วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2017

พี่น้องที่รัก
            วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วนะครับ ช่วงเวลา 5 ปีเต็มที่พ่อได้รับมอบหมายให้มาทำงานที่วัดเซนต์หลุยส์โบยบินลับไปแบบฟาสต์ฟอร์เวิร์ด จนมาถึงช่วงเวลาสุดท้ายของการทำหน้าที่ของพ่อที่นี่แล้ว ยังนึกถึงวันแรกๆที่มาทำงานที่วัดนี้ พ่อรู้สึกว่าที่แห่งนี้มีอะไรที่ยิ่งใหญ่งดงามแฝงอยู่มากมาย ในด้านสถานที่ภายนอก วัดแห่งนี้แม้ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางอะไร แต่สถาปัตยกรรมรูปทรงของตัววัดซึ่งเป็นพระวิหารของพระเจ้า งดงามลงตัวเป็นเอกลักษณ์อย่างที่ไม่มีที่ไหนในเมืองไทยเสมอเหมือน พ่อค่อยๆ เรียนรู้ทีละเล็กละน้อย ทีละวัน ผ่านทางการทำงานกับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน พ่อพบว่า ความงดงามที่นอกเหนือจากสิ่งก่อสร้างและวัตถุที่มองเห็นได้ภายนอกก็คือความงดงามในจิตใจของพี่น้องสัตบุรุษที่วัดเซนต์หลุยส์นี่แหละ ที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ ความศรัทธาเลื่อมใสในพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้านี้เอง ที่ได้รับการสืบสานส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น วัดนี้เป็นวัดที่มีบรรยากาศความมีชีวิตชีวาในการร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์สูงมาก พ่อเห็นครอบครัวที่พากันมาวัดวันอาทิตย์ ประกอบไปด้วยคนรุ่นตารุ่นยายมาวัดพร้อมกันกับรุ่นพ่อรุ่นแม่และลูกหลานเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนมีความสุขที่จะได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อนมัสการสรรเสริญพระเจ้า พ่อสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์แนบแน่นของความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้อย่างชัดเจนในวัดของเรา
            สิ่งที่สำคัญที่จะเป็นความทรงจำของพ่อตลอดไปก็คือ ความร่วมมือร่วมใจที่พี่น้องกรุณามอบให้กับพระสงฆ์ที่ทำงานที่วัดแห่งนี้เรื่อยมา และคิดว่าพี่น้องก็คงจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ พี่น้องคงสังเกตว่าพ่อให้ความสำคัญกับเด็กๆ เพราะพ่อเชื่อว่าการปลูกฝังเด็กๆให้มีความเชื่อความรักในพระเจ้า ความประทับใจในการมาวัดปฏิบัติศาสนกิจเป็นเรื่องที่จะต้องเริ่มตั้งแต่เขายังเล็ก วัดและครอบครัวต้องร่วมมือกันส่งผ่านความเชื่อในพระเจ้าให้กับลูกหลานของเราอย่างเข้มแข็ง ภาพของเด็กที่กล้าวิ่งเข้ามาหาพระสงฆ์ ภาพของเด็กช่วยมิสซาจำนวนมากบนพระแท่น สื่อถึงอนาคตที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวังของพระศาสนจักรท้องถิ่นในวัดของเรา
            พ่อถือโอกาสนี้ขอแสดงความขอบคุณมายังพี่น้องทุกๆท่าน ที่มีส่วนทำให้วันเวลาของพ่อในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้มีความสุขทุกวัน แม้เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เป็นความทรงจำที่ดีของพ่อ ที่มีโอกาสได้รับใช้พี่น้องในด้านต่างๆ เท่าที่ความสามารถและศักยภาพที่พระเจ้าประทานให้จะเอื้ออำนวย แม้ว่าพ่อจะยังไม่อยากให้วาระการทำงานที่วัดแห่งนี้สิ้นสุดลง แต่กาลเวลานั้นก็ต้องมาถึงไม่ว่าจะช้าหรือเร็วจนได้ พ่อคิดว่าเราต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันในชีวิต นั่นก็คือ การตอบสนองต่อน้ำพระทัยพระเจ้า และสิ่งนี้ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด พ่อเชื่อว่าพี่น้องทุกท่านต่างก็กำลังก้าวไปบนเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน น่าดีใจที่บางช่วงบางเวลาของการไปสู่เป้าหมายของชีวิตดังกล่าวเรามีโอกาสได้เดินเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลใกล้ชิดกัน และแม้ว่าในอนาคตข้างหน้าเส้นทางของแต่ละชีวิตอาจต้องดำเนินเหินห่างจากกันบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วเราต่างก็มีเป้าหมายสุดท้ายที่เดียวกันครับ
            พ่อจะอยู่ที่วัดนี้จนถึงวันที่ 11 พฤษภาคมครับ หมายความว่าในอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคมสัปดาห์หน้าเรายังคงได้พบปะเจอะเจอกันอยู่ ซึ่งคณะกรรมการสภาภิบาลกำหนดว่าจะมีการกล่าวอำลาในมิสซารอบ 8 นาฬิกา ครับ  ส่วนคุณพ่อชาญชัย ทิวไผ่งาม เจ้าอาวาสองค์ใหม่จะเข้ามาปฏิบัติงานที่วัดเซนต์หลุยส์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคมครับ ระหว่างนี้พ่อก็จะมอบหมายงานต่างๆ ที่ยังต้องสานต่อโดยเฉพาะเรื่องการเตรียมฉลอง 60 ปีวัดเซนต์หลุยส์ และการก่อสร้างซึ่งยังไม่แล้วเสร็จกับคุณพ่อชาญชัยต่อไปครับ
            พ่อจะภาวนาเพื่อพี่น้องเสมอในพิธีบูชาขอบพระคุณครับ

พ่อสุพจน์
..............................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            การประจักษ์จากสวรรค์แต่ละครั้งเป็นการตำหนิโลกที่ยังเอาแต่เศร้าโศก โลกเชื่อว่ามีเหตุผลต้องเศร้า แต่สวรรค์มีเหตุผลให้ต้องเริงร่า ในขณะที่สวรรค์มีความรัก ความยินดีและชัยชนะของพระเจ้าเหนือความตายต่อโลกมีแต่การเสียสละ มีความหวาดหวั่น  ในขณะที่โลกมีบาป สวรรค์มีแต่การให้อภัยและเต็มไปด้วยความรัก
            ศิษย์สองคนเดินก้มหน้าก้มตาเพราะเชื่อว่าพวกเขาล้มเหลว เราเคยหวังไว้ว่าพวกเขาหวังว่าวันหนึ่งจะมีการปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้เป็นอิสระ ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ผิดหวัง เพียงแต่ว่าพวกเขายังไม่เข้าใจ เพราะพวกเขามีความคาดหวังที่ต่างไปจากแผนการไถ่กู้ของพระเจ้า  พวกเขายืนยันว่ามีผู้หญิงบางคนกลับมาบอกพวกเขาเกี่ยวกับเทวดาที่ประจักษ์ในพระคูหาและยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ บางคนรีบตรงไปที่พระคูหาและเห็นสิ่งที่ผู้หญิงเล่าให้ฟัง แต่พวกเขาไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (เทียบ ลก.24,22-24)  เพราะใจพวกเขาก็ยังไม่พร้อมจะยอมรับอยู่ดี
            เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่า พวกเขาเห็นพระเยซูเจ้ามาร่วมเดินทางแต่กลับจำพระองค์ไม่ได้ ทำไมพระองค์จึงทรงประจักษ์แต่ทำให้พวกเขามองไม่เห็นพระองค์? ทำไมพระองค์จึงทรงกลับคืนชีพแต่ทำให้สาวกตามหาพระองค์ไม่พบ?    ถึงแม้สายตาของพวกเขาจะจำพระองค์ไม่ได้ แต่จิตใจของพวกเขาเร่าร้อนเป็นไฟเมื่อพระองค์ตรัสกับพวกเขามาตามทาง พระองค์ทรงต่อว่าพวกเขาอย่างนุ่มนวล เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อพระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ” (ลก 24,25-26)  
            พระเยซูเจ้าทรงใช้พระคัมภีร์เพื่ออธิบายให้พวกเขาเข้าใจ พระคัมภีร์ที่พวกเขาท่องขึ้นใจและเชื่อว่าเข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว นี่คือวิถีแห่งพระวาจาทรงชีวิต...ให้ความกระจ่าง แก้ความเข้าใจผิด เรียกร้อง... ศิษย์ทั้งสองตรวจสอบจิตใจด้วยพระคัมภีร์และเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ที่พวกเขาเองได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยนั้น พวกเขายังเข้าไม่ถึงอย่างแท้จริง เลยทำให้พวกเขาเขลาและเชื่องช้าที่จะเชื่อ พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาแต่พวกเขากลับไม่เห็นพระองค์
            พระวาจาของพระเยซูเจ้าทำให้จิตใจของศิษย์ทั้งสองเร่าร้อน พวกเขายังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของความรู้สึกดังกล่าว แต่ก็คล้อยไปตามความรู้สึกนั้น เมื่อถึงที่หมาย พวกเขาเชิญพระองค์ให้ค้างคืนด้วย จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ค่ำและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” (ลก 24,29)  พระเยซูเจ้าทรงตอบรับคำเชิญและเข้าไปในบ้านเพื่อพักอยู่กับพวกเขา นี่คือท่าทีของพระเจ้าทีทรงตอบรับคำเชื้อเชิญด้วยความเต็มใจ พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างมนุษย์  “ขณะประทับที่โต๊ะกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและยื่นให้พวกเขา พวกเขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของพวกเขา ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินมาตามทางและอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง’” (ลก 24,30-32)บางคนอาจจะคิดว่า เมื่อเข้าไปในบ้านและเริ่มทานอาหาร พระเยซูเจ้าคงจะเปลี่ยนโฉมหน้าของพระองค์ และทำให้ศิษย์จำพระองค์ได้    หากพระเยซูเจ้าทรงทำเช่นนั้น ศิษย์สองคนก็คงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเขลาและเชื่องช้าต่อไป เพราะพวกเขาเห็นพระองค์ทางประสาทสัมผัสเหมือนก่อน พวกเขาคงไม่ละเอียดและอ่อนไหวพอที่จะพบพระองค์ในรูปแบบอื่น หากพวกเขาจำพระองค์ได้เพราะเลือดเนื้อ พวกเขาก็ยังคงดำเนินชีวิตตามเลือดเนื้อต่อไป แปลกแยกไปจากสถานภาพแห่งพระอาณาจักรโดยสิ้นเชิง ท่าทีของพระเยซูเจ้าเมื่อทรงนั่งโต๊ะ ทรงอวยพรและแบ่งขนมปังอย่างทรงอำนาจ ทำให้ศิษย์ทั้งสองย้อนกลับไปในสิ่งที่พวกเขาเคยได้เห็น แต่ในขณะที่พวกเขาย้อนกลับไปสู่ความทรงจำที่ผ่านมา พระองค์ก็ทรงหายไปจากสายตา  ความทรงจำในท่าทีของพระเยซูเจ้าคือศีลศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปสู่ความจริงที่พระองค์ทรงเป็นและการประทับอยู่ของพระองค์ในจิตใจของพวกเขา ศิษย์ทั้งสองจำพระเยซูเจ้าในศีลศักดิ์สิทธิ์ ในท่าทีแห่งความรักที่แสดงออกมาในการแบ่งปัง  พวกเขาจำพระองค์ได้ในท่าทีแห่งการมอบพระองค์ผ่านทางปังที่ทรงอวยพร  ตอนแรก พระองค์ทรงทำให้พวกเขาเชื้อเชิญพระองค์เข้าพักในบ้าน เหมือนพี่น้อง แล้วนั้นทรงทำให้พวกเขาเกิดความเคารพในพระองค์ เชื่อว่าพวกเขากำลังอยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็กลายเป็นความไว้วางใจในพระองค์ประสบการณ์เดียวกันนี้ยังคงเกิดขึ้นกับเรา ในบริบทแห่งชีวิตประจำวันของเรา ท่าทีแห่งการเชื้อเชิญ การเป็นพี่เป็นน้อง ความเคารพต่อกัน การสำนึกถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าในแต่ละคนที่เราพบปะ ทรงนำเราไปสู่การเห็นและการพบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ  นั่นคือการประทับอยู่ของพระเจ้า  พระองค์ทรงทำให้การที่เราเห็น(เพื่อนพี่น้อง)แต่จำพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนเป็นการจำพระองค์(ในเพื่อนพี่น้อง)ได้ ทั้งๆ ที่ไม่เห็นพระองค์ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราจำพระองค์ได้ก็แต่ในความรัก พระองค์ตรัสกับดวงใจเรา  ใครที่รู้จักฟังด้วยความรักก็จะได้ยินเสียงของพระองค์กระนั้นก็ดี หลายคนก็ยังอยากจะให้พระองค์แสดงองค์ในรูปแบบที่ตนต้องการ แถมยังเรียกร้องและท้าทายเหมือนที่หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น จงลงมาจากไม้กางเขนบัดนี้ซิ เราจะได้เห็นและเชื่อ (มก.15,32)...ลงมาสิ อย่าอยู่เฉยๆ อย่างนั้น ลงมาอย่างสง่างาม ลงมาด้วยฤทธิ์อำนาจ...ทุกคนจะได้เชื่อ
            บ่อยครั้ง คำภาวนาของเราก็มีทีท่านี้แอบแฝงอยู่ ไม่มากก็น้อย อยากจะให้พระเจ้าโปรดให้ตามที่ต้องการแล้วจึงจะเชื่อ...โปรดให้สามีเปลี่ยนแปลงตนเอง ให้ภรรยา ให้ลูก ให้เพื่อน ให้พ่อแม่ปรับปรุงตัว ขอให้เปลี่ยนงานได้ ขอให้เปลี่ยนสภาพแวดล้อม คนรอบข้างเป็นอย่างที่เราต้องการ แล้วลูกจะเชื่อไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าเลย แต่เป็นความพอใจของตนเองและความเห็นแก่ตัว

คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2017

สวัสดีครับพี่น้อง
                วันนี้เราฉลองวันอาทิตย์พระเมตตา พระเยซูประจักษ์มากับซิสเตอร์โฟสตินา และกล่าวกับซิสเตอร์ว่า เราปรารถนาให้วันฉลองพระเมตตา เป็นที่พึ่งที่กำบังของเหล่าดวงวิญญาณ ของคนบาปทั้งหลาย วันฉลองนี้เป็นวันที่ความเมตตา อ่อนโยนของเรา จะเผยแสดงออกมา เราจะโปรดให้มหาสมุทรแห่งพระพรหลั่งไหลมายังดวงวิญญาณผู้เข้ามาพึ่งพาความเมตตาของเรา วิญญาณที่ไปพึ่งพาศีลอภัยบาป และรับศีลมหาสนิท จะได้รับการอภัยและช่วยให้พ้นมลทินบาปอย่างบริบูรณ์ วันฉลองนี้ ความเมตตาของเราจะเอ่อล้น มาสู่ท่านทั้งหลาย" (Diary, 699)
                วันวันนี้จึงเป็นวันที่เราเฉลิมฉลอง ความหมายอันลึกล้ำ ของความเมตตาที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรามนุษย์ วันวันนี้เป็นวันที่ นักบุญโทมัสร้องออกมาว่า "พระเจ้าข้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า" (ยน. 20:28)
                วันนี้คือวันที่พระเจ้าทรงสรรสร้าง ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม วันนี้คือวันคืนดีกับพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ พระโลหิตของพระเยซูได้รับการประพรมบนพระที่นั่งแห่งความเมตตา พระเยซูคือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ได้ทรงชดเชยบาปของเราแต่ละคน เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์
                วันนี้คือวันแห่งพันธสัญญา แปดวันหลังจากวันกลับคืนชีพของพระองค์ เราฉลองพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับประชากรของพระองค์ ว่าพระองค์จะมีความรักความเมตตากับประชากรของพระองค์
                วันนี้คือวันที่เราเฉลิมฉลองพระเมตตาของพระเจ้า     พระเมตตาของพระองค์นั้นมากมายมหาศาล มากมายเกินกว่าบาปใดๆรวมกัน ยิ่งใหญ่กว่าความทุกข์ยาก ความชั่วร้ายใดๆ รวมไปถึงความตาย เรามีชัยชนะโดยอาศัยพระเมตตาของพระองค์ เราจึงได้รับความรอดพ้น และ ชีวิตนิรันดร
                วันนี้เป็นวันแห่งพระเมตตา วันที่เราจะหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และ ชุบตัวเราลงในมหาสมุทรไพศาลแห่งพระเมตตาของพระองค์ วันวันนี้เป็นวันที่เราจะนำพาสมาชิก และ เพื่อนพ้องของเราไปยังมหาสมุทรแห่งพระเมตตา ด้วยการภาวนาอุทิศให้กับพวกเขา วันวันนี้เป็นวันที่เราจะบอกกับพระเยซูว่า เรารักพระองค์ เรามอบชีวิตของเราไว้กับพระองค์ และ กล่าวกับพระองค์ว่า เราวางใจในพระองค์ วันวันนี้ และ ทุกๆวันจากนี้ไป เราจะร้องหาพระองค์บอกกับพระองค์ว่า "พระเยซู ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์"
                ปี 1931 องค์พระผู้เป็นเจ้า ประทานนิมิตให้กับ นักบุญโฟสตินา ด้วยลำแสงสองลำแสง ที่พวยพุ่งออกมาจากหัวใจของพระองค์ ลำแสงหนึ่งมีสีแดง และ อีกลำแสงหนึ่งสีขาว ขณะที่ซิสเตอร์เพ่งพิศมองดูพระองค์ พระองค์กล่าวกับเธอว่า "จงวาดภาพนี้ ตามอย่างที่เธอเห็น และ เขียนที่ใต้ภาพว่า "พระเยซู ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์" เราสัญญาว่า บุคคลใดที่มีความศรัทธาต่อภาพนี้จะไม่มีวันสูญสลายไป เราสัญญาว่า เขาจะมีชัยชนะต่อศัตรูทั้งในโลกนี้และในเวลาสิ้นใจ เราเองจะปกป้องเขาเยี่ยงสิริมงคลของเรา เราอยากให้ทุกคนทั่วโลกมีความศรัทธาต่อภาพนี้ ซึ่งเราจะประทานพระพรให้กับดวงวิญญาณ  ลำแสงสองลำแสง คือตัวแทนของ เลือดและน้ำ ลำแสงสีขาวคือน้ำที่ชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์ ลำแสงสีแดง คือเลือด ที่ให้ชีวิตกับดวงวิญญาณ ลำแสงทั้งสองลำนี้ พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกแห่งความเมตตาอ่อนหวาน เมื่อดวงใจของเราที่ทุกข์ระทมถูกเปิดออกโดยหอกบนไม้กางเขน ลำแสงนี้คือเกราะป้องกันดวงวิญญาณจากพระพิโรธแห่งความยุติธรรมของพระเจ้า บุคคลใดที่ดำรงอยู่ในความคุ้มครองนี้จะมีความสุข
พ่อสุพจน์
.......................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            ในวันที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงปรากฏแก่เหล่าสาวกและให้พวกเขาดูพระหัตถ์และพระบาทในตอนแรก พวกเขาไม่เชื่อ เพราะเรื่องนี้มันเป็นมหัศจรรย์เกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ (ลก.24:40-41) ตอนนั้นโธมัสไม่ได้อยู่ด้วย เขาจึงไม่ยอมเชื่อจนกว่าจะได้เห็น เมื่อพระเยซูปรากฏแก่โธมัสและบอกให้เขาเอานิ้วแหย่เข้าไปในรอยตะปูที่พระหัตถ์และคลำที่สีข้างพระองค์ โธมัสก็ร้องออกมาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์” (ยน.20:28)
            ต่อมาภายหลัง เมื่อเปาโลบอกกับชาวฟีลิปปีถึงการทนทุกข์ของท่าน ท่านยังได้ประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นพยานว่า ท่านถือว่าประสบการณ์ทั้งสิ้นของท่านนั้นไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” (ฟป. 3:8)
คุณและผมไม่เคยเห็นพระเยซูทรงห้ามพายุหรือชุบใครให้ฟื้นจากตาย เราไม่เคยนั่งอยู่แทบพระบาทที่เชิงเขาในแคว้นกาลิลี และฟังพระองค์สอน แต่โดยความเชื่อ เราได้รับการเยียวยาฝ่ายวิญญาณด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์แทนเรา เราจึงร่วมกับโธมัสและเปาโลและคนอีกนับไม่ถ้วน ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแม้เราจะไม่อาจมองเห็นพระองค์ได้ด้วยตา แต่เราเชื่อได้ด้วยใจว่า พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าโธมัสทูลพระองค์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์” (ยอห์น20:28)
            พระเยซูตรัสว่า เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” (ยน. 20:29) เมื่อเราเชื่อ เราเองก็เรียกพระเยซูว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์ ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย (ยอห์น20:25) เราเรียกท่านว่าโธมัสคนขี้สงสัย (ยน.20:24-29) แต่ชื่อนี้ไม่ยุติธรรมกับท่านนัก เพราะจะมีสักกี่คนที่เชื่อว่าผู้นำของตนที่ถูกประหารไปแล้วจะฟื้นจากความตาย หรือเราอาจเรียกว่า โธมัสคนกล้าเพราะท่านแสดงความกล้าอันน่าประทับใจขณะที่พระเยซูทรงดำเนินผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่นำไปสู่ความตาย
            หลังการตายของลาซารัส พระเยซูตรัสว่า เราเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีกเถิด” (ยน.11:7) ทำให้สาวกคัดค้านว่า พระอาจารย์เจ้าข้า เมื่อเร็วๆ นี้ พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ” (ยน.11:8) โธมัสผู้นี้เองที่กล่าวว่า พวกเราไปกับพระองค์ด้วยเถิด เพื่อจะได้ตายด้วยกันกับพระองค์” (ยน.11:16)
            โธมัสมีเจตนาดีแต่ไม่ทำจริง เมื่อพระเยซูทรงถูกจับ โธมัสหนีไปกับคนอื่น (มธ.26:56) ทิ้งเปโตรกับยอห์นให้ตามพระเยซูไปถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต มีเพียงยอห์นเท่านั้นที่ติดตามพระเยซูไปจนถึงกางเขนแม้จะได้เห็นลาซารัสฟื้นจากตาย (ยน.11:38-44) แต่โธมัสก็ยังไม่เชื่อว่าพระคริสต์ทรงชนะความตาย แต่เมื่อท่านได้เห็นพระเยซูผู้คืนพระชนม์ จึงร้องว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” (ยน.20:28) พระเยซูตอบว่า เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” (ยน.20:29) ผู้สงสัยจึงมั่นใจและเราก็อุ่นใจยิ่งมีความสงสัยที่แท้จริงย่อมแสวงหาความสว่าง แต่ความไม่เชื่อย่อมพอใจอยู่ในความมืด จงมีความเชื่อเถิด

คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2017

พี่น้องที่รัก
                สุขสันต์วันปัสกาครับ
                Happy Easter
                พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพแล้ว จงชื่นชมยินดีเถิด
                The Lord is risen.
                อัลเลลูยา อัลเลลูยา อัลเลลูยา

                วันวันนี้เป็นวันฉลองสมโภชที่สำคัญที่สุดในแก่นแท้ของความเชื่อของเราคริสตชน ความเชื่อที่ว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย ความเชื่อในความจริงประการนี้นำความหวังที่ยิ่งใหญ่มาสู่เรามนุษย์ทุกคน เพราะความเชื่อนี้เติมเต็มความปรารถนาของเรา ทำให้เรามนุษย์ที่กระหายถึงการดำรงชีวิตที่ไม่มีสิ้นสุดบรรลุถึงความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ โดยอาศัยพระพลานุภาพยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูกลับคืนชีพนี้แหละ พระองค์จะทรงบันดาลชีวิตใหม่ให้กับเรามนุษย์ได้ ในยามที่เราต้องจบชีวิตจากสังขารที่เสื่อมสลายได้ของเรานี้เอง
                พ่อมั่นใจว่าความเชื่อในธรรมล้ำลึกประการนี้เป็นแรงบันดาลใจให้คนทุกยุคทุกสมัย ยึดมั่นในคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และดำเนินชีวิตอยู่ในพระธรรมที่พระองค์ประทานให้ โดยผ่านทางคำสอนของพระเยซูเจ้าพระบุตรแต่เพียงพระองค์เดียวของพระองค์ ที่ได้ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางเรา เพื่อประทานแนวทางการดำเนินชีวิต ที่จะนำพาเรามนุษย์ไปสู่ชีวิตนิรันดรได้สำเร็จ
                ขอให้การสมโภชปัสกาอีกครั้งในปีนี้ได้ย้ำเตือนถึงความเชื่อประการนี้ และ บันดาลความชื่นชมยินดีในจิตใจของเราอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง
                ขอพระเยซูผู้กลับคืนพระชนม์ชีพประทานสันติสุขให้กับพี่น้องทุกท่านเทอญ อัลเลลูยา อัลเลลูยา อัลเลลูยา

พ่อสุพจน์
................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้อง
            วันสมโภชปัสกาเป็นวันฉลองแห่งชีวิต พระคริสตเจ้าได้ทรงกลับคืนชีพจริงแท้ อัลเลลูยาอัลเลลูยา หมายถึง  จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด หรือขอพระเจ้าจงทรงพระเจริญ  เป็นถ้อยคำที่มีอยู่ในบทภาวนาและบทเพลงของเทศกาลนี้ คำ อัลเลลูยานี้แทนความยินดีของคริสตชน การสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะ และเรามีส่วนในชัยชนะของพระเยซูเจ้าเหนือการทรมานและความตาย ด้วยการรู้ว่าชีวิตนิรันดรกับพระคริสตเจ้าจะเป็นของเรา  ข้าพเจ้ารอวันที่ผู้ตามจะคืนชีพและคอยชีวิตในภพหน้า” (บทข้าพเจ้าเชื่อฯ)
            ความทุกข์ทรมานของพระผู้ไถ่ เป็นความรอดพ้นของมนุษยชาติ  เหตุที่พระองค์ทรงปรารถนาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ก็เพราะทรงมีพระประสงค์ให้เราผู้เชื่อในพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ และเมื่อถึงกำหนดเวลา พระองค์ได้ทรงพอพระทัย  กลับเป็นทุกอย่างเหมือนกับเรามนุษย์ ยกเว้นบาป เพื่อให้เราสามารถรับนิรันดรภาพ เป็นมรดกตาม พระสัญญาและเจริญชีวิตกับพระองค์ตลอดไปนี่แหละเป็นพระหรรษทานที่เราได้รับจากธรรมล้ำลึกแห่งสวรรค์เป็นพระคุณที่เราได้รับในโอกาสสมโภชปัสกา วันสมโภชที่น่าปรารถนาที่สุดประจำปี  นี่คือการเริ่มต้นของคนที่กำลังเกิดใหม่ด้วยน้ำแห่งศีลล้างบาป เป็นน้ำที่ให้ชีวิต   เป็นน้ำจากบ่อน้ำของพระศาสนจักร เกิดใหม่อย่างทารกไร้เดียงสา เสียงร้องของทารก  นั้นก็บ่งชัดถึงมโนธรรมที่สะอาด บิดาผู้บริสุทธิ์ มารดาผู้สงบเสงี่ยม   ปกครองครอบครัวใหม่ซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วน เกิดมีชีวิตใหม่ด้วยความเชื่อ เมื่อเด็กเหล่านี้ ออกจากบ่อเกิดพระหรรษทาน แสงเทียนลุกสว่างไสว ใกล้ต้นไม้แห่งความเชื่อ การสมโภชปัสกานำพระหรรษทานและความศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์มาสู่มนุษย์   โดยการฉลองธรรมล้ำลึกปัสกานี้เนืองๆ เขาก็จะได้รับทิพยาหารจากศีลศักดิ์สิทธิ์  และได้รับการเลี้ยงดูจาก    ทรวงอกของพระศาสนจักร เป็นสมาชิกของหมู่ คณะและจะนมัสการพระเจ้าหนึ่งเดียว ในพระตรีเอกภาพ  ขับร้องเพลงสดุดีที่ เหมาะกับเทศกาลนี้ พร้อมกับประกาศว่า  นี่เป็นวันที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้นให้ เราชื่นชมยินดีกันเถิดวันนี้เป็นอะไรเป็นวันที่พระเยซูคริสตเจ้าเอง เป็นพระวจนาถผู้เนรมิตความสว่าง พระองค์ได้ตรัสถึงพระองค์เองว่า เราเป็นแสงสว่างของกลางวัน   ผู้ใดเดินในแสงสว่างของกลางวันนี้จะไม่สะดุด”   พระวาจานี้หมายความว่า  ผู้ใดติดตามพระคริสตเจ้าในทุกสิ่ง   จะเดินตามทางของพระองค์จนบรรลุถึงพระ บัลลังก์แห่งความสว่างนิรันดร์มนุษย์ต้องการรู้ว่า ชีวิตการเป็นอยู่หลังความตามเป็นอย่างไร”  “ผู้ตายกลับคืนชีพได้อย่างไรและ พวกเขาจะมีร่างกายแบบไหนใน(1คร.15: 35)     นักบุญเปาโล กล่าวว่า คำถามเหล่านี้ไร้สาระและเสริมว่า เมล็ดที่ท่านหว่านจะไม่งอก ขึ้นจนกว่ามันจะเน่าเปื่อย เมื่อท่านหว่าน ท่านไม่ได้หว่านต้นไม้ที่เจริญเติบโตเต็มที่ แต่เป็นเพียงเมล็ดข้าวสาลีหรือเมล็ด พืชอื่น พระเจ้าประทานร่างแก่เมล็ดพืชอย่างที่ทรงพอพระทัยและประทานผลแก่แต่ละเมล็ด”(1 คร 15: 36-38)
          ข้าแต่พระเจ้า วันนี้พระองค์โปรดให้พระบุตรชนะความตาย เปิดประตูสวรรค์ให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเสียใหม่ ขอโปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายที่สมโภชพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ ได้รับการฟื้นฟูเปลี่ยนแปลงโดยพระจิตเจ้าและกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ด้วยเถิด


คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2017

พี่น้องที่รัก
                สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์มาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว พิธีกรรมในระหว่างสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์นี้เชิญชวนคริสตศาสนิกชนทุกคนให้หันมาจับจ้องอยู่ที่พระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ และ การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นพระธรรมล้ำลึกประการสำคัญที่สุดประการหนึ่งในความเชื่อของเราคริสตชน
                วันอาทิตย์ใบลาน เป็นวันที่เราระลึกถึงการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างเปิดเผยของพระเยซูเจ้า พระเยซูประทับบนหลังลาเดินทางผ่านเข้าสู่เมืองหลวงท่ามกลางความยินดีของประชาชนที่โบกกิ่งไม้ต้อนรับพระองค์เยี่ยงวีรบุรุษของชาติที่กลับจากการศึกสงคราม พลางกล่าวร้องต้อนรับพระองค์ด้วยคำว่า โฮซานนา พวกเขาหวังว่าพระองค์จะมานำการปลดแอกจากการกดขี่ของชาวโรมันที่ปกครองพวกเขาอยู่ในเวลานั้น แต่พระเยซูแสดงให้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่า พระองค์มาอย่างสันติ สัญลักษณ์ที่เด่นชัดก็คือพระองค์มาบนหลังลา ไม่ใช่ม้าหรือสัตว์อื่นที่ใช้ในการศึกสงคราม พระองค์ต้องการมานำพาปวงชนไปสู่ความเป็นอิสระจากการกดขี่ ครอบงำของบาปซึ่งเป็นผลมาจากความมุ่งร้ายของปีศาจที่มีต่อเรามนุษย์
                วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ เป็นวันที่เราระลึกถึงการทานอาหารค่ำครั้งสุดท้ายของพระเยซูกับบรรดาศิษย์ พิธีกรรมในวันนี้เชิญชวนเราให้ระลึกถึงการตั้งศีลมหาสนิทให้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณของเรา ในพิธีวันนี้ยังมีการล้างเท้าตัวแทนของพี่น้องคริสตชนจำนวน 12 คน ที่ได้รับการเชิญให้มาสวมบทบาทของอัครสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู เพื่อให้พระสงฆ์ทำพิธีล้างเท้าให้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการรับใช้ที่พระเยซูได้ปฏิบัติต่อศิษย์ของพระองค์ หลังจากพิธีบูชาขอบพระคุณสิ้นสุด ก็จะมีการตั้งศีลมหาสนิทเพื่อให้คริสตชนอยู่ร่วมภาวนาต่อหน้าศีลมหาสนิท ตามคำเชิญของพระเยซูที่ร้องขอให้ศิษย์ผู้ใกล้ชิดกับพระองค์ได้อยู่เป็นเพื่อนพระองค์ในยามที่พระองค์เข้าไปภาวนาในสวนเกทเสมนี
                วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวันที่เราระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูถูกจับ ถูกพิพากษารับทนทรมาน แบกกางเขน และ ตรึงตายบนไม้กางเขน และถูกนำไปฝังไว้ในพระคูหา พระองค์สิ้นพระชนม์เป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้าเพื่อชดเชยชำระบาปของมวลมนุษย์ทั้งมวล พิธีกรรมในวันนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่การนมัสการไม้กางเขน พี่น้องคริสตชนจะมีโอกาสเข้ามากราบนมัสการกางเขนที่ได้ตรึงพระเยซู กางเขนที่เป็นเครื่องมือในการประหัตประหาร ได้กลับมาเป็นสัญลักษณ์ของการช่วยให้รอดพ้นจากบาปโทษทั้งมวล
                วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวันที่เราระลึกถึงการเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าจากความตาย พระบิดาเจ้าได้บันดาลให้พระเยซูกลับฟื้นคืนชีพจากความตาย เราจึงเฉลิมฉลองความจริงประการนี้อย่างยิ่งใหญ่ เพราะพระเยซูทรงชนะความตาย ชนะบาป นำความหวังยิ่งใหญ่มาสู่เรามนุษย์ทุกคน พิธีกรรมในวันนี้ประกอบด้วย พิธีแสงสว่าง และ การจุดเทียนปัสกา พิธีเสกน้ำ และ พิธีโปรดศีลล้างบาปผู้สมัครเป็นคริสตชนที่ผ่านขั้นตอนการเรียนคำสอนมาอย่างดีแล้ว พิธีบูชาขอบพระคุณในวันนี้จึงเป็นพิธีที่เน้นความสง่างาม ด้วยการขับร้องเพลง การย่ำระฆัง การประดับประดาตกแต่ง เพื่อเฉลิมฉลองธรรมล้ำลึกแห่งการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าอย่างยิ่งใหญ่
                วันอาทิตย์ปัสกาคือวันสมโภชการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลปัสกาซึ่งมีระยะเวลายาวนาน 50 วันซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันสมโภชพระจิตเจ้า เพื่อเฉลิมฉลองการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า เทศกาลนี้จึงเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของความเชื่อของเราคริสตชน
                พ่อเชิญชวนพี่น้องทุกท่านให้ร่วมใจไปกับพิธีกรรมในช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างตั้งใจ เปิดใจของเรารับฟังพระวาจาของพระเจ้าที่เชิญชวนเราให้ก้าวไปบนเส้นทางแห่งการไถ่บาปของพระเยซู อยู่เคียงข้างพระองค์ในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระองค์ เพื่อเราจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความรักยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าพระบิดาประทานให้กับเรามนุษย์ทุกคน เพื่อเราจะเข้าถึงธรรมล้ำลึกแห่งการไถ่กู้ที่ดำเนินต่อเนื่องมาและจะดำเนินต่อไปเพราะความรักของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด
พ่อสุพจน์
........................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้อง
            วันอาทิตย์ใบลาน(คาทอลิก) หรือ วันอาทิตย์ทางตาล(โปรเตสแตนต์)หรือ วันอาทิตย์ใบปาล์ม (อังกฤษ: Palm Sunday) เป็นวันสมโภชสำคัญวันหนึ่งในศาสนาคริสต์ตรงกับวันอาทิตย์ก่อนปัสกา เป็นวันฉลองเหตุการณ์ที่ระบุบันทึกในพระวรสารทั้งสี่ฉบับ (มาระโก 11:1 -11 , มัทธิว21:1 -11,
ลูกา 19:28 , ยอห์น12:12 -19 ) ในโอกาสที่พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเลมก่อนรับพระมหาทรมาน โบสถ์คาทอลิกจะแจกใบลานที่ผูกกับกางเขนในโอกาสนี้แต่ในบางท้องถิ่นที่ไม่มีใบปาล์มก็จะแจกใบไม้อย่างอื่นที่มีในท้องถิ่น ถ้าเช่นนั้นก็จะเรียกตามใบไม้ที่แจกเช่น วันอาทิตย์ช่อไม้" สำหรับที่ที่แจกช่อไม้เป็นต้น หรือเรียกอย่างกว้างๆ ว่า วันอาทิตย์กิ่งไม้” (Branch Sunday)
     เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่านั้น พระองค์ทรงแวะไปที่หมู่บ้านเบธานีและเบทฟายีบนภูเขามะกอกเทศ และพระวรสารของนักบุญยอห์น ยังได้กล่าวเสริมอีกว่าพระองค์ได้ทรงร่วมรับประทานอาหารกับลาซารัส พร้อมกับมารธาและมารีย์น้องสาวด้วย ในขณะที่พระวรสารสหทรรศน์(3 ฉบับแรก)ได้เล่าว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงส่งสาวกของพระองค์สองท่าน โดยมิได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร ให้ไปจัดหาลูกลาซึ่งยังไม่มีผู้ใดขึ้นไปขี่ มาให้พระองค์ตัวหนึ่ง และถ้าหากมีใครถามว่าจะเอาลูกลาไปทำไม ก็ให้บอกว่าเจ้านาย(พระเยซูเจ้า)ต้องการใช้ แต่จะส่งกลับคืนให้ทันทีหลังจากที่ใช้มันเสร็จแล้ว พอได้ลูกลามา พวกสาวกก็เอาเสื้อคลุมของตนมาปูบนหลังลูกลา แล้วนั้นพระเยซูเจ้าก็เสด็จทรงลูกลาตัวนั้นเข้ากรุงเยรูซาเล็ม พระวรสารได้เล่าต่อไปว่าพระองค์ได้ทรงลูกลาเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างไร ประชาชนจำนวนมากได้ปูเสื้อคลุมของตนบนทางเดิน บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาวางบนทางเดิน ประชาชนทั้งที่เดินไปข้างหน้าและที่ตามมาข้างหลัง ต่างโห่ร้องว่า โฮซานนา แด่โอรสของกษัตริย์ดาวิด ขอถวายพระพรแด่ผู้มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า โฮซานนา ณ สวรรค์สูงสุด” (สดด.118: 25-26) ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าพระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มทางประตูไหน นักพระคัมภีร์หลายๆท่านบอกว่าน่าจะเป็นทาง ประตูทอง” (Golden Gate) เพราะชาวยิวส่วนหนึ่งเชื่อว่าพระแมสสิยาห์จะต้องเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มผ่านทางประตูนี้
          เป็นธรรมเนียมที่มักจะปฏิบัติกันในประเทศตะวันออกกลางโบราณ ที่จะปูคลุมทางเดินสำหรับผู้ที่ประชาชนคิดว่าเหมาะสมที่จะได้รับเกียรติสูงสุดนั้น ให้เดินผ่านบนทางเดินที่ว่านี้ เช่นในหนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับที่ ๒ (9: 13) ได้เล่าว่าเจ้าชายเยฮู โอรสของกษัตริย์เยโฮซาฟัท ก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เหมือนกัน พระวรสารสหทรรศน์และพระวรสารของนักบุญยอห์น ก็ได้เล่าว่าประชาชนชาวยิวได้ให้เกียรติพระเยซูเจ้าแบบนี้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม พระวรสารสหทรรศน์ได้เล่าเรื่องเฉพาะที่พวกชาวยิวเอาเสื้อผ้าและเสื่อมาปูบนถนนให้พระเยซูเจ้าทรงเดิน ในขณะที่นักบุญยอห์นได้พูดถึงเป็นการเจาะจงว่าพวกเขาได้ใช้ใบปาล์มโบกไปมาโห่ร้องถวายเกียรติแด่พระองค์
ในธรรมประเพณีของชนชาวยิว กิ่งใบปาล์มเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และเพราะเหตุนี้ ภาพที่ฝูงชนกำลังต้อนรับพระเยซูเจ้าพลางโบกกิ่งปาล์มไปมาและเอาเสื้อผ้าของตนมาปูเป็นทางเดินให้กับพระองค์สำหรับเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มนั้น ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของพระองค์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระแมสสิยาห์อย่างแท้จริง
          “เราจงปูที่แทบพระบาทขององค์พระเยซูเจ้า ไม่ใช่ด้วยเสื้อผ้าหรือกิ่งไม้ที่มีชีวิตน่าดูอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง แล้วก็ต้องเหี่ยวแห้งไป แต่ให้เราเอาตัวของเราเองที่สวมใส่พระหรรษทานหรือที่ดีกว่านั้นคือให้สวมใส่พระคริสต์ทั้งหมด เราที่ได้รับศีลล้างบาปในพระคริสตเจ้าแล้ว ต้องใช้ตัวเองเป็นเสื้อผ้าปูที่แทบพระบาทของพระองค์ บัดนี้ความสกปรกของบาปได้รับการชำระล้างแล้ว ด้วยน้ำที่นำความรอดพ้นแห่งศีลล้างบาป และเราได้กลับขาวสะอาดเหมือนขนแกะ ฉะนั้นเราจะนำอะไรมาถวายแด่พระองค์ผู้ทรงพิชิตความตายแค่ใบลานเท่านั้นหรือ? จงถวายสิ่งที่เหมาะสมอย่างแท้จริงกับชัยชนะของพระองค์ คือนำจิตวิญญาณของเราไปต้อนรับแทนกิ่งไม้ ให้เราร่วมร้องเพลงกับเด็กที่ออกมาต้อนรับพระองค์ พลางร้องว่า ขอถวายพระพรแด่ผู้มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า สาธุการแด่กษัตริย์ของอิสราเอล


คพ.พงษ์เกษม

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2017

พี่น้องที่รัก
            ตามธรรมประเพณีของพระศาสนจักร วันฉลองสมโภชท่านนักบุญยอแซฟ คือวันที่ 19 ของเดือนมีนาคม ซึ่งปีนี้วันสมโภชของท่านก็พึ่งผ่านพ้นไปเมื่อสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา หลายครั้งเราภาวนาวอนขอพระเจ้าผ่านทางนักบุญต่าง ๆ สิ่งที่จะนำมาเสนอพี่น้องในวันนี้ก็คือ ขอพี่น้องอย่าลืมที่จะภาวนาวอนขอผ่านทางท่านนักบุญยอแซฟด้วย เพราะนักบุญยอแซฟเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์แห่งความรอด ท่านเป็นภัสดาของพระนางมารีย์ เป็นผู้เลี้ยงดูพระเยซูเจ้าด้วยตัวเอง ท่านยังมีบทบาทเป็นผู้คอยปกป้องครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ให้พ้นจากภัยอันตราย ดังนั้นถือได้ว่านักบุญยอแซฟเป็นนักบุญที่มีความสำคัญไม่น้อย พ่อจึงเชิญชวนให้พี่น้องสวดบทภาวนาต่อไปนี้
            บทวิงวอนนักบุญยอแซฟ
            โปรดระลึกเถิด ข้าแต่นักบุญยอแซฟ ภัสดาผู้บริสุทธิ์ยิ่งของพระนางมารีย์และผู้ปกป้องที่รักของลูก แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินเลยว่าผู้ที่มาขอพึ่งท่านวอนขอความช่วยเหลือจากท่าน ถูกท่านทอดทิ้ง โดยไม่ได้รับการปลอบใจ ด้วยความไว้วางใจดังนี้ ลูกจึงมาขอพึ่งท่านด้วยใจร้อนรน ลูกขอมอบตัวเองไว้กับท่าน
            โอ้ บิดาเลี้ยงของพระผู้ไถ่ โปรดอย่าปฏิเสธคำภาวนาของลูก แต่โปรดรับและตอบสนองคำภาวนาของลูกด้วยใจกรุณาปรานีด้วยเทอญ อาแมน
            นอกจากนี้ยังมีบทภาวนาอ้อนวอนนักบุญยอแซฟอีกบทหนึ่งดังต่อไปนี้
            ข้าแต่นักบุญยอแซฟผู้มีบุญ เราหนีร้อนมาพึ่งเย็น หลังแต่ได้ขอความคุ้มครองจากวิสุทธิภริยาของท่านแล้ว เราวางใจกันมาพึ่งท่านด้วย เดชะความรักสนิทสนมของท่าน ต่อพรหมจารีผู้นิรมลมารดาของพระเจ้า เดชะความรักเสน่หาฐานบิดาของท่านต่อพระเยซูกุมาร โปรดทอดสายตาเหลียวดูกองมรดก ที่พระเยซูเจ้าทรงหามาได้ด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอท่านโปรดใช้ฤทธิ์ค้ำจุน และปกป้องเราทุกคราวที่ต้องการด้วยเถิด
            โอ้องค์อภิบาลพระวิสุทธิวงศ์ผู้ปรีชารอบคอบ โปรดป้องกันเราผู้มีเกียรติเป็นน้องของพระเยซูคริสตเจ้า โอ้บิดาผู้รักลูก โปรดให้เราแคล้วคลาดจากเชื้อโรคความลุ่มหลง และความประพฤติเหลวไหล โอ้ผู้แกล้วกล้าในการกอบกู้ โปรดแผลงฤทธิ์จากสวรรค์ คอยโอบอุ้มเราในการต่อสู้กับอำนาจความมืดมนบนแผ่นดินนี้ ครั้งก่อนท่านได้ฉุดพระเยซูกุมารออกจากอันตรายอันอาจถึงแก่ชีวิต ก็ในบัดนี้ขอท่านช่วยพระศาสนจักรให้พ้นจากกลอุบายปัจจามิตร และปัดเป่าอันตรายทั้งปวงด้วยเถิด โปรดปกปักรักษาเราแต่ละคนเสมอไป อาศัยอุปการะคุณของท่าน เราจะได้ประพฤติตามแบบอย่างท่าน และจะได้เจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ สิ้นชีพในความศรัทธาภักดี สมจะรับความบรมสุขนิรันดรในสวรรค์ด้วยเถิด อาแมน
            ข้าแต่นักบุญยอแซฟ โปรดช่วยวิงวอนเทอญ
            ยังมีบทภาวนาวอนขอนักบุญยอแซฟอีกหลายบททีเดียว คงไม่สามารถนำมากล่าวอ้างในที่แห่งนี้ได้หมด สิ่งที่พ่ออยากรื้อฟื้นเป็นพิเศษก็คือ ความศรัทธาต่อท่านนักบุญยอแซฟ เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเลือนหายไปในพระศาสนจักร ดังนั้นถ้าเราคริสตชนหันกลับมาพิจารณาเห็นความสำคัญของท่านนักบุญยอแซฟ ก็จะพบว่าการภาวนาวอนขอต่อท่านนักบุญยอแซฟเป็นเรื่องที่เราควรหันมาพึ่งท่านเสมอ ๆ ด้วยเช่นกัน
พ่อสุพจน์
........................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้อง
            อะไรคือบาปที่นำไปสู่ความตายกิจการ 5:1–10 “แต่มีชายคนหนึ่ง ชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตน และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้า เต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้าเมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงทราบเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป ฝ่ายเปโตรถามนางว่า เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือจงบอกเราเถิดหญิงนั้นจึงตอบว่า ได้เท่านั้นเจ้าค่ะเปโตรจึงถามนางว่า ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วยในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง”1โครินธ์11:28-32 “ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยมิได้เล็งเห็นพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาโทษ ด้วยเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนกำลังและป่วยไข้ และบ้างก็ล่วงหลับไป แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเราเอง เราคงไม่ต้องถูกทำโทษ เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อมิให้เราถูกทรงพิพากษาลงโทษด้วยกันกับโลก บาปที่นำไปสู่ความตายคือบาปที่เจตนากระทำต่อเนื่องและไม่ยอมกลับใจสารภาพ พระเจ้าทรงประสงค์ให้บุตรของพระองค์บริสุทธิ์จุดที่พระเจ้าไม่ทรงยอมให้ผู้เชื่อยังคงกระทำบาปอีกต่อไป เมื่อมาถึงจุดนั้น พระเจ้าอาจทรงเลือกที่จะเอาชีวิตของผู้เชื่อที่ดื้อดึงกระทำความบาปอีก ความตาย นี้เป็นความตายฝ่ายร่างกาย บ่อยครั้งพระเจ้าทรงชำระพระศาสนจักรของพระองค์ให้บริสุทธิ์โดยการพาเอาเหล่าคนที่จงใจไม่เชื่อฟังพระองค์ออกไปเสีย1โครินธ์5:5 “พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขารอด ในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะตัดสายสัมพันธ์ชีวิตของผู้เชื่อเนื่องจากความบาปที่ไม่สารภาพผิด การอธิษฐานเผื่อบุคคลที่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้จะไม่ได้ผล พระเจ้าทรงดีและยุติธรรม และในที่สุดพระองค์จะทำให้เราเป็น พระศาสนจักรที่มีสง่าราศี ปราศจากตำหนิริ้วรอยหรือมลทินใด ๆ เลย แต่บริสุทธิ์และปราศจากตำหนิ พระเจ้าทรงเฆี่ยนตีบุตรของพระองค์เพื่อต่อไปถึงที่สุดนั้น พระเจ้าจะได้ทรงสงวนรักษาเราไว้ให้พ้นจากการเป็นคนใจแข็งกระด้าง ที่จะเป็นเหตุนำเราให้กระทำ บาปที่นำไปสู่ความตาย คือการมีชีวิตพระในตัวเราและตลอดไปในชีวิตแห่งการบังเกิดใหม่

คพ.พงษ์เกษม

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม 2017

พี่น้องที่รัก
                พ่อได้อ่านบทความเรื่อง Five great achievements Pope Francis first four years เขียนโดยคุณพ่อ โทมัส รีส ท่านเป็นนักวิเคราะห์อาวุโส และรู้เรื่องราวอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่ดำเนินไปในวาติกัน พ่อขอนำมาถอดความถ่ายทอดให้พี่น้องได้อ่านกันในโอกาสครบรอบ 4 ปีแห่งการดำรงตำแหน่งผู้นำพระศาสนจักรของพระสันตะปาปาฟรังซิส
                พระสันตะปาปาฟรังซิส ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพระศาสนจักรคาทอลิกได้ 4 ปีแล้ว เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพระองค์ท่านจะไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนด้านคำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องสำคัญๆเช่น การคุมกำเนิด การถือโสด การบวชสตรีให้เป็นพระสงฆ์ การสมรสของคนรักร่วมเพศ แต่พระจริยวัตรของพระองค์ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพระศาสนจักรหลายด้าน
                ประการแรก พระสันตะปาปาเริ่มหนทางใหม่ในการประกาศข่าวดี พระองค์บอกว่าคำพูดแรกของการประกาศข่าวดีจะต้องเป็นเรื่องความเมตตาของพระเจ้า ไม่ใช่รายละเอียดในเรื่องข้อความเชื่อหรือกฏระเบียบที่ต้องนำมาปฏิบัติ พระองค์เทศน์สอนทุกวันเกี่ยวกับเรื่องความเมตตาสงสารและความรักของพระเจ้า เราจึงสมควรที่จะต้องแสดงความเมตตาสงสารและความรักไปยังเพื่อนพี่น้องชายหญิงของเรา  โดยเฉพาะผู้ยากไร้ พระองค์ไม่ได้เทศน์สอนแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังทรงปฏิบัติด้วยการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย คนไร้บ้าน และคนป่วย
                ประการที่สอง พระสันตะปาปาฟรังซิส เปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งในพระศาสนจักรได้ พระองค์ไม่แสดงอาการไม่พอใจในยามที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป แม้ในเรื่องสำคัญเช่นข้อคำสอน ในอดีตที่ผ่านมามีเพียงระหว่างการสังคายนาวาติกันครั้งที่สองเท่านั้นที่พระศาสนจักรเปิดโอกาศให้มีการโต้แย้งเกิดขึ้นได้ในระหว่างการประชุม แต่ภายหลังจากนั้นมา พระศาสนจักรควบคุมวาระการประชุมอย่างเข้มงวด และมีการคัดกรองหัวข้อการประชุม ดังนั้นผลของการประชุมสมัชชาของพระสังฆราชที่น่าจะเป็นข้อเสนอเพื่อให้คำแนะนำพระสันตะปาปา ก็กลายเป็นเพียงเวทีของพระสังฆราชที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อพระสันตะปาปาเท่านั้น แต่ภายใต้การนำของพระสันตะปาปาฟรังซิส ผู้เข้าร่วมสมัชชา ได้รับการส่งเสริมให้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเกรงว่าจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกับพระสันตะปาปา ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ไม่เคยมีในช่วงของพระสันตะปาปาองค์ก่อนๆ
                ประการที่สาม พระสันตะปาปาให้แนวคิดแบบใหม่เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมใน สมณสาส์น Amoris Laetitia พระองค์นำพาพระศาสนจักรจากความคิดทางด้านศีลธรรม ที่มีพื้นฐานบนกฏระเบียบที่เคร่งครัด ไปสู่ศีลธรรมที่มีพื้นฐานบนความสุขุมรอบคอบ ซึ่งหมายความว่า ข้อเท็จจริง สภาวะแวดล้อม และแรงจูงใจ มีส่วนสำคัญประกอบการพิจารณา บนพื้นฐานศีลธรรมเช่นนี้ แนวทางบรรทัดฐานของศีลธรรมแบบนี้ทำให้เราสามารถเข้าถึงความดีงามของชีวิตของบุคคลที่มีข้อบกพร่อง แม้แต่ในการสมรสที่ผิดไปจากกรอบประเพณีแบบเดิมๆ แนวคิดแบบนี้เราจะไม่มองโลกในแบบที่มีการแบ่งความดีกับความชั่วออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่มองว่าเราทุกคนล้วนเป็นคนบาปที่มีบาดแผลที่ต้องชำระ พระศาสนจักรมีหน้าที่เป็นเสมือนสถานรักษาพยาบาล คอยเอาใจใส่ผู้เจ็บป่วย ศีลมหาสนิทคืออาหารที่ช่วยเยียวยารักษาผู้ป่วย ไม่ใช่รางวัลสำหรับผู้ดีพร้อม ดังนั้นยุคแห่งการขู่ผู้คนให้หวาดกลัวเพื่อจะเป็นคนดีคงผ่านพ้นไปแล้ว
                ประการที่สี่ พระสันตะปาปาได้ยกสถานะเรื่องสภาวะแวดล้อม เข้ามารวมอยู่ในแก่นสำคัญเรื่องความเชื่อแล้ว พระองค์ยอมรับว่า ภาวะโลกร้อนอาจเป็นประเด็นเรื่องศีลธรรมที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 ในพระสมณลิขิตของพระองค์ที่ชื่อว่า Laudato Si พระองค์บอกกับเราว่า "การดำเนินชีวิตตามกระแสเรียกในการเป็นผู้พิทักษ์สิ่งสร้างของพระเจ้าถือเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยฤทธิ์กุศล สิ่งนี้ไม่ใช่ทางเลือก และไม่ใช่เรื่องรองๆในการดำเนินชีวิตเป็นคริสตชนอีกต่อไป" พระสมณลิขิตฉบับนี้ของพระสันตะปาปา ได้รับการขานรับอย่างดีจากนักสภาวะแวดล้อมจำนวนมาก ผู้เคยมองพระศาสนจักรเป็นฝ่ายตรงข้าม เพราะจุดยืนของพระศาสนจักรในเรื่องการคุมกำเนิด ต่อไปนี้พระศาสนจักรจะเป็นพันธมิตรกับคนเหล่านี้ เพราะนักสภาวะแวดล้อมจะถือว่าศาสนาจะมีส่วนสำคัญในการจูงใจให้ผู้คนยอมเสียสละตัวเองเพื่อธำรงรักษาโลกของเราไว้
                ประการที่ห้า พระสันตะปาปาได้เริ่มต้นปฏิรูปโครงสร้างการปกครองของพระศาสนจักร แม้การปฏิรูปอย่างจริงจังเป็นไปอย่างช้าๆแต่ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยเฉพาะการปฏิรูปเรื่องเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากธนาคารวาติกัน และไปสู่หน่วยงานต่างๆ การจัดการด้านงบประมาณในหน่วยงานต่างๆต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียด สำนักงานหลายสำนักงานได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ส่งผลดีต่อพระศาสนจักรโดยรวม ยังมีภารกิจอีกมากมายต้องดำเนินการก็จริงแต่งานเหล่านี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
                ประเด็นสำคัญก็คือ พระสันตะปาปาพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของนักบวชให้มีจิตตารมณ์แห่งการรับใช้ พระองค์ปรารถนาให้พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง อุทิศตนทำงานรับใช้ประชากรของพระเจ้ามากกว่าที่จะดำรงตนเป็นเจ้าขุนมูลนาย ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังเปลี่ยนแปลงประเพณีการแต่งตั้งพระคาร์ดินัล จากเดิมที่เป็นการยกย่องส่งเสริมให้รางวัล กลับมาเป็นการพิจารณาพระสังฆราชที่ให้ความสำคัญกับนโยบายที่พระองค์จัดวางลำดับความสำคัญไว้เพื่อพระสังฆราชเหล่านี้จะได้รับการยกขึ้นเป็นพระคาร์ดินัล เพื่อสักวันหนึ่งพระคาร์ดินัลเหล่านี้จะมาทำหน้าที่เป็นผู้นำพระศาสนจักรในภายภาคหน้า 
พ่อสุพจน์
.........................................................................................

ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ :ก็อก ก็อก ก็อก เปิดประตู

ชายตาบอด แม้มองไม่เห็นแต่เขาได้ยิน
และยอมให้พระช่วย
ชาวฟาริสี แม้ตาไม่บอด แต่ใจเขาปิด
และไม่อยากจะเชื่อตามที่ตาเห็น

ไม่ใช่ใครที่ปิดตาของใจเรา แต่บ่อยบ่อยที่เราปิดตาใจเราเอง

ตาของกายมืดบอด
แม้รักษาไม่ได้ แต่ยังได้รับความรอดพ้นได้
ตาของกายไม่บอด แต่ตาของใจมืดบอด
แม้รักษาได้ แต่ไม่ยินยอมรับการรักษา
บางทีอาจรอดพ้นได้ หรือ ไม่ก็อาจไร้โอกาสรอดพ้นเลย

เพียงเพราะกฎบังตา อัตตา-ตัวตนสูงข่มความดี
เห็นสิ่งดีอยู่ตรงหน้า เห็นเรื่องราวดีดีอยู่ตรงหน้า ยังว่าร้ายได้
เพียงเพราะไม่ถูกใจ เพียงเพราะไม่ใช่พวกเรา เพียงเพราะแตกต่างจากเรา

ความดีจึงไปไม่ถึงใจ อคติปิดใจแน่นหนา
ชีวิตจึงทำทำไปแค่ตามตัวบท ตัวบัญญัติ ตามกฎที่ร่ำเรียนมา
มีปัญญาสูงส่ง สมองโต แต่กลับใจลีบ แขนลีบ ขาลีบ

มองเห็นตัวหนังสือ สำคัญกว่าความเป็นคน
มองเห็นแต่สิ่งที่ตัวต้องการ มากกว่าความต้องการของคนอื่น
คนอะไร...หูเปิด ตาเปิด ปากเปิด แต่ไม่เปิดใจ

#แล้วเราหละ

บาทหลวงบางกอก