วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2016

พี่น้องที่รัก
            เดือนตุลาคมเดือนแม่พระลูกประคำกำลังจะผ่านพ้นไปแล้วครับ แม้ว่าเรากำลังจะจบเดือนตุลาคม แต่ก็ไม่อยากให้พี่น้องจบการสวดสายประคำไว้เพียงแค่เดือนนี้ของปีนะครับ วันนี้พ่อขอนำคำแนะนำในการสวดภาวนาของนักบุญหลุยส์ มารีย์ เดอ มองฟอร์ต ผู้มีความศรัทธาต่อแม่พระมากมาฝากพี่น้องครับ
            ท่านนักบุญให้คำแนะนำว่า เมื่อเริ่มสวดภาวนา ให้ถวายคำอธิษฐานวิงวอนขอ แด่แม่พระและตั้งใจสวดภาวนาอย่างดี ภาวนาด้วยหัวใจ ภาวนาด้วยความรักพระ ภาวนาด้วยความสุภาพถ่อมตน และถ่อมใจ ภาวนาช้าๆ นึกถึงคำภาวนาแต่ละคำ ให้แต่ละคำมีความหมายเต็มไปด้วยความรัก ออกมาจากหัวใจ เหมือนเราคุยกับคนที่เรารัก ไม่สวดภาวนาแบบเคยชิน สวดภาวนาแต่ปากแต่ใจล่องลอย ไม่รีบสวดภาวนา ให้เรานึกเสมอว่า ทุกอย่างที่เราทำนี้เพื่อพระ เพื่อผู้อื่น และเพื่อวิญญาณในไฟชำระ ไม่ใช่ภาวนาเพื่อความดี หรือประโยชน์ของตนเอง โดยเริ่มด้วยคำเสนอวิงวอนตามความต้องการสวดภาวนาขอพรพระให้กับผู้ใด เรื่องอะไรบ้าง อธิษฐานวิงวอนตั้งแต่เริ่มต้นเลย และในเวลาภาวนา ตั้งใจภาวนาอย่างเดียวไม่ต้องมัวพะวงเรื่องคำอธิษฐานวิงวอนขออีก เสร็จแล้ว ตามด้วยการถวายคำภาวนาแด่แม่พระดังนี้....
            “ข้าแต่พระแม่มารีอาพระมารดาที่สุดรักของลูก ลูกขอถวายคำภาวนาและคำวอนขอของลูกนี้แด่พระแม่ ขอพระแม่ทรงตบแต่งให้สวยงาม ขอพระจิตเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ในพระแม่ บันดาลให้คำภาวนาและคำวอนขอของลูกนี้ศักดิ์สิทธิ์ไปและขอให้คำภาวนาและคำวอนขอของลูกร่วมสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระจิตเจ้าและพระแม่ ขอพระแม่ทรงถวายคำภาวนาและคำวอนขอของลูกนี้ แด่พระเยซูเจ้าพระบุตรสุดที่รักของพระแม่ พระเป็นเจ้า พระผู้ไถ่ และพระเชษฐาของลูก และขอพระเยซูเจ้าทรงถวายคำภาวนาและคำวอนขอของลูกนี้แด่พระบิดาเจ้าสวรรค์นิรันดร ผู้ทรงพระทัยอารีและทรงรักลูก ขอพระองค์โปรดทรงพระเมตตากรุณาสงสาร ตามพระประสงค์ของพระองค์ และโปรดสดับฟังคำวอนขอของลูกแล้วแต่จะทรงพระกรุณา ลูกวอนขอทั้งนี้ในพระนามของพระเยซูเจ้าพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ โดยคำเสนอวิงวอนของพระแม่มารีย์ เทวดา ทูตสวรรค์ นักบุญทั้งหลาย ท่านอารักขเทวดา และวิญญาณในไฟชำระ ลูกขอให้คำภาวนาและคำวอนขอของลูกนี้ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับของคริสตชนทั่วโลกผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่รักพระองค์และผู้ที่สวดภาวนาทุกท่าน อาแมน
            นักบุญหลุยส์ มารีย์ เดอ มองฟอร์ต ถวายคำภาวนาเช่นนี้ทำให้คำภาวนาของท่านนักบุญได้รับพระพร และพระหรรษทานเพิ่มทวีคูณมหาศาล
            เมื่อเราถวายคำภาวนาแด่แม่พระเช่นนี้ แม่พระจะเป็นผู้แจกจ่ายพระพร และ พระหรรษทานแก่ผู้ที่ต้องการทุกคน ครอบครัวของเรา เพื่อนพี่น้องของเรา ทุกคนที่เรารัก และวิญญาณในไฟชำระไม่ต้องห่วงว่าผู้ที่เราสวดให้จะไม่ได้รับอย่างเพียงพอ เพราะแม่พระทรงทราบดีว่าใครต้องการมาก ใครต้องการน้อย และแม่พระยังมีพระหรรษทานเพิ่มพูนให้ เมื่อบางคนต้องการมากและเราสวดให้ไม่พอ แม่พระทรงเป็นผู้แจกจ่ายพระพรและพระหรรษทานที่ดีที่สุด เพราะแม่พระทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทาน ทรงเปี่ยมด้วยความรัก ความเอาพระทัยใส่และความเมตตาสงสาร แม่พระคอยดูแลลูกๆของแม่ในโลกนี้ แม่พระเป็นแม่สวรรค์ที่รักใคร่และห่วงใยลูกๆมาก มากจนกระทั่งแม่ของเราในโลกนี้ไม่สามารถเปรียบได้เลย
            วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม ขอเรียนเชิญพี่น้องมาร่วมกันสรรเสริญ เทิดเกียรติแม่พระ ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณเวลา 19.00 หลังพิธีมีการแห่พระรูปแม่พระรอบวัด  และในวันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2559 เป็นวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ เรามาร่วมภาวนารำลึกถึงญาติพี่น้องของเราที่จากเราไปแล้วกันครับ พิธีเริ่มเวลา 19.00 .



พ่อสุพจน์
......................................................................................................
สวัสดีครับ
            เมืองเยรีโคตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน จึงเป็นศูนย์กลางเชื่อมเส้นทางระหว่างกรุงเยรูซาเล็มกับดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนเข้าด้วยกัน เยรีโคยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นปาล์ม อินทผลัม ยางไม้หอม และกุหลาบ จนได้รับการขนานนามว่า เมืองแห่งต้นปาล์ม โยเซฟุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวถึงกับเรียกเมืองเยรีโค ว่าเป็น ดินแดนของพระเจ้าและ เมืองที่มั่งคั่งที่สุดในปาเลสไตน์ ด้วยเหตุที่เป็นศูนย์กลางของการเดินทางและการค้าขายกับดินแดนทางตะวันออก กอปรกับธรรมชาติเอื้ออำนวยให้มีความอุดมสมบูรณ์  เยรีโคจึงเป็นศูนย์กลางการเก็บภาษีที่สำคัญที่สุดในปาเลสไตน์
            เดิมทีโรมเก็บภาษีบรรดาเมืองขึ้นซึ่งรวมถึงปาเลสไตน์ด้วย โดย การให้สัมปทานแต่ละเขตแก่ผู้ที่เสนอผลประโยชน์สูงสุดแก่โรม  ตราบใดที่ผู้ได้รับสัมปทานสามารถส่งภาษีได้ครบตามสัญญา โรมจะให้สิทธิพวกเขาเก็บภาษีหรือขูดรีดอะไรก็ได้จากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตนั้น โดยที่ประชาชนแทบไม่รู้เลยว่าภาษีที่พวกเขาต้องจ่ายตามกฎหมายมีอะไรบ้าง เพราะสมัยนั้นยังไม่มีหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ แน่นอนว่าผู้รับสัมปทานแต่ละรายต่างนำสิทธิที่ได้รับจากโรมไปใช้ในทางที่ผิดจนเกิดปัญหาตามมามากมาย  ที่สุดโรมจึงยกเลิกระบบดังกล่าวและหันมาจัดเก็บภาษีเอง  กระนั้นก็ตามคนเก็บภาษีซึ่งแม้จะทำงานให้โรมโดยตรงก็ยังไม่ยอมละทิ้งวัฒนธรรมดั้งเดิม นั่นคือทั้งโลภ ทั้งโกง และทั้งแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตน
    ภาษีที่ต้องจ่ายมี 2 ประเภท ประเภทแรกคือภาษีรัฐ ตัวอย่างเช่น ภาษีรายหัวที่ชายอายุ 14-65 ปีและหญิงอายุ 12-65 ปีทุกคนต้องจ่ายเป็นรายปี  ภาษีที่ดินร้อยละสิบหากปลูกข้าว ถ้าปลูกองุ่นและน้ำมันร้อยละยี่สิบ  ภาษีเงินได้ร้อยละหนึ่ง เป็นต้น  ภาษีประเภทนี้ไม่ค่อยมีการบิดเบือนมากนัก
    ภาษีประเภทที่สองคือภาษีอากรที่เหลือทุกชนิด เช่นภาษีการใช้ถนน ท่าเรือ ตลาด ภาษีนำเข้าและส่งออก รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าบางชนิดยกตัวอย่างเฉพาะภาษีการใช้ถนนซึ่งเรียกเก็บตามจำนวนล้อและชนิดของสัตว์ที่ใช้ลากจูงเกวียน  การลงบัญชีจำนวนล้อหรือชนิดของสัตว์ว่าก่อให้เกิดความเสียหายต่อถนนมากน้อยเพียงใด ล้วนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคนเก็บภาษี นอกจากนั้นคนเก็บภาษียังมีอำนาจสั่งให้หยุดเกวียนกลางถนน แล้วรื้อหีบห่อสินค้าต่าง ๆ เพื่อตรวจเก็บภาษีตามความพอใจ  หากประชาชนมีเงินไม่พอจ่ายค่าภาษี พวกเขายังเตรียมเงินไว้ให้กู้ยืมด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แพงลิบลิ่ว คนเก็บภาษีจึงมีฐานะทางเศรษฐกิจร่ำรวยมาก แต่ฐานะทางสังคมกลับตกต่ำที่สุด เพราะชาวยิวพากันเกลียดชังและจัดชั้นพวกเขาให้อยู่กลุ่มเดียวกันกับโจรและฆาตกร
            ที่สำคัญศักเคียสไม่ใช่คนเก็บภาษีธรรมดา แต่เป็นถึงหัวหน้าคนเก็บภาษีของเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในปาเลสไตน์ ความร่ำรวยของศักเคียสจึงไม่ต้องพูดถึง และกับศักเคียสที่ชาวยิวถือว่าเลวเทียบเท่าโจรและฆาตกรนี้เอง ที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า วันนี้ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว” (ลก 19:9)  เกิดอะไรขึ้นกับศักเคียสหรือ?
            ประการแรก ศักเคียสร่ำรวยแต่ไม่มีความสุข เขาโดดเดี่ยวเพราะเลือกอาชีพที่ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย  ความร่ำรวยไม่ช่วยให้เขามีความสุข  เงินทองไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับเขา โชคดีที่เขาได้ยินมาว่าคนชื่อ เยซูต้อนรับคนเก็บภาษีและคนบาป  เขาจึงอยากรู้ว่าพระองค์จะตรัสกับเขาว่าอย่างไร ? ด้วยเหตุที่ผู้คนพากันดูหมิ่นและเกลียดชัง ศักเคียสจึงพยายามแสวงหาความรักของพระเจ้ามาเติมเต็มชีวิตของเขา
            ประการที่สอง เมื่อศักเคียสตั้งใจพบพระเยซูเจ้า เขาไม่ยอมให้สิ่งใดมาหยุดยั้ง ด้วยความที่เป็นคนร่างเตี้ยและเป็นที่เกลียดชังของผู้คนทั่วไป การฝ่าฝูงชนมากมายเข้าพบพระเยซูเจ้าจึงต้องถือว่าเป็นคนกล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่ง เพราะฝูงชนคงไม่ยอมพลาดโอกาสทองที่จะประเคนทั้งศอก ทั้งเข่าใส่เขาอย่างเมามัน  และเขาคงต้องกลับบ้านพร้อมกับรอยฟกช้ำดำเขียวทั้งตัว แต่ศักเคียสไม่ยอมให้โอกาสที่จะพบพระเยซูเจ้าซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อมหลุดลอยไปเด็ดขาด แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตฟันฝ่าอุปสรรคใหญ่หลวงเพียงใดก็ตาม เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า” (ลก 19:4)ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนร่างเตี้ยอย่างเขา
            ประการที่สาม เมื่อได้พบพระเยซูเจ้า ศักเคียสเปลี่ยนชีวิตใหม่หมดเมื่อพระองค์ตรัสกับเขาว่า ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้”  (ลก 19:5) ศักเคียสค้นพบทันทีว่าเขาได้ เพื่อนใหม่ที่วิเศษสุดแล้ว เขาตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตทันที เขายกสมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน  อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็ไม่ได้เก็บไว้ใช้เอง แต่เพื่อชดใช้ความเสียหายสี่เท่าแก่คนที่เขาได้โกงมา (ลก 19:8)
การชดใช้ สี่เท่าถือว่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้มาก กฎหมายกำหนดว่า ถ้าผู้ใดขโมยโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย ผู้นั้นจะต้องชดใช้ในอัตราโคห้าตัวต่อโคหนึ่งตัว (หนึ่งตัวทดแทนโคที่ถูกฆ่าหรือขาย อีกสี่ตัวเป็นค่าปรับ - ผู้เขียน) แกะสี่ตัวต่อแกะหนึ่งตัว (ค่าปรับสามเท่า)” (อพย 21:37) แต่ ถ้าพบสัตว์ที่เขาขโมยไปยังมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นโค ลาหรือแกะ เขาจะต้องชดใช้เป็นสองเท่า” (อพย 22:3)แต่ถ้าขโมยสำนึกผิดและนำสิ่งของที่ได้มา ไปคืนเจ้าของดังเช่นกรณีของศักเคียสเขาจะต้องนำทุกสิ่งที่เขาได้มาไปคืนแก่เจ้าของ เพิ่มค่าปรับอีกหนึ่งในห้าของราคาสิ่งของเหล่านั้น” (อพย 5:24)แต่ศักเคียสพร้อมชดใช้ความเสียหายหรือค่าปรับสี่เท่าในทุกกรณี ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนดถึงยี่สิบเท่า ศักเคียสไม่เพียงเปลี่ยนแปลงความคิดและจิตใจเท่านั้น แต่เขาเปลี่ยนแปลงการกระทำด้วย เขาทำให้เห็นว่า คำพูดยืนยันใด ๆ ย่อมไร้ค่าหากปราศจากการกระทำ เช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพียงคำพูด แต่ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต สิ่งนี้แหละที่ทำให้พระองค์ตรัสว่า วันนี้ ความรอดพ้นได้มาสู่บ้านนี้แล้ว”
คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                เดือนตุลาคมกำลังจะผ่านพ้นไปอีกไม่นานนัก พ่อเชื่อว่าตลอดเดือนนี้พี่น้องคงได้มีโอกาสสวดลูกประคำกันมากขึ้น สายประคำนำชีวิต การสวดสายประคำจะช่วยให้เรามีใจผูกพันกับพระเจ้ามากขึ้นโดยอาศัยความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารีย์ เพราะทุกทศของสายประคำเราจะมีโอกาสได้รำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกประการต่างๆขององค์พระเยซูเจ้า อย่างใกล้ชิด นั่นหมายความว่า ชีวิตของพระองค์อยู่ต่อหน้าเราตลอดเวลา ทั้งในการมาบังเกิด ทั้งในการเจริญวัยของพระองค์ ทั้งในช่วงเวลาของการเทศน์สอนประชาชนของพระองค์ ทั้งในการรับทนทรมานการสิ้นพระชนม์ และ การกลับคืนชีพขององค์พระเยซูเจ้า ดังนั้นเมื่อเราสวดสายประคำ นอกเหนือจากการที่เราจะฝากชีวิตของเราไว้ในความคุ้มครองของแม่พระแล้ว ชีวิตของเรายังผูกพันแนบชิดกับพระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้ไถ่ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งลงมาเพื่อประทานความรอดพ้นอันเป็นชีวิตนิรันดรให้กับเราทุกคนด้วย เพราะฉะนั้นขอเชิญชวนพี่น้องได้สวดสายประคำเสมอไม่เพียงแต่ในเดือนตุลาคมนี้ แต่เรื่อยๆไปในชีวิตของความเป็นคริสตชนของเราทุกคน
                นอกจากนี้วันสุดท้ายของเดือนคือ วันที่ 31 ตุลาคม พ่ออยากเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาร่วมกันเทิดเกียรติพระนางมารีย์แม่พระของเราเป็นพิเศษสักครั้งในรอบปี เพราะวันนั้นเป็นวันปิดเดือนแม่พระแห่งลูกประคำ ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ แม้ว่าพี่น้องหลายท่านจะต้องไปทำงาน เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน แต่ถ้าพี่น้องรักแม่พระด้วยหัวใจ พ่อคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะจัดเวลาให้กับพระนางมารีย์ ความตั้งใจของเราคือจัดพิธีการแห่แหนพระรูปของพระนางมารีย์รอบวัดของเรา ถ้าฝนฟ้าไม่ตก ถ้าถนนหนทางเป็นใจ เราคงได้มีโอกาสเดินตามพระรูปพระแม่มารีย์รอบวัดของเรา เป็นประดุจว่าเส้นทางชีวิตของเรามีพระนางมารีย์คอยนำทางเราเสมอ พ่อเชื่อว่าพี่น้องคงมาร่วมในพิธีดังกล่าวกันมากหน้าหลายตาครับ พิธีจะเริ่มเวลา 19.00 . ด้วยการสวดสายประคำ หลังจากนั้นจะเป็นพิธีบูชาขอบพระคุณ ตามด้วยพิธีแห่
                อีกวันหนึ่งที่พ่ออยากเชิญชวนเป็นพิเศษคือ วันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ ซึ่งในปีนี้เป็นพิเศษเราจะอุทิศถวายคำภาวนาเป็นพิเศษเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ของเรา นอกจากนี้เราจะภาวนารำลึกถึงดวงวิญญาณของญาติพี่น้องของเราที่ล่วงลับไปแล้วด้วย พี่น้องสามารถนำรูปของญาติพี่น้องผู้ล่วงลับมาวางไว้บริเวณหน้าพระแท่นด้วย พิธีจะเริ่มเวลา 19.00 . เช่นกันครับ สัปดาห์ดังกล่าวเราคงได้มาวัดกันหลายครั้งหน่อยครับ
                พ่อรีบออกมาประกาศเชิญชวนกันแต่เนิ่นๆ เพื่อว่าพี่น้องจะได้ลงหมายนัดกับแม่พระของเราไว้แต่เนิ่นๆเช่นกัน ธุระปะปังอื่นๆ ขอหลีกทางให้กับนัดหมายสำคัญสองวันนี้ก่อนนะครับ

พ่อสุพจน์
................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
                ในสมัยพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสีเป็นคนศรัทธาในศาสนามาก พวกเขาเป็นผู้มีความเชื่อที่ปฏิบัติศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอและถือตามบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด บ่อยครั้งพวกเขาทำ มากกว่าข้อเรียกร้องของบทบัญญัติเสียอีก พวกเขาจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน คือวันจันทร์และวันพฤหัสบดี แม้บทบัญญัติเรียกร้องให้ประชาชนจำศีลอดอาหารเพียงปีละหนึ่งวันเท่านั้นคือในวันชดเชยบาปพวกเขายังถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดแด่พระเจ้าอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
                ในอุปมาวันนี้ชาวฟาริสีไม่ได้ล้อเล่น เมื่อเขาพูดว่า ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวันและถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า” (ลก 18:11-12) เราจะเห็นว่าชาวฟาริสีมีมาตรฐานทางศีลธรรมค่อนข้างสูง ส่วนคนเก็บภาษีถูกมองว่าเป็นคนที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมต่ำ เพราะพวกเขาทำงานให้กับรัฐบาลชาวโรมัน ซึ่งเป็นคนต่างชาติยอมก้มหัวให้กับผู้รุกราน แสวงหาผลประโยชน์และทรยศต่อเพื่อนร่วมชาติ โดยเรียกเก็บภาษีเกินพิกัดเพื่อเข้ากระเป๋าตนเอง ในสายตาของชาวยิวพวกเขาจึงถูกถือว่าเป็นคนบาปที่ต้องตกนรกอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คนเก็บภาษีทั้งหลายรู้ดีว่าเสียงของประชาชนไม่ใช่เสียงของพระเจ้าเสมอไป พวกเขายังคงหวังที่จะได้รับความรอดพ้นเหมือนคนอื่น แม้ไม่ใช่โดยทางความครบครันด้านชีวิตฝ่ายจิตของตนเอง แต่โดยทางพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้า อันที่จริงการเชื่อในพระเจ้าอย่างเดียวไม่ช่วยใครให้รอดพ้น
                นักบุญยากอบบอกเราว่า แม้พวกปีศาจก็เชื่อเช่นนั้นและยังกลัวจนตัวสั่นด้วย” (ยก 2:19) สิ่งสำคัญคือ เราเชื่ออะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเพราะว่าความเชื่อนั้นจะมีผลกระทบต่อตัวเราเอง ชาวฟาริสีเชื่อว่า พระเจ้ารักคนดีและเกลียดชังคนชั่วดังนั้น พวกเขาจึงประพฤติตนตามที่ตัวเองเชื่อ คือพวกเขาจะรักเฉพาะคนดีตามแบบฉบับของพวกเขาเท่านั้นและดูถูกเหยียดหยามคนชั่วและคนบาปเหมือนคนเก็บภาษี พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้ชาวฟาริสีฟังเพราะพวกเขา ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่น” (ลก 18:9)
                อีกด้านหนึ่ง คนเก็บภาษีไม่ได้วางใจในตนเองหรือในสิ่งที่พวกเขาได้ทำ แต่ไว้วางใจในพระเมตตาของพระเจ้า เมื่ออยู่ในพระวิหาร เขา ยืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้าโปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” (ลก 18:13) นี่แหละคือคนที่กลับไปบ้านด้วยความสุขใจในความรักของพระเจ้า ไม่ใช่ชาวฟาริสีที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ชอบธรรม วันนี้เราเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้า เพื่อนมัสการและอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ เมื่อพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้สิ้นสุดลง เราหวังที่จะกลับไปบ้านด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยสันติสุขในพระองค์ ให้เราเรียนรู้เคล็ดลับการนมัสการและการอธิษฐานภาวนาที่สบพระทัยของพระเจ้าจากคนเก็บภาษี ให้เรามั่นใจในความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ ไม่มีบาปใดที่พระองค์อภัยให้เราไม่ได้
                ในเวลาเดียวกันเราต้องตระหนักถึงความผิดบาปของเราและมอบตนเองไว้ในพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์ อย่าดูหมิ่นเพื่อนพี่น้องที่เป็นคนบาปของเรา แต่พยายามช่วยพวกเขาให้พบพระเจ้า เหมือนคนเก็บภาษีช่วยเราให้ค้นพบความรักและพระเมตตาของพระองค์ในวันนี้ จำคำของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ให้ดี ผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” (ลก 18:14)

คุณพ่อพงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                พี่น้องครับ หลายคนชอบอ่านเรื่องสั้นสอนใจ ชี้นำคุณธรรม ให้บทเรียนกับชีวิต วันนี้พ่อเลยนำเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่อ่านเจอมาฝากครับ เรื่องนั้นมีชื่อว่า "เหนือฟ้ายังมีเทวดา ... ผู้กล้าสอนขงจื๊อ"
                ขงจื๊อ นั่งดีดพิณร้องเพลง ระหว่างการท่องเที่ยวป่าดำ ชายชราคิ้วขาวหนวดขาวยาวย้อยต่ำ ผมขาวกระจายคลุมไหล่ สองมือยัดใส่แขนเสื้อ ขึ้นจากเรือเดินเข้ามา ได้ยินเสียงเพลงก็นั่งคุกเข่า มือเท้าคาง นั่งฟังอย่างตั้งใจ เพลงจบ... พอรู้ว่าเป็นขงจื๊อ ผู้แสวงหาทางการเมือง หยีฟู่ก็หัวร่อ กล่าวว่า "ที่เขาเหนื่อยยากถึงปานนี้ ก็น่ายกย่อง แต่ถ้าเขาขืนทำเช่นนี้ต่อไป ก็น่ากลัวว่าเขาจะห่างไกลจากมรรคออกไปทุกวัน" แล้วก็เดินจากไป เมื่อขงจื๊อทราบ ก็ผลักพิณไปข้างหนึ่ง บอกศิษย์ว่า "ชาวประมงคนนั้นเป็นคนมีสติปัญญาล้ำเลิศ" แล้วก็เดินตามไปทันหยีฟู่แล้วบอกว่า "ถ้อยคำที่ท่านพูดสักครู่ ดูจะยังไม่จบ ข้าพเจ้าโง่เขลา ใคร่ขอฟังคำสอนจากท่านอีก"
                หยีฟู่ : "ท่านนับเป็นคนรักการศึกษา"
                ขงจื๊อ : "ข้าพเจ้ารักการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เวลานี้มีอายุ 69 ปีแล้ว"
                หยีฟู่ : "คนเรามีโรคร้าย 8 ประการ มีความทุกข์ 4 ประการ จะไม่สนใจมิได้ นั่นคือ..
                                1. ทำในสิ่งที่ท่านไม่ควรทำ นี่เรียกว่า... "แส่เสือก"
                                2. คนอื่นเขาไม่เชื่อในถ้อยคำของท่าน แต่ท่านก็พูดไม่รู้จบ นี่เรียกว่า..."เพ้อพล่าม"
                                3. เดาใจของผู้อื่น พูดในสิ่งที่ผู้อื่นเขาอยากจะฟัง นี่เรียกว่า..."ประจบ"
                                4. ไม่รู้ดีชั่ว เออออตามคนอื่นเขา นี่เรียกว่า... "สอพลอ"
                                5. ชอบนินทาความผิดของผู้อื่น นี่เรียกว่า... "ใส่ไคล้"
                                6. ทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่น นี่เรียกว่า... "ยุแยง"
                                7. ยกย่องคนชั่ว ขับไสคนที่เกลียดชัง นี่เรียกว่า... "เจ้าเล่ห์"
                                8. ไม่แยกดีชั่ว ทำดีกับสองฝ่าย เพื่อให้เขาชอบ นี่เรียกว่า... "กลิ้งกลอก"
                หยีฟู่สรุปว่า "โรคร้ายทั้ง 8 ประการนี้ ต่อภายนอกก็ก่อกวนคนอื่น ต่อภายในก็ทำร้ายตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ผู้มีสติปัญญามิยอมชิดใกล้"
                "ถ้าเช่นนั้น ที่ว่าความทุกข์ 4 ประการนั้นเล่า คืออย่างไร?" ขงจื๊อ ถามต่อ
                หยีฟู่กล่าว นั่นคือ
                1. คิดจะทำแต่เรื่องใหญ่ เพื่อหาชื่อเสียง นี่เรียกว่า... "มักใหญ่"
                2. ทำเป็นอวดฉลาด ทำอะไรตามใจชอบ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเอง ไม่คำนึงถึงการล่วงเกินผู้อื่น นี่เรียกว่า... "ถือดี"
                3. มองเห็นความผิดของตน แต่ไม่ยอมแก้ไข ครั้นเมื่อได้ฟังคำตักเตือนของคนอื่น ก็กลับโมโหโกรธา นี่เรียกว่า... "ยโส"
                4. ถ้าความเห็นนั้นตรงกับของตนก็ว่าถูก ถ้าความเห็นนั้นไม่ตรงกับคนอื่น แม้จะดีกว่าไม่ดี นี่เรียกว่า... "ทะนง"
                "คนคนหนึ่ง ถ้าหากมีความทุกข์ 4 ประการนี้แล้ว ก็ยากจะสนทนา"
                ขงจื๊อได้ฟังแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป ค้อมคำนับ อีกสามครา แล้วก็จากมา...หยีฟู่ ชายชราคิ้วขาว เคราขาวยาวคลุมอก... ผู้กล้าสอนขงจื๊อ ทำให้ขงจื๊อต้องคำนับแล้ว คำนับอีก จวงจื๊อ ปราชญ์รุ่นหลังขงจื๊อ ผู้เขียนเรื่องนี้ ไม่ได้บอกว่าเป็นใครมาจากไหน บอกแต่เพียงว่าสอนขงจื๊อแล้วก็ลงเรือหายไปในทะเลสาบ แต่คำสอน โรคร้ายทั้ง 8 ความทุกข์ทั้ง 4 ยังมีผู้บันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่า บ้านเมืองที่มีแต่คนป่วย เป็นโรคร้ายทั้ง 8 มีแต่คนมีทุกข์ทั้ง 4 เป็นบ้านเมืองที่หามีความสงบสุขไม่
พ่อสุพจน์
.......................................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
                หญิงชราชาวฟิลิปปินส์อยู่บ้านตัวคนเดียวด้วยความอดอยากแร้นแค้น ทุกวันคุณยายก็เพียรภาวนาอยู่หน้าแท่นพระภายในบ้าน ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ตั้งแต่ลูกเกิดมามีแต่ความทุกข์ยาก ลำบากแสนสาหัส ถ้าพระองค์จะเมตตา ขอพระองค์โปรดบรรเทาทุกข์ลูกบ้างเถิด ลูกไม่มีเงินเลย แต่จะต้องซื้ออาหารเย็นนี้แล้ว ขอโปรดประทานเงินให้ลูกสัก 500 เปโซ ด้วยเถิด
              เผอิญบุรุษไปรษณีย์ผ่านมาส่งจดหมายใกล้ๆ บ้านคุณยาย ได้ยินถึงความทุกข์ยาก ที่คุณยายสวดออกมาก็เกิดความสงสาร ก็กลับไปที่ทำการไปรษณีย์และได้เล่าถึงชีวิตของคุณยายที่น่าสงสาร เพื่อนๆในที่ทำการไปรษณีย์พอได้ฟังถึงความทุกข์ของคุณยายแล้ว ต่างคนต่างก็ล้วงเงินในกระเป๋าของตนออกมาบริจาคร่วมกัน ได้ประมาณ 400เปโซและมอบให้บุรุษไปรษณีย์คนเดิมนำกลับไปให้คุณยาย ก่อนที่คุณยายจะอดตายเสียก่อน
              เมื่อคุณยายได้รับเงินจากบุรุษไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ยายก็หันไปที่แท่นพระและสวดโมทนาคุณพระเป็นเจ้า ข้าแต่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขอขอบคุณพระองค์ที่ทรงรับฟังคำภาวนาของลูก ถ้าหากครั้งหน้าพระองค์จะทรงช่วยเหลือลูกอีก ขอพระองค์อย่าส่งเงินผ่านทางบุรุษไปรษณีย์อีกเลย เพราะเขาอมเงินของพระองค์ไปถึง 100เปโซพระเจ้าข้าคำภาวนาด้วยความเชื่อ พระเป็นเจ้าจะประทานให้แก่ผู้ที่วอนขอพระองค์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ขออย่าให้เราเกิดความท้อแท้ในการสวดภาวนา ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า เมื่อสวดภาวนาจงภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน พระเป็นเจ้าจะประทานความยุติธรรมแก่ผู้ที่วอนขอโดยเร็ว
                ในสมัยพระเยซูเจ้า โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่รู้หนังสือและไม่รู้กฎหมาย ต่างถือว่า ผู้พิพากษาเป็นบุคคลที่มีลักษณะเด่นในสังคม เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้พิพากษาก็เหมือนนายกเทศมนตรีประจำเมือง  ทนายความ    อัยการและโจทก์ (ผู้ฟ้องร้องคดี) พนักงานจดทะเบียน ผู้พิพากษามีอำนาจไม่จำกัด   ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของตราชั่ง มีหญิงม่ายซึ่งสถานะของนาง บวกกับสถานะของเราเป็นลูกกำพร้า เป็นตัวแทนของสภาพมนุษย์ที่ตกอับที่สุด เมื่อนางไม่สามารถพึ่งพาอำนาจทางครอบครัวหรือทางสิทธิพลเมืองของสามีได้ แม่ม่ายจึงถูกบังคับให้ทนทุกข์กับการข่มเหงสารพัดรูปแบบอยู่บ่อยครั้ง  เรื่องอุปมานี้เกี่ยวกับผู้พิพากษาที่มีอำนาจสูงมาก กับแม่ม่ายที่ไร้อำนาจมาประจวบรวมกันที่นี่   พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ตัวเอกทั้งสอง 2 คนพร้อมกันเนื่องจากผู้พิพากษาเกี่ยวข้องกับพระเจ้าโดยอ้อมตั้งแต่แรก  เพราะมีคนพูดกันว่า ผู้พิพากษาไม่เกรงกลัวพระเจ้า และแล้วเขาเองก็ยอมรับคำกล่าวนี้  ท้ายสุด มีการเปรียบเทียบระหว่างผู้พิพากษากับพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเน้นวิธีพิเศษ เมื่อมีเหวหรือช่องว่างระหว่างอำนาจทางการเมืองของผู้พิพากษาและสถานการณ์ของแม่ม่าย  ผู้พิพากษาไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เคร่งศาสนา นอกจากที่เขาไม่เกรงกลัวพระเจ้า หรือไม่เชื่อในพระเจ้าแห่งอิสราเอลแล้ว  เขายังตัดสินคดีตามความพอใจของเขาเอง  เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้พิพากษาที่ไม่ซื่อสัตย์เท่านั้น  เขายังเป็นผู้พิพากษาที่ไม่เที่ยงธรรมที่ขาดความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นเพราะเขาไม่เชื่อในพระเจ้า
                ชีวิตด้านตรงกันข้ามของคนชนชั้น คือแม่ม่ายที่แวะเวียนมารบเร้าผู้พิพากษาเพื่อขอความยุติธรรม ในการสู้ความกับคู่กรณี  เรื่องอุปมาไม่ได้กล่าวถึงคู่กรณีของนางเลย สิ่งที่น่าสนใจในที่นี้คือ อำนาจตัดสินตามอำเภอใจของผู้พิพากษาเปรียบเทียบอำนาจของพระเจ้าในความหมายของความยุติธรรม   และการยืนกรานของแม่ม่าย  หลังจากที่แม่ม่ายรบเร้าหลายๆ ครั้ง  ผู้พิพากษาจึงตัดสินใจที่จะทำตามคำร้องขอของแม่ม่าย  อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องของความเห็นอกเห็นใจที่เปลี่ยนจิตใจของผู้พิพากษา แต่เป็นการรบเร้าอย่างต่อเนื่องของแม่ม่ายต่างหาก เป็นการง่ายที่จะหยุดภาวนา เมื่อคำภาวนาดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบ  เป็นการยากที่จะเพียรทนเหมือนแม่ม่ายที่รบเร้า  แต่พระเจ้าทรงเต็มพระทัยมากกว่าผู้พิพากษาใดใด ที่จะทรงสดับฟังต่อเสียงร้องขอของผู้ได้รับเลือกอย่างรวดเร็ว ขอให้ผู้ที่มีความเชื่อเพียรภาวนา แม้เมื่อผลลัพธ์ต่างไปจากสิ่งที่หวังไว้ก็ตาม “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร”(ยน.3.16) ผลของการเลือกสรรอาศัยพระเมตตากรุณาของพระเจ้าไม่ได้แสดงด้วยความหยิ่งยโส แต่ด้วยการรับใช้ผู้อื่น เราทุกคนจึงควรมีความเมตตาต่อผู้อื่นด้วย

คุณพ่อพงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาิทตย์ที่ 9 ตุลาคม 2016

พี่น้องที่รัก
            วันนี้มีเรื่องดีๆ มาฝากกันอีกเช่นเคยครับ เรื่องนี้น่าอ่านมาก
            ครั้งหนึ่งในอเมริกากลาง ทุกๆปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด หลังจากการประกวด ชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึ่ง เขาทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ... ทันทีที่เขาชนะ เขาได้นำเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งชนะการประกวด แจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า เอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปปลูกนะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่
            ในปีต่อมา... เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดอีก เขาเดินแจกเมล็ดพันธุ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่นๆ แล้วบอกว่า... เอาไปปลูกนะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่
            ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดติดต่อกัน 6 ครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธุ์ที่ชนะให้แก่ผู้แข่งขันคนอื่นๆทุกปี
            มีนักข่าวถามเขาว่า ... ไม่ง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ดี โดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่ายๆ ทุกปี เขาตอบว่า ... แสดงว่าคุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่า ... การกลายพันธุ์ไหม ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธุ์ที่ดี บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธุ์ที่แย่ๆ วันหนึ่งลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธุ์ที่แย่ๆ มาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธุ์ผมแย่ไปด้วย มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ ... ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์ที่ดีแล้ว ... ถึงตอนนั้นมาแข่งกันว่า ... ใครขยัน รดน้ำพรวนดินดีกว่ากัน!!!
            มีคำกล่าวว่า... ถ้าคุณมีเมล็ดพันธุ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดนั้นก็จะตายไปพร้อมคุณ เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมา และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนๆนั้น ประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อมๆกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม

            เรื่องข้างต้นพ่ออ่านพบจากไลน์ที่ส่งต่อๆกันมา ไม่ได้มีการอ้างอิงว่าแหล่งที่มามาจากที่ไหน แต่ก็ขอแสดงความขอบคุณในเนื้อหาที่มีบทสอนใจที่ดีมากครับ เอามาแบ่งปันกันครับ อ่านแล้วเลยคิดถึงคำที่ว่า "ผู้ให้ย่อมมีความสุขกว่าผู้รับ" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องความรักและการแบ่งปันนั่นเอง ขอพระอำนวยพรพี่น้องครับ

พ่อสุพจน์
................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            ขวบปีที่ผ่านมา สมาชิกในวัดเซนต์หลุยส์คงจะได้เรียนรู้เรื่องการขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี โดยไม่จำเป็นต้องรอการตอบจากพระในแบบทันตาเห็น  เพราะเรารู้ดีว่าพระองค์ทรงฟัง และทรงรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะตอบเรา ไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง เราจึงต้องหมั่นเข้ามาสรรเสริญพระเจ้าด้วยความสำนึกรู้คุณในทุกสถานการณ์ แม้ในยามทุกข์หรือยามสุข เพราะพระเจ้าอยู่ด้วยกับเราในทุกเหตุการณ์ของชีวิต พระวาจาวันนี้จึงเตือนสติเรา จากคำของพระเยซูเจ้าว่าฝ่ายพระเยซูตรัสว่า มีสิบคนหายสะอาดมิใช่หรือ แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน ไม่เห็นผู้ใดกลับมาสรรเสริญพระเจ้า เว้นไว้แต่คนต่างชาติคนนี้” (ลูกา 17:17-18)ในลูกาบทที่ 17 เป็นเรื่องเกี่ยวกับบางคนที่มีเรื่องขอบพระคุณมากมาย ก่อนที่เขาจะได้รับการสัมผัสอย่างอัศจรรย์จากพระเยซู พวกเขาถูกสังคมรังเกียจ เป็นภัยและหายนะแก่สังคม ทั้งสิบคนมีเชื้อโรคที่รุนแรงที่สุดในสมัยนั้น โรคเรื้อน เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ไม่มีใครตกต่ำไปกว่านี้แล้ว ในประวัติศาสตร์ของยุคนั้น เป็นโรคร้ายที่ไม่มีทางหาย
            คนที่พบว่าตัวเองเป็นโรคเรื้อนจะไม่สามารถติดต่อกับคนอื่นๆได้ ต้องออกจากบ้าน ทิ้งครอบครัวและญาติมิตรไป แยกตัวไปอยู่ตามลำพัง มีชีวิตที่น่าสงสาร เสื้อผ้าของพวกเขาคงฉีกขาดจากการคร่ำครวญ ศีรษะเกลี้ยงเหมือนกะโหลกที่ไม่มีสิ่งใดปกคลุม และไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องคอยร้องตะโกนว่า ไม่สะอาดๆ เป็นมลทินๆเพื่อให้เป็นไปตามธรรมบัญญัติโมเสส แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องพระเยซู และมองเห็นพระองค์แต่ไกล จึงร้องตะโกนว่า เยซูนายเจ้าข้า โปรดได้เมตตาข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด” (ลูกา  17:12-13)
             ที่ว่าน่าสนใจเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบสนองต่อเสียงร้องนั้น ไม่มีแสงสีเสียงกระหึ่มใดๆประกอบ ไม่มีแม้การแตะต้องตัว มีแต่คำสั่ง พระเยซูเพียงตรัสว่า จงไปสำแดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด” (ข้อ 14) ตามบทบัญญัติในเลวีนิติ ปุโรหิตต้องนำพวกเขาเข้าสู่การเฉลิมฉลองเป็นเวลาแปดวัน ตรวจสอบพวกเขา เพื่อให้แน่ใจว่าหายขาดจากโรคเรื้อนจริงๆ ตอนนั้นพวกเขายังไม่หาย แต่ก็ไปตามที่พระเยซูสั่งและพระเจ้าทรงรักษาพวกเขาจนหายขาด แต่มีเพียงหนึ่งในสิบคนเท่านั้นที่ตัดสินใจกลับมาขอบพระคุณและก็เป็นคนสะมาเรียเสียด้วย พวกยิวดูถูกคนสะมาเรีย แต่ก็มีคนสะมาเรียเท่านั้นที่กลับมาขอบพระคุณ แลดูจะเหมือนพวกเรา ที่มักลืมขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ เวลาเร่งด่วนเราไปเที่ยวต่างประเทศหาวัดไม่เจอ ไปทำงานต่างจังหวัดไม่รู้ว่าวัดอยู่ไหน บางคนอ้างว่าต้องทำงานหนัก ต้องไปเรียนหนังสือ ต้องทำกิจกรรม สารพัดจะอ้างไป แต่พระเจ้าไม่เคยอ้างอะไรกับมนุษย์เลย เวลาที่จะช่วยเหลือมนุษย์ว่ามีอะไรดีหรือที่พระจะต้องช่วย เวลาต้องถูกทรมานและถูกเฆี่ยนและถูกตรึงการเขนเจ็บปวดแสนทรมาน ทำไมต้องไถ่บาปมนุษย์เล่า มนุษย์มีความดีอะไรมากมายหรือ ก็เปล่าเลยทั้งๆที่มนุษย์เต็มไปด้วยบาป เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ ขี้เกียจ ชั่วช้าลามก ไม่ซื่อสัตย์ หยาบคาย ทรยศ พระองค์ก็ยังคงรักมนุษย์ แล้วเรามนุษย์ยังคงมัวหลงอะไรอยู่อื่น อย่ากลายเป็นอกตัญญูโดยไม่รู้คุณพระ แต่จงหันหน้าเข้าทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยความรัก แต่จงอย่าลืมที่จะสรรเสริญขอบพระคุณพระองค์ด้วยการอธิษฐานภาวนา และร่วมถวายตัวพร้อมกับพระในบูชามิสซาขอบพระคุณอย่างสม่ำเสมอ

คพ.พงษ์เกษม