วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            อาทิตย์นี้เป็นวันสมโภชพระกายพระโลหิตของพระคริสตเจ้า เราสมโภชการประทับอยู่ในศีลมหาสนิทขององค์พระเยซูเจ้าแท้ๆ พระองค์เคยตรัสว่า เราจะอยู่กับท่านเสมอไป ตราบจนสิ้นพิภพ การประทับอยู่ของพระองค์กับเรามนุษย์นั้น เราสามารถรับรู้ได้ถึงการประทับอยู่กับเราได้โดยหลายวิธี
            พระองค์ประทับอยู่กับเราโดยทางพระวาจาของพระเจ้าที่บันทึกอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ ในยามที่เราอ่านพระคัมภีร์ พระองค์ตรัสกับเราโดยผ่านทางพระวาจาเหล่านั้น ถ้าเราเชื่อฟังพระองค์ ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระวาจาที่ดลใจเราอยู่เสมอละก็ เราก็จะรับรู้ได้ถึงการประทับอยู่ของพระองค์กับเรา
            พระองค์ประทับกับเราในการภาวนา พระเยซูเคยตรัสว่า ที่ใดมีสองสามคนที่รวมกันภาวนาในนามของเรา เราจะอยู่กับเขา นั่นหมายความว่า ทุกครั้งที่เราร่วมประชุมสวดภาวนากันในนามของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่กับเราเสมอ พระองค์ฟังคำภาวนาอันเปี่ยมด้วยความเชื่อ ความวางใจ พระองค์ประทานความบรรเทาใจและอำนวยพระพรช่วยเหลือเราเสมอ
            พระองค์ประทับอยู่กับเราในศีลมหาสนิท ศีลมหาสนิทคืออาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณของคริสตชน พระเยซูเจ้าประทานชีวิตของพระองค์ให้กับเราโดยผ่านทางการรับศีลมหาสนิทบ่อยๆ การไปรับศีลมหาสนิทด้วยจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาปหนักใดๆ เสริมสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณของเรากับองค์พระเยซูเจ้าให้สนิทแนบแน่นกันยิ่งขึ้น ยิ่งเรารับศีลมหาสนิทด้วยความศรัทธาบ่อยๆ เราก็ยิ่งได้รับชีวิตพระมาเสริมเพิ่มพูนในตัวเรามากขึ้นเท่านั้น
            เราคือปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่รับปังนี้จะมีชีวิตนิรันดร พระวาจานี้ของพระเยซูทำให้เราเกิดความมั่นใจ ในความช่วยเหลือของพระเยซูที่จะนำเราผ่านชีวิตอันตายได้ในโลกนี้ไปสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดรในโลกหน้าได้ในที่สุด
            พระองค์ยังตรัสอีกว่า "เราคือ หนทาง ความจริง และ ชีวิต ใครที่เชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร"
            ขอให้การสมโภชพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้าในวันนี้ ช่วยเพิ่มพูนความเชื่อ ความวางใจ และ ความรักในองค์พระเยซูคริสตเจ้าในตัวเราให้มั่นคงเข้มแข็งยิ่งขึ้นด้วยเถิด

คุณพ่อสุพจน์
......................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
เชื่อในการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท หมายความว่าอย่างไร

คริสตชนถือว่าพิธีบูชามิสซา เป็นหัวใจ หรือจุดสูงสุดในชีวิตคริสตชน ทั้งเป็นศูนย์กลางธรรมล้ำลึกแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์ เพราะในศีลมหาสนิท (พระคริสตเจ้าในรูปแผ่นปัง) นี้ พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงมอบพระกาย และพระโลหิตของพระองค์เองแก่เรา และด้วยการออกมารับศีลมหาสนิท เราจึงได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระกายของพระองค์ และโดยอาศัยพระองค์นี้เอง เราก็ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่นด้วย
พิธีมิสซาคือ การถวายบูชาของพระคริสตเจ้า ซึ่งสมบูรณ์และเหนือกว่าการถวายบูชาใดๆ   เป็นการถวายบูชาตัวพระองค์เองบนกางเขนแต่เพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ให้ปรากฎเป็นจริงขึ้นในปัจจุบันบนพระแท่น ส่วนการถวายบูชาตนเองของพระศาสนจักร และของสัตบุรุษในพิธีบูชาขอบพระคุณ ทำให้พวกเขาได้เป็นหนึ่งเดียวกับการถวายบูชาของพระคริสตเจ้าด้วย
ทุกมิสซาถือเป็นดังอาหารค่ำมื้อสุดท้ายที่พระคริสตเจ้าทรงร่วมฉลองกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ เรามนุษย์มิได้เป็นผู้ถวายบูชา แต่เป็นพระเจ้าผู้เรียกเราให้มานมัสการบูชาพระองค์ และทรงประทับอยู่อย่างล้ำลึกในพิธีกรรมนั้น ถือเป็นการฉลองซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงการช่วยให้รอดพ้นของพระคริสตเจ้า โดยผ่านทางความทุกข์ทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์ ผู้ที่แสวงหามิตรภาพกับพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง จะตอบรับการเชิญสู่งานเลี้ยงของพระเยซูเจ้าบ่อยที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ เพราะทุกครั้งที่เรามาร่วมในงานเลี้ยงนี้ ศีลมหาสนิทจะทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น และจะมีกำลังเข้มแข็งขึ้นในการต่อสู้กับบาป
เนื่องจากพระศาสนจักรถือว่า พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่อย่างแท้จริง ในรูปของปังและเหล้าองุ่นที่ได้รับการเสก ดังนั้น หากมีแผ่นปังที่เสกแล้วเหลือจากพิธีบูชาขอบพระคุณ จึงต้องเก็บรักษาไว้ในภาชนะศักดิ์สิทธิ์ในตู้ศีล เหตุนี้เมื่อศีลมหาสนิทอยู่ในตู้ศีล จึงถือเป็นสถานที่ที่ต้องให้ความเคารพสูงสุด แน่นอนว่าทุกคนที่ติดตามพระคริสตเจ้า ย่อมจำพระองค์ได้ในบรรดาผู้ยากจนที่สุด และรับใช้พระองค์ในพวกเขา แต่เขาก็จะต้องหาเวลาเพื่อมากราบนมัสการพระองค์ต่อหน้าตู้ศีล และมอบความรักของเขาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในศีลมหาสนิทด้วย


  “การรับพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า ไม่มีจุดประสงค์อื่นใดมากไปกว่า การเปลี่ยนแปลงตัวเราให้กลายเป็นสิ่งที่เราได้รับ”
สมเด็จพระสันตะปาปา เลโอ



วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            "องค์พระจิตแห่งความจริงจะนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล" วันนี้เป็นวันสมโภชพระตรีเอกภาพ วันนี้เป็นวันฉลององค์พระเจ้าเอง การฉลองนี้เป็นการฉลองพระเจ้าหนึ่งเดียว ที่พระองค์ทรงเผยแสดงพระองค์เป็นสามพระบุคคล พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และ พระจิตเจ้า
            สัจธรรมแห่งความเชื่อประการนี้ เป็นความเชื่อยิ่งใหญ่สูงสุดของเราคริสตชน เพราะเป็นการเฉลิมฉลองธรรมล้ำลึกแห่งการดำรงอยู่ขององค์พระเจ้า ซึ่งถ้าพระองค์ไม่ทรงเผยแสดงความจริงประการนี้ให้เรามนุษย์ได้ทราบ เราก็จะไม่มีวันเข้าถึงความจริงข้อนี้ได้ พระวรสารวันนี้เผยแสดงองค์พระเจ้าพระตรีเอกภาพกับเรา พระเยซูเจ้าพระบุตรของพระเจ้า ทรงเผยแสดงองค์พระจิตเจ้า ในเวลาเดียวกัน พระเยซูก็เคยตรัสกับเราว่า ทุกสิ่งที่พระบิดามีก็เป็นของพระองค์ พระจิตเจ้า พระจิตแห่งความจริง ทรงเป็นผู้นำพระศาสนจักรให้เข้าถึงความจริงแห่งพระตรีเอกภาพ ซึ่งพระศาสนจักรน้อมรับความจริงข้อนี้ ภายหลังจากที่ได้ศึกษา สวดภาวนา และ ไตร่ตรอง มานานหลายศตวรรษ
            ความเข้าใจที่ดีที่สุดในการศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพนี้ ไม่ใช่ได้มาด้วยการเรียนรู้ แต่ได้มาด้วยการปฏิบัติต่างหาก เราจะรู้จักพระตรีเอกภาพได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเราถือปฏิบัติความรัก เพราะเมื่อเรารัก เราก็จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วพระเจ้าคือองค์ความรัก พระเจ้าสามพระบุคคลเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความรักที่ไม่รู้แหนงหน่าย หรือความรักที่ไม่มีหมดสิ้น
            การให้อรรถาธิบายพระตรีเอกภาพที่ดีที่สุดนั้น ไม่ใช่การอธิบายในเชิงเทววิทยา เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็ยากจะหาเหตุผลใดๆมาสนับสนุนคำอธิบายของเรา แต่คำอธิบายที่ดีที่สุดนั้นอยู่ในการครองชีวิตด้วยความรักเสมอ ความรักนี้เองที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน
            ถ้าท่านอยากเป็นคนที่เข้าถึงพระตรีเอกภาพได้ดีที่สุด จงครองชีวิตของท่านในความรักเถิด !
            ถ้าท่านอยากสร้างสังคมที่เข้าถึงพระตรีเอกภาพได้ดีที่สุด จงธำรงรักษาไว้ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันเถิด !

คุณพ่อสุพจน์
...................................................................................................................

เราเชื่ออะไร


เชื่อในพระตรีเอกภาพ (พระเจ้าหนึ่งเดียวในสามพระบุคคล) หมายความว่าอย่างไร
คริสตชนมิได้นมัสการพระเจ้าสามพระองค์ที่แตกต่างกัน แต่เป็นพระเจ้าพระองค์เดียว มีสามพระบุคคล แต่ยังคงเป็นหนึ่งเดียว เราทราบว่าพระเจ้าทรงมีสามพระบุคคลในพระเจ้าหนึ่งเดียว จากพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบุตร ตรัสถึงพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์ว่า “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน 10: 30) พระองค์ทรงอธิษฐานภาวนาถึงพระบิดา และทรงส่งพระจิตเจ้า ผู้ทรงเป็นความรักของพระบิดา และพระบุตร มายังเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงรับศีลล้างบาป “เดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต”
ที่เราทราบว่าพระเจ้าทรงเป็นพระตรีเอกภาพก็โดยทางพระเยซูคริสตเจ้าเท่านั้น เนื่องจากสติปัญญาของมนุษย์ไม่มีทางสามารถสรุป หรือเข้าใจเรื่องของพระตรีเอกภาพได้เลยอาศัยวิธีการต่างๆ ตามเหตุผลของตนเอง อย่างไรก็ตาม ธรรมล้ำลึกนี้ก็มีเหตุผล เพราะถ้าพระเจ้าทรงอยู่พระองค์เดียวอย่างโดดเดี่ยว พระองค์ก็จะไม่สามารถเป็นองค์ความรัก และรักตั้งแต่นิรันดรกาลได้
แม้พระเยซูเจ้าอาจจะไม่ได้ทรงเปิดเผยตั้งแต่ทีแรกว่า พระเจ้าทรงเป็นสามพระบุคคล แต่ก็ทรงเปิดเผยว่า พระเจ้าเพียงพระองค์เดียวนั้นไม่ทรงอยู่โดดเดี่ยว  ความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา และพระจิตเจ้านั้นเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแน่นแฟ้นนับตั้งแต่แรกเริ่ม     ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นไม่มีขีดจำกัดเลย  เพราะจมอยู่ภายในความรักซึ่งกันและกันอย่างไม่มีขอบเขตของพระบุคคลทั้งสาม   เป็นความรักที่แสดงออกในความสัมพันธ์ระหว่างพระบุคคลที่แยกออกจากกันไม่ได้ ไม่ปะปนกันและมีเอกลักษณ์ของตน
 ความรักของทั้งสามพระบุคคลนี้หาใช่สิ่งใดอื่นนอกจาก การให้ซึ่งกันและกัน และอาศัยการให้ นี้ทำให้ทั้งสามเป็นหนึ่งเดียวและแตกต่างกันด้วย ภายในพระตรีเอกภาพนั้น แต่ละพระบุคคลไม่ได้มุ่งรวมศูนย์อยู่ที่ตนเอง แต่ทรงเป็นอยู่ และทรงชีวิตเพื่ออีกพระบุคคลหนึ่ง และร่วมกับอีกพระบุคคลหนึ่งโดยสิ้นเชิง   นี่คือความพยายามอธิบายแบบง่าย ๆ ในสิ่งที่นักเทววิทยาเรียกว่า ที่มาแห่งความเป็นหนึ่งเดียวในพระตรีเอกภาพ
ในเรื่องของพระตรีเอกภาพ คงไม่ได้จำเป็นต้องไปพยายามทำความเข้าใจอะไรมากมายเพื่อมาสนับสนุนความเชื่อของเรา แต่ขอให้เราเชื่อเพื่อจะได้เข้าใจก็พอ และแสดงออกมาในภาคปฏิบัติให้เป็น รู้จักอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างสันติ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อองค์พระตรีเอกภาพจะได้ประทับอยู่และทำงานในตัวของเราแต่ละคน

“เราเชื่ออะไรนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกคือ เราเชื่อใคร”
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                   วันหนึ่งมีพี่น้องสัตบุรุษของวัดเราท่านหนึ่ง พาเพื่อนมาแนะนำให้พ่อรู้จักภายหลังจากพิธีมิสซาประจำวันตอนเย็น ทั้งคู่อยู่ร่วมในพิธีมิสซาตั้งแต่ต้นจนจบ ในระหว่างมิสซาพ่อสังเกตเห็นว่า เพื่อนท่านนี้ของพี่น้องสัตบุรุษของเรา ร่วมพิธีด้วยใจสงบ หลับตาผายมือออก อธิษฐานภาวนาตามที่เขาเคยปฏิบัติเวลานมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ เมื่อพิธีมิสซาจบลง เราจึงได้มีโอกาสสนทนากันสั้นๆ เพื่อนของพี่น้องสัตบุรุษของวัดเราท่านนี้กล่าวแนะนำตัวว่า เขามาเยี่ยมเพื่อนรักคนนี้เพราะสนิทสนมกัน ทั้งสองรู้จักกันในพิธีนมัสการในโบสถ์แห่งหนึ่ง แต่ต่อมาเกิดความไม่ราบรื่นในโบสถ์แห่งนั้นทั้งคู่จึงออกแสวงหาสถานที่แห่งใหม่เพื่อนมัสการพระเจ้า เพื่อนของเขามาพบความสงบและความสุขในการภาวนาในวัดเซนต์หลุยส์ของเราและได้เข้ามาเรียนคำสอนและรับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิก ส่วนเขาเองก็ไปเป็นสมาชิกใหม่ของโบสถ์อีกแห่งหนึ่ง วันนี้เขาถือโอกาสมาเยี่ยมเพื่อนรักคนนี้ และ มาดูว่าวัดเซนต์หลุยส์ของเรานี้มีบรรยากาศในการร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณเป็นอย่างไร เขาดีใจที่เพื่อนของเขาค้นพบความสุขสงบในจิตวิญญาณในการมาสวดภาวนาและร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณที่วัดเซนต์หลุยส์แห่งนี้
            วันนี้เป็นวันสมโภชพระจิตเจ้าเสด็จมา พระเยซูทรงสัญญากับบรรดาสาวกว่า พระองค์จะเสด็จกลับไปหาพระบิดา และ จะส่งพระจิตมา วันสมโภชพระจิตเจ้าเป็นวันฉลองการเสด็จมาขององค์พระจิตเจ้าที่เสด็จมายังโลกของเรา เพื่อสานต่อภารกิจการเสริมสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
            ดูเหมือนบทบาทหนึ่งขององค์พระจิตเจ้าที่เข้าใจได้ไม่ยากสำหรับเราทุกคนคือ การดลใจ การส่องสว่าง ในวันนี้เองมีพิธีบวชพระสงฆ์ใหม่ที่บ้านเณรยอแซฟ สามพราน พระจิตเจ้าทรงดลใจให้ชายหนุ่มสองคนตัดสินใจที่จะเข้ามาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าอย่างใกล้ชิดในฐานะพระสงฆ์ เพื่อจะเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการเป็นผู้นำจิตใจของหมู่มวลสัตบุรุษของพระองค์
            พระจิตเจ้ายังคงส่องสว่างจิตใจของเรามนุษย์อยู่เสมอ พระองค์ทรงนำพาเรามนุษย์ทุกคนให้พบหนทางในการเข้าใกล้ชิดกับองค์พระเจ้า พระจิตเจ้ายังคงทำงานอยู่เสมอ อย่างที่พระเยซูทรงตรัสกับเราไว้ว่า "เราจะอยู่กับท่านเสมอไปจนสิ้นพิภพ" การประทับอยู่ของพระเยซูท่ามกลางเรานั้น นอกเหนือจากโดยทางพระวาจาของพระเจ้าในพระคัมภีร์ และ ศีลศักดิ์สิทธิ์แล้ว พระองค์ยังคงอยู่กับเราโดยผ่านทางการดลใจขององค์พระจิตเจ้าที่มาประทับอยู่ท่ามกลางเรานี้แหละ ถ้าเราเปิดใจของเราฟังเสียงดลใจและการส่องสว่างของพระจิตเจ้า เราจะค้นพบสันติสุขที่เที่ยงแท้ในใจของเราในที่สุด
            เรื่องที่พ่อกล่าวถึงในตอนต้นของบทความนี้ทั้งสองเรื่อง เป็นเรื่องที่พ่อมั่นใจว่านั่นคือตัวอย่างที่ชัดเจนของภารกิจของการดลใจ และ การส่องสว่างของพระจิตเจ้า ที่ให้ผลเป็นความดีงามต่อบุคคลที่น้อมรับการดลใจนั้นและ ยังผลให้เกิดความดีงามต่อประชาคมสัตบุรุษโดยส่วนรวมอีกด้วย
คุณพ่อสุพจน์
................................................................................................................................



เราเชื่ออะไร
เชื่อในพระจิตเจ้า หมายความว่าอะไร

เชื่อในพระจิตเจ้า หมายถึง การกราบนมัสการพระองค์ ในฐานะพระเจ้า เช่นเดียวกับพระบิดาและพระบุตร เรายังมีความเชื่อว่าพระจิตเจ้าทรงสถิตในหัวใจของเรา ทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้า และทำให้เรารู้จักพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์

ก่อนสิ้นพระชนม์ พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า เมื่อพระองค์ทรงจากพวกเขาไปแล้ว พระองค์จะทรงส่ง “ผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่ง”(ยน 14:16) มาให้พวกเขา ดังนั้น ห้าสิบวันหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า พระองค์ได้ทรงส่งพระจิตเจ้าจากสวรรค์มายังบรรดาศิษย์ พวกเขาจึงเข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ มีความมั่นใจอย่างลึกซึ้งในความเชื่อ และได้รับพระพรพิเศษที่จะสามารถประกาศพระวาจา รักษาโรค และกระทำอัศจรรย์ต่างๆ ได้ เหตุนี้ ยุคสมัยของพระศาสนจักรจึงเริ่มขึ้น พระจิตเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงบรรดาสาวกที่หวาดกลัว ให้กลายเป็นพยานที่กล้าหาญถึงพระคริสตเจ้า และในเวลาไม่นาน มีผู้รับศีลล้างบาปเป็นพันๆ คน วันสมโภชพระจิตเจ้า จึงแสดงให้เห็นว่า พระศาสนจักร นับตั้งแต่สมัยแรกเริ่มนั้นเป็นของประชาชาติทั้งมวล เป็นสากล (คำว่า คาทอลิก มาจากภาษากรีก ที่มีความหมายว่า เปิดรับทุกคน)

ทุกวันนี้ พระจิตเจ้ายังคงทำงานอยู่เสมอ พระองค์คอยรักษาพระศาสนจักรให้อยู่ในความจริง นำสู่ความรู้เรื่องพระเจ้าอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ทั้งทรงทำงานในศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และทำให้พระคัมภีร์เป็นชีวิตสำหรับเรา รวมทั้งจะประทานพระพรแห่งพระหรรษทาน แก่ผู้ที่เปิดรับพระองค์อย่างเต็มใจ นักบุญออกัสตินเรียกพระจิตเจ้าว่า “แขกรับเชิญผู้เงียบสงบในจิตวิญญาณของเรา”  เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายของเราจึงเปรียบเหมือนห้องรับแขกของพระเจ้า ยิ่งเราเปิดรับพระจิตเจ้าในตัวเรามากเท่าใด พระองค์ก็จะทรงเป็นอาจารย์ในชีวิตของเราได้มากเท่านั้น

“โปรดเถิดพระเจ้าข้า โปรดให้พระจิตเจ้าหลั่งพระพรฝ่ายจิตลงมายังข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อจะได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด”

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            วันนี้เป็นวันฉลองพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ตามประเพณีการฉลองดั้งเดิม วันฉลองนี้จะมีขึ้นตรงกับวันที่ 40 ภายหลังจากวันฉลองการกลับคืนชีพของพระเยซู ซึ่งถ้าจะนับกันจริงๆแล้วในปีนี้จะตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม แต่เพื่อความสะดวกของสัตบุรุษจึงได้มีการเลื่อนวันฉลองมาตรงกับวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม ความหมายของวันฉลองวันนี้ก็ตรงกับชื่อของวันฉลองนั่นเอง แต่สิ่งที่พ่ออยากจะกล่าวถึงคือ วันฉลองวันนี้ช่วยให้เรามองเห็นอะไรที่สำคัญบ้าง
            ประการแรก เราทราบว่า ภารกิจของพระเยซูบนโลกนี้สำเร็จลงแล้ว
            การลงมาบังเกิดของพระเยซูในโลกนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับโลก เช่นเดียวกับการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์ ทั้งสามเหตุการณ์ถือว่าเป็นสิ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกเอาไว้ เช่นเดียวกับการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซู ถือว่าเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญยิ่งใหญ่ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกของเรา เพราะพระองค์เสด็จกลับไปหาพระบิดา พระองค์ได้เคยกล่าวเอาไว้แล้วว่าวันเวลานี้จะมาถึง และบัดนี้วันเวลานี้ก็มาถึงแล้ว พระเยซูได้ให้บทสอนที่ล้ำค่ากับเรากล่าวคือ ทุกสิ่งที่พระองค์ได้กระทำบัดนี้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีภารกิจใดๆต้องซ่อมเสริมอีก ไม่ต้องมีเอกสารใดๆรับรองอีก ไม่ต้องกล่าวคำใดๆเพิ่มเติมอีก ทุกสิ่งได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว
            ประการที่สอง เราเฉลิมฉลองพิธีบูชาขอบพระคุณ หรือ พิธีศีลมหาสนิทเพื่อรอการเสด็จกลับมาของพระองค์
            พิธีบูชาขอบพระคุณช่วยเตือนใจเราแต่ละคนให้ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซู พระคัมภีร์บอกกับเราว่า "ตราบใดที่ท่านรับประทานปังนี้ และ ดื่มถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก" ดังนั้นพิธีบูชาขอบพระคุณจึงเป็นส่วนของการประกาศถึงการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์เรื่อยไป ในขณะเดียวกันเรายังรอคอยเรื่อยไปสำหรับการเสด็จกลับมาของพระองค์  การเป็นพยานยืนยันถึงการสิ้นพระชนม์และการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูของเรานั้นก็เป็นการยืนยันถึงความสำคัญของการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์อีกด้วย
            ประการที่สาม เราต้อนรับการมาประทับอยู่ขององค์พระจิตเจ้า
            ภายหลังการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูไม่นานนัก เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณขนานใหญ่ในหมู่คริสตชน บรรดาสานุศิษย์ของพระเยซูที่ขลาดกลัว กลับกลายเป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น เปี่ยมล้นไปด้วยพรแห่งการรักษา ประกาศข่าวดี และ กระทำกิจการที่สร้างความประทับใจให้กับผู้คนมากมาย ถามว่าอะไรที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ คำตอบคือ องค์พระจิตเจ้า พระเยซูได้ทรงสัญญาว่า พระองค์จะส่งพระจิตเจ้ามายังพวกเขา เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่ในผู้ที่มีความเชื่อ การเสด็จมาของพระจิตเจ้านั้นเป็นเหตุการณ์สืบต่อเนื่องมาจากการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซู และจากนี้ไปด้วยการประทับอยู่ของพระจิตเจ้าในชีวิตของเรา เราต่างก็ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญในการออกไปสร้างศิษย์ให้กับพระเยซูโดยพลังที่พระองค์มอบให้กับเรา
            ประการที่ 4 เราได้เรียนรู้จักบทบาทในการเป็นพระมหาสงฆ์ของพระเยซู
            ถ้าไม่มีการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซู ก็คงไม่มีการที่พระเยซูทรงวอนขอเพื่อเรา (รม 8:34) นักบุญเปาโลเขียนเอาไว้ว่า "พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า พระองค์ทรงวอนขอเพื่อเราทุกคน" เป็นเรื่องน่ายินดีที่เราทราบว่า พระคริสตเจ้าทรงวิงวอนขอเพื่อเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
            ประการที่ 5 เรารอคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสตเจ้า
            เมื่อพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่นี้จึงเป็นเวลาที่เรารอคอยการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ ถ้อยคำแรกที่ได้รับการบันทึกไว้ภายหลังการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูนั้นเป็นถ้อยคำจากบรรดาเทวดาที่มาเฉลิมฉลองเหตุการณ์นี้ "พระเยซู ผู้ที่ได้จากท่านไปยังสวรรค์ จะเสด็จกลับมาอย่างที่ท่านได้เห็นพระองค์เสด็จไปสู่สรวงสวรรค์นั้นแหละ" ถ้อยคำนี้เป็นคำสัญญาที่บรรเทาใจเราเสมอไปในชีวิตประจำวันของเราอีกทั้งยังดลใจให้เราได้ประกาศข่าวดีนี้ไปยังเพื่อนพี่น้องอีกด้วย
            ประการที่6 เรามองล่วงหน้าไปยังสถานที่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา (ยน 14:2-3)
            พระเยซูเคยตรัสเอาไว้ว่า "เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน และ เมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย" พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์เพื่อไปเตรียมที่สำหรับเรา แม้ว่าเราไม่ทราบถึงการเตรียมของพระองค์นั้นว่าเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยเราก็มั่นใจว่าเรามีความหวังยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่
            พี่น้องที่รัก การเฉลิมฉลองการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูนี้จึงเสริมสร้างคุณค่าทางใจให้กับเราเป็นอย่างมาก เพราะการรำลึกถึงพระธรรมล้ำลึกของพระองค์ประการนี้ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับความเชื่อของเราและช่วยให้การดำเนินชีวิตของเรามีความศรัทธาเพิ่มพูนยิ่งขึ้นในองค์พระเจ้าครับ
คุณพ่อสุพจน์

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            พ่อมาทำงานที่วัดเซนต์หลุยส์ได้ครบหนึ่งปีพอดี แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่ยาวนานนัก แต่ก็มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดและทำความรู้จัก ทักทาย กับพี่น้องที่นี่พอสมควร นอกเหนือจากพี่น้องที่มาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในวันเสาร์และวันอาทิตย์แล้วเป็นประจำแล้ว พี่น้องที่มาร่วมพิธีกรรมทุกๆวันเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็มีไม่น้อย นอกเหนือจากนั้นก็เป็นเจ้าหน้าที่และบุคคลากรของวัดเซนต์หลุยส์นี่แหละ ที่พ่อพบปะเห็นหน้ากันอยู่เสมอๆทุกวัน บุคคลหนึ่งที่เป็นผู้ที่อยู่ในความสังเกตของพ่อเสมอคือ "ลุงเชิด" ด้วยความที่ลุงเชิดเป็นชายสูงอายุ ที่มีอายุถึง 86 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นคนจัดวัดของเราเสมอมา นับตั้งแต่สมัยคุณพ่อลออ สังขรัตน์เป็นเจ้าอาวาส โดยส่วนตัวพ่อไม่ทราบประวัติ ปูมหลังเกี่ยวกับลุงเชิดมากนัก แต่สิ่งที่พ่อสังเกตเห็นและสะกิดใจพ่อทุกครั้งคือ เวลาพระสงฆ์เสกศีลบนพระแท่น ลุงเชิดจะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อแสดงความเคารพอย่างสูงสุดของการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทบนพระแท่น แม้ว่าขณะนั้นลุงเชิดจะเฝ้าติดตามพิธีกรรมอยู่ที่ห้องหลังวัดก็ตาม ลุงเชิดจะทำเช่นนี้เสมอ แสดงออกให้เห็นถึงความเชื่อที่แน่วแน่มั่นคงในองค์พระเจ้าอย่างที่ลุงเชิดมีตามประสาคริสตัง หน้าที่ประจำของลุงเชิดนอกเหนือจากการจัดเตรียมพระแท่น และ เครื่องใช้ในพิธีกรรม รวมไปถึงการตีระฆังประจำเวลาในแต่ละวันแล้ว ลุงเชิดยังเป็นเด็กช่วยมิสซาอยู่ข้างพระแท่นเสมอๆในมิสซาประจำวันเวลาเช้า ทำให้พ่อคิดอยู่ในใจเสมอเวลาที่พ่อถวายมิสซาเช้าประจำวัน และมีลุงเชิดคอยช่วยพิธีกรรมอยู่ข้างพระแท่นว่า วัดเซนต์หลุยส์อาจเป็นเพียงวัดเดียวในโลกกระมังที่มีเด็กช่วยมิสซาอายุมากที่สุด ในสมุดบัญชีศีลล้างบาปของวัดมีรายละเอียดบอกว่า "เปโตร เชิด ภู่ทอง" เกิดที่จังหวัดระนอง และได้รับศีลล้างบาป เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2519 โดยคุณพ่อลออ สังขรัตน์ ขณะที่ลุงเชิด มีอายุได้ 49 ปี แสดงว่าลุงเชิดเป็นคริสตังยืน แต่เดิมนับถือศาสนาพุทธ ลุงเชิดได้สมรสกับ โยนออฟอาร์ค ศิริวิไล พวงเพชรัตน์ ทำให้ลุงเชิดได้มีโอกาสมาเรียนคำสอน และ ได้เปิดใจรับความเชื่อในพระเจ้า นับแต่นั้นมาลุงเชิดก็ดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระมาตลอด ลุงเชิดเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนเคยเป็นคนขับรถแท็กซี่ ต่อมาคุณพ่อลออชวนให้มาทำงานกับวัด ลุงเชิดก็ตัดสินใจมาทำงานอยู่กับวัดเรื่อยมา จากวันนั้นถึงวันนี้ ลุงเชิด ทำงานอยู่กับวัดเซนต์หลุยส์ของเรามากว่า 30 ปีแล้ว อยู่ภายใต้การดูแลของพ่อเจ้าอาวาสที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมารับหน้าที่ที่วัดเซนต์หลุยส์แห่งนี้ 9 องค์ คุณพ่อทวีศักดิ์ กิจเจริญ อดีตเจ้าอาวาสวัดของเรา เล่าให้พ่อฟังว่า ลุงเชิด สม่ำเสมอกับการปฏิบัติหน้าที่ทุกวัน ไม่เคยหยุดงานไปธุระที่ไหน ถ้าจะมีก็สักเพียง 1 วันต่อปีเท่านั้น  แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ รับผิดชอบ ต่อหน้าที่ที่ได้รับ เป็นอย่างดียิ่ง
            เมื่อสักสองสามเดือนที่ผ่านมา ลุงเชิด เกิดอาการเหนื่อยง่าย ไปหาหมอตรวจพบว่า มีเส้นเลือดสองเส้นตีบ จึงต้องรักษาด้วยการใส่บอลลูน ต่อมาไม่นานลุงเชิดเกิดอาการไอมากผิดปกติ จึงไปให้หมอตรวจรักษา หมอบอกเป็นโรคปอดติดเชื้อต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่อค่อยยังชั่วก็กลับมาบ้านพักผ่อน แต่ดูเหมือนว่า อวัยวะในร่างกายของลุงเชิดจะพร้อมใจกันป่วย เพราะกลับมาได้ไม่นาน ลุงเชิดก็ไม่สบายอีกคราวนี้ลุงเชิดมีปัญหาที่ลำไส้ต้องเข้ารับการผ่าตัด และต้องพำนักอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานทีเดียว สิ่งที่ลุงเชิดบ่นเสมอคือ อยากกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน อยากมาทำงานที่วัดตามปกติ เป็นห่วงว่าคนอื่นต้องมาทำงานแทนตัวเอง พ่อได้แต่บอกกับลุงเชิดว่า ขอให้ลุงเชิดพักผ่อนให้หายดีเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน ลุงเชิดก็น้อมรับ เมื่อวันที่ 25เมษายน ดูเหมือนอาการของลุงเชิดจะดีขึ้นพอที่จะกลับบ้านได้ ลูกสาวคนเดียวของลุงเชิดที่อยู่ที่จังหวัดระนอง ก็ตัดสินใจมาพาลุงเชิดไปดูแลที่บ้านที่จังหวัดระนอง แต่ลุงเชิดก็มีโอกาสได้ไปนอนพักที่บ้านที่จังหวัดระนองกับลูกสาวได้เพียงคืนเดียว ลุงเชิดก็สิ้นใจในตอนเช้าของวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2556
            ดูเหมือนชีวิตของลุงเชิด จะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรในสายตาของผู้คนในสังคมทั่วไป แต่ในสายตาของพ่อ ลุงเชิด เป็นเหมือนคนปิดทองหลังพระ ทำงานอยู่หลังพระแท่น ความรับผิดชอบ ความเอาใจใส่ ความสม่ำเสมอ ของลุงเชิดต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตธรรมดาๆของลุงเชิดมีคุณค่า ไม่น้อยกว่าใครๆ
            ขอพระเจ้าทรงประทานการพักผ่อนตลอดนิรันดรให้กับดวงวิญญาณของ เปโตร เชิด ภู่ทอง ด้วยเถิด
คุณพ่อสุพจน์
หมายเหตุ พิธีปลงศพของลุงเชิด จัดขึ้นที่วัดเซนต์หลุยส์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 9.00 . บรรจุศพ ณ สุสานวัดนักบุญเปโตร สามพราน