไทยโดยการนำของสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย จึงได้จัดให้มีงานคอนเสิร์ตเทิดไท้มหาราชา มหาราชินี เมื่อวันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน  ที่ผ่านมา ณ หอประชุมทรีนีตี้ร.ร.เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ และหลายคนที่ได้ไปร่วมงานต่างก็ชื่นชมไปกับการจัดงานอย่างมีคุณภาพ ความร่วมมือขององค์กรคาทอลิกต่างๆ เพื่อให้งานนี้สำเร็จไป
            เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พ่อได้เข้าไปมีส่วนในการดำเนินงานครั้งนี้ และก็ภาคภูมิใจมากที่ได้เห็นงานออกมาดี หลายคนต่างชื่นชมและได้มีส่วนในการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อแห่งแผ่นดินพระองค์นี้ จึงอยากจะขอเล่าให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ไปฟังและซึมซับบรรยากาศฟังคร่าวๆ
            ในช่วงเริ่มต้นงานก็เป็นการอาศิรวาทและวจนพิธีกรรมโดยพระคุณเจ้าเกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ส่วนนี้แสดงออกถึงความเป็นคาทอลิกที่จะขาดพระวาจาไปไม่ได้เลย หลังจากนั้นก็มีพิธีกรได้ออกมากล่าวนำเข้าสู่ภาคต่างๆ ของงานเพื่อให้เห็นถึงสายสัมพันธ์และพระมหากรุณาธิคุณต่อคาทอลิกไทยของเรา โดยแบ่งออกเป็นสี่ภาคดังนี้
1) “องค์อุปถัมภกการศึกษา”ภาคนี้ได้บทสัมภาษณ์คุณแม่บุญประจักษ์ (อายุครบ 100 ปี) กล่าวถึงเรื่องวัยเยาว์ที่พระองค์ท่านได้เรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของมิชชันนารีกับงานด้านการศึกษาภายใต้ร่มพระบารมี
2) “ศาสนา ธ เกื้อกูล”ภาคนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพระศาสนจักรและพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง พ่อประทับใจพระดำรัสของในหลวงที่เคยตรัสไว้กับพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 มาก ที่ว่า “บ้านเมืองของเรานี้มีอิสระในการนับถือศาสนา มีคาทอลิกอยู่ก็มา และเป็นพลเมืองที่ดีด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า หากใครยึดมั่นในหลักศาสนาแล้ว เขาทั้งหลายล้วนเป็นคนดี”
3) “ทรงผูกสายสัมพันธ์”ภาคนี้มีพระคาร์ดินัลของเราได้มาเล่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 เสด็จเยือนเมืองไทย และสายสัมพันธ์ระหว่างกันในรัชกาลปัจจุบัน
4) “ทุกวันชื่นชมพระบารมี”แสดงถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์ที่ทรงเกื้อกูลศาสนาคาทอลิกตลอดมา จึงได้มีบทสัมภาษณ์พิเศษตัวแทนคาทอลิกไทยที่ชื่นชมในทุกหยาดเหงื่อ ทุกความอุทิศตนทุ่มเทที่ทรงมีของปวงชนชาวไทย และคุณหญิงปัทมา ในนามตัวแทนคาทอลิกไทยได้กล่าวคำสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและคำมั่นสัญญาจะเป็นประชาชนที่ดี จะทำเพื่อสืบสานความดีที่พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงริเริ่มไว้นี้สืบไป
ต้องขอบอกว่าพ่อชื่นชมกับทีมงาน ทั้งนักร้องรับเชิญ อันได้แก่ คุณหญิงปัทมา, อ.มานิตย์,คุณจอห์น นูโว, คุณเพชร KPN, คุณศิโยน, นักขับร้อง BANGKOK CANTATE, นักขับร้องประสานเสียงเฉพาะกิจ ยังมี อ.อภิสิทธิ์ วงศ์โชติ ผู้อำนวยเพลง, อ.ศรินทร์ จินตนเสรี ผู้ฝึกซ้อมหลักที่ทุ่มเทให้กับงานนี้มาก และ ดร.อภิชาต ผู้ดำเนินรายการ ที่ได้ร้อยเรียงทั้งสี่ภาคนี้ให้สอดประสานกันอย่างลงตัว ร่วมกับบทเพลงต่างๆ และการแสดงจินตลีลาอีก 2 ชุดที่มาสร้างสีสันให้งานครั้งนี้ งานนี้เราคัดเลือกเฉพาะที่เป็นคาทอลิกเท่านั้นจริงๆ นะครับ
หลายเสียงต่างพูดกันหลังงานนี้ว่า “อยากให้มีงานอย่างนี้อีก” “เราพบกันใหม่ปีหน้านะ” และต่างๆ นานา “ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ” สำหรับใครที่ไม่มีโอกาสได้รับฟังบทเพลงอันไพเราะพร้อมการบรรเลงของวงออเคสตร้าครั้งนี้ ลองติดตามดูนะครับ น่าจะมีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ให้ได้รับชมรับฟัง และแสดงความจงรักภักดีไปพร้อมกับชาวคาทอลิกไทยทุกคนครับ
สุดท้ายนี้ ไม่ลืมที่จะกล่าวว่า คริสตชนเราก็มีกษัตริย์ที่ครองจิตใจและจิตวิญญาณของเราอยู่ด้วย นั่นคือองค์พระเยซูเจ้าที่พวกเรามาฉลองกันวันอาทิตย์นี้ แม้เป็นวันสิ้นปีพิธีกรรมแล้ว แต่สายสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์ยังคงมีไปต่อเนื่อง ขอเพียงเราไม่ปฏิเสธพระองค์ก่อน ขอพระเจ้าทรงครอบครองจิตใจพี่น้องทุกคน
                                                                                           คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพ่อพูดถึงการสวดภาวนาแบบยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้าในชั่วขณะที่เราอยากจะสนทนากับพระองค์โดยพลัน ตามวิธีการของนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู ซึ่งเป็นวิธีการในการภาวนาแบบง่ายๆในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องใช้เวลามากมาย เราจะภาวนาแบบฉับพลันนี้ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ นับว่าช่วยทำให้ชีวิตภาวนาและ ชีวิตประจำวันของเราสามารถดำเนินควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างสนิทสนมกลมกลืน เราสามารถนำหลักการภาวนาแบบนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกสถานะการณ์ของชีวิต อาทิ เมื่อทำงานสำเร็จ เราก็มองไปยังรูปพระแล้วบอกกับพระองค์ "ขอบคุณพระองค์นะ" หรือ เมื่อเราเหน็ดเหนื่อย พบความยากลำบากในการทำงาน เราก็ยกสายตาขึ้นสู่ที่สูงแล้วบอกกับพระองค์ว่า "โอย วันนี้ฉันพบอุปสรรคเยอะจังเลยนะพระองค์" หรือ ในยามที่เราพบกับความผิดหวังเพราะสาเหตุใดๆก็ตาม เราก็บอกกับพระองค์ว่า "ตอนนี้เศร้าใจ ขอพระองค์บรรเทาใจด้วย" หรือ ในยามที่เรากังวลใจกับอนาคตที่ยังไม่แน่นอน เราก็ภาวนากับพระองค์สั้นๆว่า "ขอฝากความหวังไว้กับพระองค์ แต่ถ้าน้ำพระทัยของพระองค์เป็นอย่างไร ก็ขอน้อมรับ"
            จะเห็นได้ว่า ไม่ยากเลยที่จะภาวนา ในชีวิตจริง เพียงแต่การภาวนาเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีใกล้ชิด มิตรภาพแนบแน่นต่อกัน เราต้องไม่คิดว่า พระเจ้าอยู่ห่างไกลจากเรา พระองค์สูงส่งจนกระทั่งเราเอื้อมไม่ถึง แต่พระองค์อยู่ใกล้กับเรามากกว่าที่เราคิด ถ้าเราเคยแก้ตัวว่า ไม่มีเวลาสวดภาวนาเลย หรือ ยังหาโอกาสเหมาะๆสวดภาวนาไม่ได้ คำแก้ตัวนี้คงล้าสมัยไปซะแล้ว

พ่อสุพจน์
...................................................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
             วันนี้มาต่อกันที่ภาควจนพิธีกรรมซึ่งเป็นส่วนของภาคของพระวาจาของพระเจ้า ประกอบด้วย บทอ่านจากพระคัมภีร์หนึ่งหรือสองบท เพลงคั่นระหว่างบทอ่าน พระวรสาร การเทศน์เตือนใจ การประกาศยืนยันความเชื่อ และบทภาวนาเพื่อมวลชน ซึ่งภาควจนพิธีกรรมนี้พระศาสนจักรไม่ได้คิดค้นขึ้นมาเอง แต่นำมาจากการปฏิบัติของชาวยิวในพันธสัญญาเดิมที่ถือปฏิบัติกันในโรงธรรม
            การรับฟังบทอ่านจากพระคัมภีร์และการเทศน์เตือนใจของพระสงฆ์เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเป็นเจ้าทรงตรัสกับประชากรของพระองค์และทำให้เราทราบถึงธรรมล้ำลึกแห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ พระองค์ทรงหล่อเลี้ยงวิญญาณของเราด้วยพระวาจาของพระองค์ และรวมถึงการแสดงถึงการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้าท่ามกลางประชาสัตบุรุษ ดังนั้นในพิธีกรรมจะต้องแสดงออกให้เห็นถึงการแสดงความเคารพอย่างยิ่งต่อพระวรสารเป็นพิเศษกว่าบทอ่านจากพระคัมภีร์ด้วยการยืนฟังและพนมมืออย่างสำรวม
            การเทศน์เตือนใจเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตคริสตชนจะต้องเป็นการอธิบายบางแง่ในบทอ่านจากพระคัมภีร์ โดยคำนึงถึงธรรมล้ำลึกที่กำลังฉลองในวันนั้นๆ การเทศน์เตือนใจมีลักษณะพิเศษแตกต่างกว่าการเทศน์ในรูปแบบอื่น เช่น การเทศน์สอนเพื่อให้คนกลับใจ การสอนคำสอน การเทศน์เตือนใจนี้เป็นการอธิบายและโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้าที่ตรัสกับเราทางบทอ่านจากพระคัมภีร์ที่ได้รับฟังในวันนั้น
            การประกาศยืนยันความเชื่อไม่ใช่เพียงการท่องบทข้อความเชื่อของคริสตชนแต่เพียงอย่างเดียวแต่เป็นการประกาศยืนยันถึงความเชื่อความศรัทธาที่เรามีต่อพระเป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และความหวังที่จะมีส่วนร่วมพร้อมกับพระคริสตเจ้าในการกลับคืนชีพและชีวิตนิรันดร จึงมักจะมีการประกาศยืนยันความเชื่อในทุกวันอาทิตย์และวันสมโภชหรือวันฉลองสำคัญๆ
            บทภาวนาเพื่อมวลชนหรือการภาวนาของมวลชนนี้มักมีจุดประสงค์เพื่อความต้องการของพระศาสนจักร เพื่อผู้ประสบทุกข์ เพื่อผู้ปกครองบ้านเมืองและประโยชน์สุขของโลก และเพื่อชุมชนของวัดนั้นๆ เป็นที่น่าสังเกตว่าในบทภาวนานี้สัตบุรุษจะมีบทบาทโดยเฉพาะ เพราะเป็นหน้าที่ของคริสตชนที่จะต้องภาวนาเพื่อมนุษยโลก ดังนั้นบทภาวนาจึงมาจากความต้องการของสัตบุรุษโดยรวมเพื่อภาวนาวอนขอต่อพระเจ้าให้พระองค์ทรงสดับฟังคำภาวนาของมวลสัตบุรุษโดยพระสงฆ์ทำหน้าที่กล่าวนำและสรุปคำภาวนาของมวลชนต่อพระเจ้า
            ดังนั้นในภาควจนพิธีกรรมนี้จึงทำให้สัตบุรุษได้รับฟังพระวาจาของพระเจ้าเพื่อนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา และพร้อมกับการเสนอคำภาวนาต่อพระเจ้าเพื่อขอพรจากพระองค์สำหรับเพื่อช่วยเหลือเราให้ซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเราได้อย่างดี ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งดีที่เราจะตั้งใจรับฟังพระวาจาของพระเจ้าเสมอๆ เพื่อจะได้นำมาเป็นแนวทางสำหรับการเจริญชีวิตของเราแต่ละคน
                                                                                                                                    คุณพ่อศวง

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            วันนี้พ่ออยากพูดคุยกับพี่น้องเรื่อง "วิธีการง่ายๆในการสวดภาวนาในชีวิตคริสตชนของเรา ทุกคนต่างเข้าใจดีว่า การภาวนาเป็นสิ่งที่สำคัญ และ พ่อก็เชื่อว่าทุกคนตระหนักดีในประเด็นดังกล่าว  หลายคนกล่าวว่า เขารู้ว่าการสวดภาวนาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ เขาไม่รู้จะภาวนาอย่างไรดี เพราะเขารู้สึกว่าการภาวนาเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และ ต้องใช้เวลามาก
            ดังนั้น วันนี้พ่อจึงอยากจะพูดคุยกับพี่น้องในประเด็นนี้แหละครับ  นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู เคยเขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องการภาวนาอย่างง่ายๆเอาไว้ว่า "สำหรับฉัน การภาวนาคือการยกจิตใจขึ้น เพียงแค่ยกสายตามองไปยังสวรรค์ พร้อมกับถ้อยคำที่แสดงความตระหนักรู้ ในความรัก ที่โอบอุ้มความยากลำบากในชีวิตและความชื่นชมยินดีเอาไว้ภายใน"
            ให้สังเกตดูนะครับว่า สำหรับท่านนักบุญเทเรซา ผู้ได้รับการขนานนามว่า ดอกไม้น้อย นั้น สำหรับท่านแล้ว การภาวนาไม่ใช่เรื่องของความคิดที่เกิดขึ้นในสมอง แต่เป็นเรื่องของหัวใจ ความรู้สึกในจิตใจที่ดำเนินอยู่ ในขณะใดขณะหนึ่ง ที่เรายกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า ดังนั้น อาจใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจเดียวในการภาวนา เช่นในขณะที่เรากำลังเดินอยู่ หรือ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน หรือ ในยามที่รถติดอยู่ที่ไฟแดง หัวใจของเรายกขึ้นไปหาพระเจ้า ซึ่งไม่ต้องอาศัยกระบวนการใดๆที่ซับซ้อน ไม่ต้องฝึกหัดแบบฝึกหัดอะไรที่ยุ่งยาก คำภาวนาของเราอาจเป็นคำสั้นๆที่เรียบง่าย เช่น "ขอบคุณ" หรือ "ช่วยด้วย" หรือ "อาแมน" หรือ อากัปกิริยาที่ไม่ต้องเปล่งคำพูดออกมา เช่น "ยินดี" “ประทับใจ" หรือ "เศร้าหมอง"
            การยกสายตาขึ้นสู่สวรรค์นั้นก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาๆที่ไม่ซับซ้อน คำว่าสวรรค์เป็นคำที่แสดงถึงเป้าหมายปลายทางของชีวิตมนุษย์ และคำนี้เองเป็นคำแรกที่นักบุญเทเรซาในยามที่เป็นเด็ก ฝึกอ่านเป็นครั้งแรก พ่อของนักบุญเทเรซาสอนเธอถึงเมืองสวรรค์ด้วยการชี้ไปยังดวงดาวในท้องฟ้า ต่อมาภายหลังในยามที่นักบุญเทเรซามีประสบการณ์ดีๆในชีวิต เธอก็มักจะกล่าวว่า ในสวรรค์ก็จะเป็นเช่นนี้แหละ แต่ จะเป็นเรื่องดีๆที่ไม่มีวันหมด หรือ จบสิ้น คำว่าสวรรค์จึงเป็นสถานะที่เติมเต็มให้กับความปรารถนาของมนุษย์ทุกคนที่อยากจะบรรลุถึงให้ได้
            คำภาวนาที่นักบุญเทเรซากล่าวถึง คือ การเปล่งเสียงออกมาสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ด้วยความรัก อย่างตรงไปตรงมา เป็นถ้อยคำที่ซื่อตรง เพราะเราเชื่อว่า พระจิตเจ้าคือผู้ดลใจให้เรากล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมาอย่างซื่อตรงสอดคล้องกับความรู้สึกในขณะนั้นของเรา ซึ่งแน่ละ คำภาวนาของเราจะเจือแฝงไว้ทั้ง เรื่องความยากลำบากในชีวิต รวมไปถึงความชื่นชมยินดีที่บังเกิดขึ้นในชีวิตของเราด้วย คำภาวนาของเราจึงกลั่นออกมาจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง เช่น เมื่อทำอะไรสำเร็จก็ยินดี เมื่อต้องพบกับเรื่องอุปสรรค ความยากลำบาก ก็แสดงความ อ่อนใจ หรือ เมื่อเผชิญกับปัญหาซับซ้อนที่เข้ามาครอบงำ ก็ หนักใจ เป็นต้น แต่บางครั้งคำภาวนาของเราอาจเกิดจาก ความรู้สึกแรงกล้าที่มีต่อ พระพรมากมายที่พระเจ้าประทานให้กับเราในชีวิตของเราโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆมารองรับก็ได้
            เห็นไหมครับว่า วิธีการภาวนาของนักบุญเทเรซา แห่งพระกุมารเยซู นั้นเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ และเป็นวิธีที่ไม่ซับซ้อนใดๆ ใช้เวลาเพียงแค่อึดใจ ก็ภาวนาได้แล้ว
พ่อสุพจน์
...................................................................................................................................................................

สิ่งเล็กน้อยของหญิงหม้ายยากจน
            ครั้งหนึ่งมีขอทานคนหนึ่งมาพบคุณแม่เทเรซา กล่าวว่า “ทุกคนได้ให้บางสิ่งกับซิสเตอร์ ผมเองก็ต้องการให้บางสิ่งด้วยเช่นกัน” พร้อมกันได้มอบเหรียญสิบเปซาให้ คุณแม่เทเรซาจึงคิดว่า “ถ้าฉันรับเงินนี้ เขาอาจต้องหิวกลับไป แต่ถ้าฉันไม่รับ เขาคงไม่มีความสุขเป็นแน่” เธอจึงได้รับไว้ และกล่าวว่า “ฉันรู้แน่แก่ใจว่า ของขวัญนี้ยิ่งใหญ่กว่ารางวัลโนเบลอีก เพราะเขาได้ให้ทุกสิ่งที่มี ฉันจึงได้เห็นประกายแห่งความสุขบนใบหน้าของขอทานนั้น”
                พระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงนั่งอยู่ใกล้ตู้ถวายเงินสำหรับพระวิหาร สังเกตเห็นคนรวยได้ถวายเงินจำนวนมาก และได้เห็นหญิงหม้ายยากจนใส่เงินสองเหรียญลงไปด้วย พระองค์จึงทรงชี้สอนบรรดาศิษย์ทันทีว่า “แม้ของถวายที่เธอให้จะเป็นเพียงเงินเหรียญเล็กๆ แต่ก็สมควรได้รับคำสรรเสริญอย่างสูงสุดจากริมปากขององค์พระผู้ไถ่
1) พระเยซูเจ้าทรงแลเห็นถึงจิตสำนึกและในเวลาส่วนตัว
                หญิงหม้ายยากจนคงจินตนาการได้ว่า พระผู้ไถ่ทรงสังเกตเห็นเธอ ไม่เพียงเป็นคนยากจน แต่เป็นยาจกที่แร้นแค้นขัดสน เครื่องแต่งกายและการแสดงตัวของเธอแสนธรรมดา เงินเหรียญที่ถวายก็เทียบไม่ได้กับเงินถวายจำนวนมาก ดวงตาทุกคู่ในพระวิหารคงจ้องไปที่คนร่ำรวยและเงินที่ถวาย แต่สำหรับเธอแล้ว ไม่มีใครสนใจเลย
                เมื่อคุณแม่เทเรซาอยู่ที่เมืองเบรุธ คุณแม่ได้ไปยังโรงพยาบาลที่ถูกทิ้งระเบิด และได้พบกับเด็ก 55 คนซึ่งพิการไป เธอได้นำเด็กๆ เหล่านั้นเข้าไปในคอนแวนต์ ที่นั่นขาดแคลนสิ่งจำเป็นเพื่อดูแลพวกเขา เด็กๆ และเยาวชนบางคนได้เข้ามาช่วยเหลือ ได้กลับไปบ้านเพื่อนำเสื้อผ้าของตนเองมาให้กับเด็กๆ ที่พิการ บางคนที่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ ด้วยความรักเผาผลาญก็จึงได้นำหมากฝรั่งที่เคี้ยวอยู่นั้นให้กับเด็กๆ พิการด้วย สิ่งนี้เป็นความเมตตากรุณาอย่างแท้จริง
                พระเจ้าทรงบันทึกทุกกิจการของเราทั้งที่เป็นความลับซ่อนเร้น เราสังเกตและตัดสินด้วยจิตสำนึกอันน้อยนิดและด้วยเวลาส่วนตัวของเรา กษัตริย์ซาโลมอนกล่าวว่า “พระเนตรของพระเจ้าเห็นทุกสิ่ง ทรงมองเห็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี” (สภษ 15:3)
2) พระเยซูเจ้าทรงชื่นชมในของขวัญที่เรามอบให้
                พระเยซูเจ้าชมเชยในของถวายของหญิงหม้าย ด้วยเงินเหรียญเล็กๆ แต่ให้ความสำคัญกว่าเงินมากมายจากกระเป๋าคนร่ำรวย สิ่งที่พระเยซูเจ้าเห็นไม่ใช่สิ่งที่ถวาย แต่เห็นสิ่งที่เธอเก็บไว้เพื่อตนเอง หญิงหม้ายไม่เหลือสิ่งใดสำหรับตนเองเลย ขณะที่คนร่ำรวยซึ่งให้มากกว่า แต่พวกเขาก็เหลือสำหรับตัวเองมากกว่าด้วย พวกเขาให้จากสิ่งที่เขามีอยู่มากมาย ขณะที่หญิงหม้ายให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี
                เธอรู้ตัวว่าเงินเหรียญเล็กๆ ของเธอนั้นต้องเป็นที่รับรู้และชื่นชมจากพระผู้เป็นเจ้าของเธอว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของวันนั้น โลกนี้มักมองเพียงแค่จำนวน แต่พระเจ้ามองลึกถึงแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพระเยซูเจ้าทรงเตือนไม่ให้เราตัดสินผู้อื่น คนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย ส่วนคนสุดท้ายจะเป็นคนแรกในพระอาณาจักรพระเจ้า
                บางคนมายังเมืองกัลกัตตาเพื่อพบพบคุณแม่เทเรซา และก่อนจากกันก็มักถามเธอว่า “โปรดบอกสิ่งที่จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตให้ดีขึ้นด้วยเถิด”
                คุณแม่ก็จะตอบว่า “จงยิ้มให้กับทุกคน ยิ้มให้ภรรยา สามี ยิ้มให้ลูกๆ ไม่สำคัญหรอกว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ขอเพียงยิ้มให้เขาก็จะช่วยให้คุณเติบโตขึ้นในความรักต่อเพื่อนพี่น้องแล้ว” และได้มีผู้หนึ่งถามคุณแม่ว่า “ท่านเคยแต่งงานหรือเปล่า?” เธอตอบไปว่า “เคยสิ! และบางครั้งฉันก็พบว่ายากที่จะยิ้มให้กับพระเยซูเจ้าคู่ของฉัน เพราะเขาเรียกร้องมากมายจริงๆ”
                พระเยซูเจ้าผู้เอาใจใส่ที่จะชื่นชมเหรียญเล็กๆ ของหญิงหม้ายยากจน พระองค์ชื่นชมในความเจ็บปวดและการเสียสละที่พวกเราได้ให้กับครอบครัว กับพระศาสนจักร กับวัด และกับสังคมเสมอ
3) พระเยซูเจ้าทรงให้รางวัลความวางใจของเรา
                หญิงหม้ายยากจนได้มอบถวายทุกสิ่งที่มีให้กับพระวิหาร เธอเองต้องการอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่พักพิง เมื่อเป็นเช่นนี้ เราคงคิดต่อไปว่าเธอจะเอาอะไรกินในมื้อต่อไป สถานการณ์เช่นนี้ เธอต้องการเงิน แต่กลับให้ทั้งหมดกับพระเจ้า เธอรู้ว่าคนอื่นคงไม่สนใจเธอหรอกว่าจะเป็นอย่างไร แต่พระเจ้าทรงสนใจเธอ เธอจึงได้นำสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตนี้มามอบให้กับพระเจ้า นั่นคือ เรื่องการเงิน เธอกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ลูกได้มอบถวายทั้งหมดที่มีให้พระองค์แล้ว บัดนี้โปรดดูแลลูกด้วย ลูกไม่เหลืออะไรแล้ว” เธอได้มอบความวางใจทั้งหมดให้พระเจ้า เธอได้ออกไปจากพระวิหารนั้นแบบหมดตัว แต่พระพรมากมายของพระเจ้าได้ติดตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง เหรียญเงินเล็กๆ สองเหรียญของเธอนั้น เธออาจลืมได้ แต่พระเจ้าทรงจดจำไว้แม้กระทั่งทุกวันนี้ และทำให้ความวางใจและสิ่งที่เธอทำนี้ได้กลายเป็นรูปแบบให้กับเราทุกคน
                พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งใครเลยที่วางใจในพระองค์ ทรงตอบแทนทุกคนที่ให้ด้วยใจยินดี พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงให้แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่านท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น5 เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย” (ลก 6:38) จงภาวนาต่อพระเยซูเจ้าให้เราสามารถให้มากกว่าที่เราจะได้รับในชีวิตนี้
                                                                                                                คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                ตามที่พ่อได้บอกบุญกับพี่น้องเพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่น้องให้กับอารามอาคาร์แมลแห่งหนึ่งที่ออสเตรเลีย บัดนี้พ่อได้ติดต่อกับคุณแม่อธิการของอารามแห่งนี้ ซึ่งมีชื่อว่า ซิสเตอร์เบเนดิกตา คุณแม่ได้ส่งจดหมายมาขอบคุณพี่น้องชาววัดเซนต์หลุยส์ทุกท่านความว่า อารามแห่งนี้เป็นอารามชีลับที่มีกระแสเรียกในการสวดภาวนา เพื่อพระศาสนจักร เพื่อพระสงฆ์ และ เพื่อทุกๆคน ปัจจุบันมีซิสเตอร์อยู่ในอาราม 14 รูป ตั้งอยู่ที่ ถนน เจโลรัป ทางใต้ของเมืองเพิร์ธ ทางตะวันตกของทวีปออสเตรเลีย อารามแห่งนี้ แยกตัวมาจากอารามคาร์แมลที่กรุงเทพฯ ในปีค.. 1976  โดยมี คุณแม่แอน ซึ่งเป็นอธิการรุ่นบุกเบิก มีอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงตลอดเวลา ซิสเตอร์อีกรูปหนึ่ง มีอายุ 91 ปี นอกจากนี้ยังมีซิสเตอร์อีกรูปหนึ่งล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งขั้นที่ 4 ซึ่งซิสเตอร์ทั้งสามรูปนี้ต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา ซิสเตอร์ที่เหลือก็มีอายุลดหลั่นกันลงมา ความจำเป็นสำหรับอารามแห่งนี้คือ ต้องมีการจัดการขยายห้องดูแลผู้ป่วยให้มีขนาดที่กว้างขวางกว่าเดิม เพื่อจะสามารถรองรับซิสเตอร์ที่เจ็บป่วยและมีอายุมาก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500,000.00 บาท  ทั้งนี้อารามได้ขอการสนับสนุนจากพระศาสนจักรท้องถิ่นในออสเตรเลียเอง และ จากผู้มีน้ำใจดีในเมืองไทย ทางอารามจึงขอถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อผู้มีน้ำใจดีทุกท่าน โดยเฉพาะสัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์กรุงเทพฯ ที่ได้ร่วมบริจาคช่วยเหลืออารามในครั้งนี้
            ขณะนี้พ่อได้รวบรวมน้ำใจบริจาคของพี่น้องวัดเซนต์หลุยส์เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวเป็นเงินไทย 529,350 บาท(ห้าแสนสองหมื่นเก้าพันสามร้อยห้าสิบบาทเงินสกุล ยูโร 20 ยูโร เงิน สวิสฟรัง 1000ฟรัง และ เงินเหรียญสหรัฐ 2200 เหรียญ เงินทั้งหมดนี้จะจัดส่งให้กับซิสเตอร์โดยการโอนไปยังธนาคาร WESTPAC BANKING CORPRRATION ชื่อบัญชี CARMELITESISTERS, GELORUP หมายเลขบัญชี 036-122-231 397  ทั้งนี้ พ่อจะจัดส่งรายชื่อผู้บริจาค และ จุดประสงค์สำหรับคำภาวนาที่พี่น้องระบุมา ให้กับซิสเตอร์ทางอีเมล์ ต่อไปครับ
ขอขอบพระคุณพี่น้องทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วย

พ่อสุพจน์
...................................................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
             วันนี้ขอเสนอความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการสารภาพความผิดและการอ้อนวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้าในพิธีบูชาขอบพระคุณ หลังจากที่พระสงฆ์กล่าวทักทายสัตบุรุษแล้ว พระสงฆ์จะเชิญชวนให้พี่น้องสัตบุรุษที่มาร่วมในพิธีได้สารภาพความผิดซึ่งจะกระทำในรูปแบบของการสารภาพความผิดร่วมกัน โดยการสวดบทข้าพเจ้าขอสารภาพบาป และต่อจากนั้นพระสงฆ์จะลงท้ายด้วยการให้อภัยบาป ความคิดนี้เริ่มมาจากในสมัยแรกๆ คริสตชนต่างรู้สึกว่าจะต้องชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดก่อนที่จะมีส่วนร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณ ซึ่งเป็นการติดต่อสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเราทุกคนที่เข้ามาร่วมในพิธีจำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ด้วย ในหนังสือ Didache ซึ่งเป็นหนังสืออ้างอิงฉบับโบราณเขียนขึ้นประมาณปี ค.ศ. 100 ได้กล่าวไว้ในบทที่ 14 ว่า “พวกเขาร่วมประชุมกันในวันพระเจ้า กระทำพิธีบิขนมปังและขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ที่ผิดพ้องหมองใจกับใครจะต้องไม่ให้เข้าร่วมประชุมจนกว่าจะคืนดีกันเสียก่อน มิเช่นนั้น จะทำให้บูชาของท่านแปดเปื้อนมีมลทิน” และนักบุญเปาโลยังเขียนไว้ว่า “ทุกคนจะต้องพิจารณาตัวเอง (หมายถึงพิจารณามโนธรรม) ก่อนจะรับพระกายและดื่มพระโลหิต” (1 คร 11: 28) และนอกจากการสารภาพความผิดโดยใช้บทข้าพเจ้าขอสารภาพบาปแล้ว ยังมีแบบอื่นอีก 2 แบบ ซึ่งพระสงฆ์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจน่าเบื่อ
            ต่อจากการสารภาพความผิดแล้วจะเป็นการอ้อนวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้า หรือที่เราขับร้อง “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาเทอญ” (Kyrie eleison) ซึ่งเป็นภาษากรีก เมื่อนำมาใช้ในภาษาละตินก็ยังคงรักษาคำกรีกนี้ไว้ แต่เดิมคำร้องขอพระเมตตานี้จะอยู่หลังจากบทภาวนาเพื่อมวลชน ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ในพิธีกรรมของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีการประกาศ “ให้เราภาวนา – เชิญคุกเข่า .....สวดให้สมเด็จพระสันตะปาปา...” แล้วสัตบุรุษตอบรับ “ข้าแต่พระเจ้าขอทรงพระกรุณาเทอญ” ครั้นมาในสมัยพระสันตะปาปาเกรโกรี่พระองค์ปรับปรุงรูปแบบให้สั้นลง โดยตัดการประกาศขอความต้องการออกรวมทั้งบทภาวนาอื่นด้วย คงเหลือไว้แค่ “กีรีเอ เอเลอิซอน” และนำมาแทรกไว้ในพิธีสารภาพความผิด ซึ่งเราจะเห็นว่าทั้งพิธีสารภาพความผิดและการอ้อนวอนขอพระเมตตานี้สามารถกระทำแยกออกจากกันหรือกระทำพร้อมกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับการสลับใช้ตามความเหมาะสม
            มีบางคนถามว่าการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณควรจะมาอย่างช้าที่เวลาใดจึงจะสามารถเข้าไปรับศีลมหาสนิทได้ บางคนบอกว่าเมื่อมาวัดช้าก็เพียงแค่สวดบทสารภาพความผิด เป็นทุกถึงบาป จากนั้นก็สามารถรับศีลมหาสนิทได้แล้ว จะว่าไปก็สามารถทำได้หากว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ หรือบางคนบอกว่าเมื่อมีการสารภาพความผิดในมิสซาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปแก้บาปก็ได้เพราะก็เหมือนๆ กัน ความจริงแล้วไม่เหมือนกันเพราะการสารภาพความผิดในมิสซานี้มีไว้เฉพาะสำหรับผู้ที่มีบาปเบาเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีบาปหนักยังคงต้องไปแก้บาปกับพระสงฆ์ก่อน และสำหรับผู้ที่คิดว่าตนเองมีแต่บาปเบาก็เลยไม่ไปแก้บาปกับพระสงฆ์เลยเป็นระยะเวลานานๆ ก็ไม่ถูกต้องอีกเพราะการปล่อยให้ตัวเราตกอยู่ในบาปนานๆ นั้นไม่ดี จำเป็นที่เราจะต้องกำหนดเวลาที่เหมาะสมเพื่อการรับศีลอภัยบาปจากพระสงฆ์ด้วย เพราะทุกครั้งที่เรารับศีลอภัยบาปเราได้รับพระหรรษทานความช่วยเหลือจากพระเจ้าสำหรับการต่อสู้กับการผจญของปีศาจด้วยเสมอ ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะหมั่นไปรับศีลอภัยบาปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณของพระเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างสูงสุดสำหรับชีวิตของเรา
                                                                                                                                    คุณพ่อศวง 

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก

เดือนตุลาคมกำลังสิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่ากิจศรัทธาการสวดสายประคำในเดือนแม่พระลูกประคำที่วัดเซนต์หลุยส์ของเรากำลังจะจบสิ้นลง แต่การสวดสายประคำในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน แต่ละครอบครัวก็คงจะดำเนินต่อไป รวมถึงการสวดภาวนาพร้อมกันในครอบครัวของเราก็ต้องดำเนินไปเป็นกิจวัตรที่พึงปฏิบัติเสมอๆด้วยครับ เพราะเราไม่ได้หยุดที่จะเป็นคริสตชนที่มีความเชื่อมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอนั่นเอง
พ่อยังขอถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์ กิจศรัทธาพิเศษที่เราจะประกอบพิธีที่วัดเซนต์หลุยส์ของเราในช่วงสัปดาห์หน้าด้วยซึ่งมีดังนี้คือ การแห่พระรูปพระแม่มารีย์รอบวัดของเราในวันที่ 31 ตุลาคม จากนั้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวันศุกร์ต้นเดือน เราจะมีพิธีมิสซาภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ ในเวลา 19.00 . โดยที่ทางวัดจะจัดเตรียมสถานที่สำหรับการตั้งรูปถ่ายของผู้ล่วงลับไว้ บริเวณหน้าพระแท่น พี่น้องสามารถนำรูปถ่ายของผู้ล่วงลับผู้เป็นที่รักของเรามาวางไว้บริเวณที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้ โดยที่จะมีกรรมการสภาภิบาลวัดของเราเป็นผู้อำนวยความสะดวก เพื่อเป็นการระลึกถึงดวงวิญญาณของท่านเหล่านั้นในคำภาวนาของเราทุกคน
การรำลึกถึงดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับที่จากเราไปแล้วนั้น เป็นการเตือนใจเราให้มองเห็นถึงความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือ ในคำแปลเดิมที่ว่า สหพันธ์นักบุญ นั้น ประกอบด้วย เรามนุษย์ที่ยังแสวงบุญอยู่ในโลกนี้ และ บรรดาวิญญาณในไฟชำระ และ บรรดานักบุญผู้อยู่ในสวรรค์แล้ว มีบทบาทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยที่เรามนุษย์ภาวนาอุทิศกุศลเพื่อวิญญาณผู้ล่วงลับ และเมื่อวิญญาณผู้ล่วงลับได้รับพระเมตตาเข้าสู่สวรรค์แล้ว เขาก็จะวิงวอนพระเจ้าเพื่อเรามนุษย์ที่ยังอยู่ในโลกนั่นเอง

พ่อสุพจน์
................................................................................................................................................................

คำภาวนาสองบท

            เรือลำหนึ่งจมลงในทะเลในขณะที่มีลมพายุ มีชาย 2 คนเท่านั้นที่สามารถว่ายไปถึงเกาะเล็กๆ ได้                
            ผู้รอดชีวิตทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะทำอะไร ต่างเห็นเหมือนกันว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสวดภาวนาต่อพระเจ้า ด้วยความใคร่รู้ว่าคำภาวนาของใครจะศักดิ์สิทธิ์กว่า เขาจึงตกลงแบ่งพื้นที่กันและแยกอยู่คนละฝั่งของเกาะ
            สิ่งแรกที่เขาสวดภาวนาคือ ขออาหาร เช้ารุ่งขึ้นชายคนแรกเห็นต้นไม้ในเขตของเขามีผลมากมาย เขากินผลไม้เพื่อบรรเทาความหิว ชายอีกคนไม่เห็นผลไม้บนต้นไม้ในเขตของตนเลย
            หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ชายคนแรกรู้สึกเหงามาก เขาจึงสวดขอภรรยา วันรุ่งขึ้นมีเรืออีกลำอับปาง ผู้รอดชีวิตมีคนเดียว คือหญิงสาวซึ่งว่ายน้ำมาที่บริเวณชายฝั่งในเขตของชายคนแรก เขาได้เธอเป็นภรรยา ส่วนอีกด้านหนึ่งชายคนที่สองยังไม่มีอะไรเลย
            ต่อมาชายคนแรกภาวนาขอให้เขามีลูก มีบ้าน และเสื้อผ้า วันรุ่งขึ้น เขาได้รับทุกอย่างตามที่เขาภาวนาขอ ชายคนที่สองยังไม่ได้รับอะไรอีกเช่นเคย
            ในที่สุด ชายคนแรกสวดภาวนาขอให้มีเรือเพื่อเขาและครอบครัวจะได้ออกจากเกาะไป รุ่งเช้าเขาก็พบเรือลำหนึ่งจอดที่ใกล้ๆ ฝั่ง
            ชายคนแรกตัดสินใจเดินทางไปจากเกาะ โดยเขาจะทิ้งชายคนที่สองไว้ที่เกาะแต่เพียงลำพัง เนื่องจากคำภาวนาของชายคนที่สองไม่เกิดผลเลย ชายคนแรกจึงคิดว่าชายคนที่สองเป็นคนไม่มีค่าพอจะได้รับพระพรอะไร
            ขณะที่เขาจะขึ้นเรือและทิ้งชายคนที่สองไว้ เขาได้ยินเสียงจากสวรรค์ ทำไมเจ้าทิ้งเพื่อนของเจ้าไว้
            ชายคนแรกตอบ พระพรของข้าพระองค์เป็นของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์เป็นผู้ภาวนา เมื่อคำภาวนาของชายอีกคน ไม่ได้รับคำตอบเลย เขาก็ไม่สมควรได้รับพระพรใด
            เจ้าเข้าใจผิด เสียงจากสวรรค์ตำหนิเขา ชายคนที่สองมีคำภาวนาเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราตอบคำภาวนาของเขา และถ้าไม่ใช่เพราะคำภาวนาของเขา เจ้าก็จะไม่ได้รับพระพรเลย
            ชายคนแรกถาม เขาสวดภาวนาขออะไรหรือข้าพระองค์ ถึงต้องเป็นหนี้บุญคุณเขา พระเจ้าตรัสว่า เขาภาวนาขอให้คำภาวนาของเจ้าเป็นจริง
(คัดจากหนังสือเมล็ดพันธุ์ แห่งปรีชาญาณ เล่ม 3)

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            วันนี้ขอพูดกับพี่น้องในเชิงเจาะลึก เกี่ยวกับ "หนังสือบทภาวนา ในครอบครัวคริสตชน" ที่พ่อเคยกล่าวแนะนำกับพี่น้องมาแล้วเพิ่มเติมสักหน่อยนะครับ เพราะเห็นว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ทุกๆครอบครัวคริสตชนควรมีติดบ้านเอาไว้ เพราะถือว่าเป็นคู่มือ ที่ขาดเสียไม่ได้ของทุกๆครอบครัวเลยทีเดียว เพราะหนังสือเล่มนี้ บรรจุบทภาวนาพื้นฐานที่ช่วยเราให้ดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระเจ้าได้ในชีวิตประจำวันของเรา
            ในหนังสือเล่มนี้ มีบทภาวนาเวลาเช้า และบทภาวนาเวลาค่ำก่อนเข้านอนถึง 4 แบบให้เลือกใช้ในการสวดภาวนา  นอกจากนี้ยังมีบททำวัตร ฉบับสะดวกใช้ หรือ ฉบับกระเป๋า ให้เลือกในการภาวนา สำหรับบุคคลที่อยากใช้เวลาที่สงบๆในการสวดภาวนาที่นานขึ้นกว่าปกติ โดยการสวดทำวัตร แบ่งออกเป็นทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น และทำวัตรค่ำ ตามปกติแล้วการสวดทำวัตร ถือเป็นวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ นักบวช ชาย หญิง ที่จะภาวนาร่วมกัน ในแต่ละโมงยามที่พระศาสนจักรกำหนดไว้ การสวดทำวัตร จึงเป็นการภาวนาที่ช่วยให้เราเข้าถึงความสงบสันติในจิตใจได้มากกว่าบทภาวนาสั้นๆ ถ้าวันไหนพี่น้องอยากเข้าสู่ความสงบสันติ ในคำภาวนาที่ลึกซึ้งอิ่มเอมใจ เพื่อรับการบรรเทาใจ และ เพิ่มพูนความเชื่อ ความวางใจ และ ความรักในพระเจ้า และ มีเวลาพอสมควรที่จะแยกตัวออกมาจากความกิจวัตรประจำวันที่ยุ่งเหยิง วุ่นวาย แล้วละก็ ให้ใช้บททำวัตรสวดในช่วงเวลานั้นๆ
            นอกจากนี้แล้วหนังสือเล่มนี้ยังบรรจุ ข้อพระคัมภีร์ ที่สำคัญๆ เพื่อนำมาอ่านในเรื่องที่เราอยากได้รับความดลใจพิเศษจากพระเจ้า และ บทรำพึงสำหรับการสวดลูกประคำ และบทภาวนาที่ได้รับการปรับปรุงถ้อยคำใหม่จาก คณะกรรมการเพื่อพิธีกรรม บทสำคัญๆที่ควรท่องขึ้นใจเอาไว้ด้วย
            บัดนี้วัดเซนต์หลุยส์ของเราจัดนำหนังสือเล่มนี้มาให้พี่น้องได้จัดซื้อหาไว้ประจำบ้าน ถ้าเป็นไปได้อยากให้พี่น้องจัดหาไว้ให้เพียงพอกับสมาชิกภายในบ้านที่จะใช้เวลาในการสวดภาวนาร่วมกันนะครับ
            พ่อหวังว่าในปีแห่งความเชื่อนี้ ครอบครัวคริสตชนทุกครอบครัว จะหันมาร่วมกันรณรงค์ ให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวมาสวดภาวนาพร้อมกันในบ้านของเรา และพ่อเชื่อมั่นว่า หนังสือเล่มนี้จะนำมาซึ่งพระพรของพระเจ้ามาสู่ครอบครัวของเราอย่างเต็มเปี่ยม อย่าลืมนะครับ "การสวดภาวนาร่วมกัน คือ ยาอายุวัฒนะของครอบครัวที่เปี่ยมด้วยความเชื่อในพระเจ้า"

พ่อสุพจน์
...................................................................................................................................................................
ฝึกสมาธิและเจริญสติ
ภาวะที่จิตใจล่องลอยคิดโน่นคิดนี่ ร่างกายสั่งให้เดินไปที่ตู้ศีลฯ (Tabernacle) เพื่อเชิญศีลมหาสนิท (Holy Communion) มายังรัศมี (Monstrance) และแล้วก็เชิญศีลฯ มาทั้งผอบ แต่ว่า... อ้าว! เอามาผิดอัน ต้องเป็นศีลฯ แผ่นใหญ่สิ... จึงต้องกลับไปยังตู้ศีลฯ เพื่อเปลี่ยนเป็นศีลแผ่นใหญ่อีกครั้ง
พี่น้องครับ พ่อยกเหตุการณ์ตอนสวดสายประคำวันหนึ่งที่เกิดกับพ่อเองมาเป็นตัวอย่าง เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้กับพี่น้องบ้างไหม? ในหัวสมองคิดเรื่องงาน เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย แล้วสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขาดซึ่งสมาธิจะทำกิจการที่อยู่ตรงหน้า... ลองคิดดูสิว่า ถ้าต้องเข้ามาในวัดเพื่อร่วมมิสซา สวดภาวนาสายประคำ แต่จิตใจยังไม่สงบ สิ่งที่ประสบต่างประดังประเดเข้ามา ความคิดจิตใจเปี่ยมไปด้วยเรื่องมากมาย หากเป็นเช่นนั้นเราจะได้รับอะไรจากพิธีกรรม จากบทอ่านและบทเทศน์ของพระสงฆ์บ้าง แล้วเมื่อออกไปรับศีลมหาสนิทนั้น จะทันได้รู้หรือเปล่าว่ากำลังรับพระเยซูเจ้าเข้าไปในตัวเอง
พ่อจึงได้ศึกษาเรื่องการเจริญสติ และฝึกสมาธิ เพื่อให้ได้เตือนตัวเอง และนำมาแบ่งปันกับพี่น้องทุกคนด้วย สติ แปลว่า ความระลึกได้ ความไม่เผลอ การคุมจิตไว้ได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ระงับยับยั้งได้ ไม่ได้เลินเล่อพลั้งเผลอ สติทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ มีสมาธิในการทำกิจการงานใดๆ
หากถามพ่อว่าสมาธิหรือการเจริญสติเป็นของชาวพุทธเท่านั้นไหม? พ่อว่าไม่เป็นของใครทั้งนั้น แต่เป็นของทุกคน เนื่องจากมีผู้ที่ได้ปฏิบัติและถ่ายทอดต่อกันเรื่อยมา ศาสนาคริสต์เราเองก็มีเรื่องนี้ในประวัติศาสตร์เช่นกัน แล้วสิ่งที่อยากจะบอกก็คือ วิธีการเพื่อฝึกสมาธิและการเจริญสติที่เราชาวคริสต์สามารถมาปรับใช้ได้ ดังนี้
๑. เริ่มจากตื่นนอนในแต่ละวัน ให้ทำสมาธิจากไม่กี่นาทีแล้วค่อยเพิ่มให้นานขึ้นเรื่อยๆ ในอิริยาบถใดก็ได้ เพื่อเริ่มฝึกจิตให้มีคุณภาพ
๒. ต่อด้วยการเจริญสติ คือระลึกรู้ในการทำกิจส่วนต่างๆ เช่น อาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน รับประทานอาหาร พบปะพูดจา ฯลฯ มีสติรู้และตื่นตัวเสมอในทุกอิริยาบถ หัดรู้สึกตัวบ่อยๆ
๓. ให้ฝึกทำสมาธิสลับกับการเจริญสติเช่นนี้ วันละหลายๆ ครั้ง
๔. หมั่นสำรวมกาย วาจา ใจ อยู่เป็นนิจ ให้มีสติรู้ทุกคำพูดและการกระทำ
๕. เมื่อใดเริ่มเผลอคิด ใจลอยฟุ้งซ่านไป ก็ให้กลับมามีสติรู้คิด อยู่กับปัจจุบัน
๖. ให้มองโลกในแง่ดีเสมอๆ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสตลอดวัน ไม่คิด พูด หรือทำในสิ่งไม่เป็นกุศล ไม่กล่าวร้ายผู้อื่น
๗. ให้ประเมินผลทุกคืนก่อนนอน หรือหลังจากทุกครั้งที่ทำสมาธิ สังเกตดูว่าเบากายเบาใจกว่าแต่ก่อนหรือไม่ เพราะเหตุใด
๘. เวลานอนทุกคืนให้อยู่ในท่านอนตะแคงขวา หรือเจริญสติจนกว่าจะหลับทุกครั้งไป
๙. ให้พยายามฝึกทำ พยายามแล้วพยายามอีก จากยากให้เป็นง่าย และให้กลายเป็นนิสัยประจำตัว
๑๐. จงอย่าพยายามสงสัย ให้พยายามอยู่กับปัจจุบันเป็นพอ
ลองเอาไปหัดใช้ หัดทำดูนะครับ จะได้ไม่เบลอแบบพ่อบ่อยๆ พ่อเองก็จะหัดทำด้วย เด็กที่ฝึกก็จะมีการเล่าเรียนดีขึ้น เด็กสมาธิสั้นเพราะการดูทีวี เล่นเกม ก็จะช่วยให้จดจ่อกับบางสิ่งบางอย่างได้นานมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพี่น้องมาเข้าวัดแล้วรู้ว่ากำลังอยู่ต่อหน้าพระเจ้า การร่วมมิสซาของพี่น้องจะบังเกิดผลดีมากขึ้นเช่นกัน ขอพระอวยพร.

                                                                                    คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            เราเข้ามาสู่เดือนตุลาคมแล้ว ตามธรรมประเพณีของพระศาสนจักรถือสืบเนื่องกันมาว่า เดือนตุลาคมคือเดือนของการสวดลูกประคำ ด้วยเหตุที่ว่า เราฉลองแม่พระแห่งลูกประคำในวันที่ 7 ตุลาคม ของทุกปี เพื่อถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์ ด้วยความสำนึกรู้คุณในการที่พระนางปกปักพิทักษ์รักษาพระศาสนจักร ตามคำวอนขอโดยผ่านทางการสวดลูกประคำของหมู่มวลสัตบุรุษ ตามตำนานที่เล่าสืบขานต่อเนื่องกันมากล่าวว่า พระนางมารีย์ได้ประจักษ์มากับนักบุญดอมินิก ในปีค.. 1206 ภายหลังจากที่ท่านได้สวดภาวนาและทำการพลีกรรมอย่างหนัก เพราะท่านไม่ประสบผลสำเร็จในการต่อสู้กับพวกเฮเรติ๊ก อัลบีเจนเซียน พระนางมารีย์กล่าวชื่นชมท่านที่ได้ต่อสู้กับพวกเฮเรติ๊กอย่างกล้าหาญ พระนางยังมอบลูกประคำให้เป็นอาวุธทรงอานุภาพ และยังสอนให้รู้จักวิธีสวดสายประคำและกำชับกับท่านนักบุญให้เผยแผ่การสวดสายประคำนี้ให้แพร่หลาย

            ในเมื่อเนื้อหาในบทสวดลูกประคำมีกำเนิดมาจากทั้ง พระเจ้า จากพระคัมภีร์ และ จากพระศาสนจักรเองแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าการสวดลูกประคำจึงเป็นที่โปรดปรานของพระแม่มารีย์และมีพลังยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ ถ้าเราหันไปพิจารณาดูว่ามีผู้คนมากมายที่ได้รับพระพรมากมายจากการสวดสายประคำ ในอดีตการสวดสายประคำทำให้คริสตชนได้รับชัยชนะ เช่นชัยชนะต่อพวกเฮเรติ๊ก อัลบีเจนเซียน ในการสงครามที่มูเรต์ ในปี ค.. 1213 และ ในสมัย พระสันตะปาปาปีโอที่ 5 การสวดสายประคำทำให้มีชัยชนะต่อกองเรือพวกเตอร์กี ในวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคม ค.. 1571 พระสันตะปาปาจึงสั่งให้มีพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์วันนี้โดยจัดให้วันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคมเป็นวันฉลองแม่พระลูกประคำ ต่อมาภายหลังยังมีการศึกสงครามอีกหลายครั้งที่พระศาสนจักรยกถวายชัยชนะที่ได้มาว่าเป็นผลมาจากการสวดสายประคำ
            ในยุคปัจจุบัน เราไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ยกพลเข้ามาบุกรุกเราคริสตชนด้วยกองทัพเหมือนกับในยุคกลางอีกแล้ว แต่เราต้องเผชิญกับอริศัตรูในรูปแบบใหม่ที่มาในรูปของความเจริญรุ่งเรือง นั่นคือ วัตถุนิยม บริโภคนิยม ฯลฯ ให้เราหันมาหาพระนางมารีย์ พระแม่ของชาวเรา และสวดลูกประคำวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระนาง นอกจากนี้ให้เราช่วยกันเผยแผ่การสวดสายประคำให้แพร่หลายไป เพราะนี่คืออาวุธแห่งคำภาวนาที่คอยช่วยปกปักพิทักษ์รักษาเราให้พ้นจากภัยอันตรายที่แฝงตัวมาในรูปแบบต่างๆนั่นเอง
            พ่อมีเรื่องหนึ่งอยากให้พี่น้องช่วยกันรณรงค์การสวดสายประคำตามโครงการ "คาทอลิกไทยพร้อมเพรียงไม่สิ้นเสียงสายประคำ" ซึ่งในปีนี้มีการรณรงค์เพื่อสวดลูกประคำให้ได้จำนวนรวมกันถึง 500,000 สาย (ห้าแสนสาย) โดยเริ่มรณรงค์ตลอดทังเดือนตุลาคมนี้ ทั้งในแง่ของการสวดส่วนบุคคล และ สวดพร้อมกันในวัดหรือในหมู่คณะ และ ทำการจดบันทึกเพื่อทำเป็นสถิติ เมื่อสิ้นเดือนตุลาคมแล้ว จัดส่งให้กับทางวัด ซึ่งเราจะทำกล่องสำหรับรวบรวมไว้ที่วัด หรือจะจัดส่งโดยตรงได้ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ โดยลงชื่อผู้สวด เป็นชื่อจริง หรือ นามแฝงก็ได้ สังกัดวัดใด หรือ จังหวัดไหน และ ระบุจำนวนสายที่ได้สวดไปตลอดเดือน เมื่อถึงเวลาสิ้นเดือนตุลาคม ก็ให้นำส่งเพื่อจะได้นำไปรวบรวมจำนวนสาย แล้วประกาศให้ทราบเป็นทางการภายหลังว่าการรณรงค์นี้สำเร็จผลแค่ไหนอย่างไร จึงเรียนพี่น้องมาเพื่อร่วมกันรณรงค์กันสวดสายประคำกันเป็นพิเศษในเดือนตุลาคมนี้ครับ

พ่อสุพจน์