วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม 2014

พี่น้องที่รัก
                พ่อขอถือโอกาสนี้แจ้งให้ทราบกำหนดการต้อนรับพระธาตุนักบุญพระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 23 และ พระธาตุนักบุญพระสันตะปาปา ยอห์นปอล ที่ 2 ที่วัดเซนต์หลุยส์ของเรา จะมีในวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม นะครับ ดังนั้นขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาสักการะพระธาตุของนักบุญพระสันตะปาปาทั้งสอง ในทุกรอบมิสซาครับ ทั้งนี้ในคืนวันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม 2557 พ่อและตัวแทนกรรมการสภาภิบาลบางท่านจะเดินทางไปรับพระธาตุ จากวัดพระกุมารเยซู กิโลเมตร 8 บางนาตราด มายังวัดเซนต์หลุยส์ของเรา และเราจะมีการแห่พระธาตุเข้ามาในวัดของเราในเช้าวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม ก่อนมิสซารอบ 6.00 . และ ประดิษฐานพระธาตุไว้ในวัดของเราตลอดวัน จนถึงมิสซารอบเย็น 17.30 . ครับ

พ่อสุพจน์

ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
บทที่ 2
พิธีบูชาขอบพระคุณคืออะไร?

                1. ในพิธีบูชาขอบพระคุณ พระบุตรของพระเจ้า มารับสภาพมนุษย์อีกครั้ง ในพิธีบูชาขอบพระคุณ พระธรรมล้ำลึกแห่งการมาบังเกิดของพระเยซู ได้กลับมาเป็นจริงอีกครั้ง เหมือนกับว่าครั้งแรกที่พระบุตรของพระเจ้าได้มารับเอากายมาจุติในพระครรภ์ของพระนางมารีย์พรมจารีย์ ซึ่งนำพระพรมากมายหลั่งไหลมาสู่เรามิรู้สิ้นสุด
                นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “พระสงฆ์ช่างมีเกียรติศักดิ์ศรีสูงส่งยิ่งนัก เพราะมือของท่านได้โอบอุ้มพระคริสตเจ้าที่ได้มารับสภาพเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง”
                2. พิธีบูชาขอบพระคุณคือการบังเกิดของพระเยซูคริสต์  เพราะพระองค์ได้บังเกิดมาจริงบนพระแท่นบูชาทุกครั้งที่มีการประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณ เหมือนกับที่พระองค์ได้บังเกิดมาที่เบธเลเฮมในครั้งกระโน้น
                นักบุญ ยอห์น ดามาซีน กล่าวว่า “ถ้ามีใครอยากทราบว่า แผ่นปังได้รับการแปรเปลี่ยนไปเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะบอกกับเขาว่า ฤทธิ์อำนาจของพระจิตของพระเจ้าได้ทอแสงลงมายังพระสงฆ์ เหมือนกับที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อพระนางพรหมจารีย์มารีย์นั่นเอง”
                นักบุญโบนาเวนตูรา กล่าวว่า “เมื่อพระเจ้าลงมาประทับยังพระแท่นบูชา พระองค์ทรงพระฤทธานุภาพเท่าเทียมกันกับที่พระองค์ได้ลงมาประทับครั้งแรกในพระครรภ์ของพระนางพรหมจารีย์มารีย์นั่นแหละ”
                3. พิธีบูชาขอบพระคุณนั้นเท่าเทียมกับการถวายองค์สิ้นพระชนม์เป็นบูชาบนไม้กางเขนที่เขากัลวารีโอที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ การบูชาที่กัลวารีโอมีคุณค่าสูงส่งเกินกว่าจะประมาณค่าได้ฉันใด พิธีบูชาขอบพระคุณมีพระพรที่มีคุณค่าเหลือล้นฉันนั้น
                พิธีบูชาขอบพระคุณ ไม่ใช่เป็นการทำพิธีเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เขากัลวารีโอ แต่โดยเนื้อแท้แล้วถือเป็นบูชาเดียวกันเลย ดังนั้นในพิธีบูชาขอบพระคุณทุกครั้ง พระเยซูเจ้าทรงหลั่งโลหิตเพื่อเราเสมอ
                นักบุญออกัสตินกล่าวว่า "ในทุกพิธีบูชาขอบพระคุณ พระเยซูเจ้าทรงหลั่งพระโลหิตใหม่อีกครั้งเพื่อคนบาป"
                4. ไม่มีอะไรบนแผ่นดินนี้ หรือแม้แต่ในสวรรค์ ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้สูงส่งและประทานพระคุณมากมายให้กับเราเท่ากับพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณแม้เพียงการประกอบพิธีเพียงครั้งเดียว
                5. โดยทางพิธีบูชาขอบพระคุณเท่านั้น ที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์จะได้รับการสรรเสริญสูงสุด และ พระเกียรติมงคลสูงสุด และโดยพิธีนี้เองที่เรามนุษย์สามารถแสดงออกถึงการขอบพระคุณได้อย่างสมบูรณ์สูงสุดสำหรับพระพรมากมายที่พระองค์โปรดประทานแก่เรา นอกจากนี้โดยพิธีนี้เองเท่านั้นที่ช่วยให้เรามนุษย์สามารถวิงวอนขออภัยโทษต่อบาปโทษของเราได้ดียิ่งกว่าการใช้โทษบาปแบบใดๆทั้งสิ้น
                6. ไม่มีอะไรที่สามารถช่วยวิงวอนขอเพื่อการกลับใจของคนบาปได้ดีไปกว่า การขอคำภาวนาผ่านทางพิธีบูชาขอบพระคุณเพื่อพวกเขา (ขอมิสซาถ้าผู้เป็นแม่รู้ว่าเธอสามารถขอคำภาวนาผ่านทางการประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณเพื่อลูกๆที่ใจเมินเฉย ปล่อยตนในความมัวเมาในบาป หรือ ผู้เป็นแม่บ้านทราบว่าถ้าเขาต้องการภาวนาเพื่อสามีของตน ผ่านทางการประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณได้ พวกเขาจะมีความยินดีเป็นอย่างมาก
                7. ไม่มีคำภาวนาใดๆ แม้ว่าบ่อยแค่ไหน จะสามารถช่วยเหลือดวงวิญญาณของมนุษย์ได้เท่ากับพิธีบูชาขอบพระคุณ ดังนั้นให้เราเผื่อแผ่อุทิศบุญกุศลเพื่อดวงวิญญาณในไฟชำระด้วยการประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณเถิด อาจเป็นไปได้ว่า ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงของเรายังคงอยู่ในไฟชำระก็ได้ และเราสามารถที่จะช่วยบรรเทาเขาได้โดยวิธีง่ายๆก็คือ การภาวนาผ่านทางการประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณเผื่อแผ่บุญกุศลไปถึงเขาเหล่านั้นนั่นเอง(ยังมีต่อ)
..............................................................................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา
อุปมาเรื่องขุมทรัพย์และเรื่องไข่มุก
อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อนาแปลงนั้น
อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม  เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น

พี่น้องครับ พระวาจาของพระเจ้าอาทิตย์นี้ พูดถึง อาณาจักรสวรรค์ ซึ่งพระองค์สอนเราเป็นคำอุปมาเรื่อง ขุมทรัพย์ และ ไข่มุก ความหมายน่าจะตรงตัวและเข้าใจง่ายครับ คือ อาณาจักรสวรรค์ คือ ขุมทรัพย์ และ ไข่มุกที่เลอค่า ที่เราต้องแสวงหา เพื่อเราจะได้พบกับสมบัติที่ล้ำค่าแท้จริง
พี่น้องคงจำได้ ที่มีข่าวว่า มีพื้นที่ว่างซึ่งเป็นแปลงนา ที่พบกับทองคำเต็มไปหมด ชาวบ้านจากทุกสารทิศต่างมาขุด เพื่อค้นหาทอง ใครพบก็โชคดี ใครที่ยังไม่พบก็พยายามออกแรงเต็มที่เพื่อให้พบกับทองหรือสมบัติบางสิ่ง และนี่คือสิ่งที่สะท้อนชีวิตเรา
ถ้าเรารู้ว่ามีของบางสิ่งที่มีคุณค่า เราคงจะพยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา เช่นเดียวกัน พระวาจาวันนี้พระองค์บอกกับเราว่าอาณาจักรสวรรค์ เปรียบได้กับขุมทรัพย์และไข่มุกที่เรารู้ว่ามีคุณค่า เราจึงต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อที่จะได้มาเป็นเจ้าของ ดังนั้นจึงอยากเปรียบเทียบว่า พระเยซูเจ้า คือ ลายแทงไปสู่ขุมทรัพย์หรือไข่มุกที่แท้จริง ผ่านทางพระเยซูเจ้าเราได้พบกับอาณาจักรสวรรค์ เราต้องยอมขายทุกสิ่งที่มี เพื่อเป็นเจ้าของขุมทรัพย์หรือไข่มุกชิ้นนี้ให้ได้ สละทิ้งทุกอย่างที่มันถ่วงเรา ใช้พละกำลังทั้งหมด  สติปัญญาปรีชาญาณทั้งหมด เพื่อจะได้ขุมทรัพย์หรือไข่มุกนี้มาเป็นกรรมสิทธิ์ นั่นคือดำเนินชีวิตให้ดีเพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรสวรรค์ ขอให้เราได้มีลายแทงสมบัติที่ชัดเจนเพื่อจะได้มุ่งหน้าตามหาอาณาจักรสวรรค์ในชีวิตของเรา โดยผ่านทางองค์พระเยซูเจ้าและในพระวาจาของพระองค์

คพ.วิทยา


วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 2014

พี่น้องที่รัก
                พี่น้องครับพิธีฉลองวัดประจำปี ค.. 2014 จะมาถึงในวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคมนี้ ดังนั้นเราเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียวสำหรับการจัดเตรียมงานฉลองวัดประจำปีของเราครับ ในปีนี้พ่อได้เรียนเชิญพระคุณเจ้าฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวานิช มาเป็นประธานในพิธีฉลองวัดของเรา และตามที่เราเคยปฏิบัติกันมา ก่อนการฉลองวัดเราจะเชิญพระสงฆ์มาเทศน์เตรียมจิตใจพี่น้องสัตบุรุษล่วงหน้าก่อน 3 สัปดาห์นั้น ในปีนี้พ่อได้เชิญ คุณพ่ออนุรัตน์ ณ สงขลา มาเทศน์ในวันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม  และ คุณพ่อประเสริฐ ตรรกเวศม์ มาเทศน์ในวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม และ คุณพ่อสานิจ สถะวีรวงส์ มาเทศน์ในวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม เพียงแต่ปีนี้คุณพ่อทั้งสามจะมาเป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณและเทศน์ในพิธีมิสซารอบ 10.00 นาฬิกาเท่านั้นครับ
                สำหรับการฉลองภายในของวัดเซนต์หลุยส์ของเรา จะมีในวันที่ 23 สิงหาคม เวลา 17.30 ประธานในพิธีคือ คุณพ่อสุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์ หลังพิธีมีการแห่พระรูปนักบุญหลุยส์

พ่อสุพจน์
ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
เทวดากับดอกกุหลาบ
                มีชาวนาผู้จนยากคนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณทุกวันตลอดชีวิตของเขา  เช้าวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินข้ามทุ่งนาที่เต็มไปด้วยหิมะที่ขาวโพลนไปทุกแห่งหน เพื่อมุ่งไปยังวัด เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังเขา เขาจึงเหลียวกลับไปมอง เขาเห็นเทวดารักษาตัวถือตะกร้าที่มีดอกกุหลาบวางอยู่เต็มตะกร้า ส่งกลิ่นหอมอบอวล "เห็นไหม" เทวดากล่าว "ดอกกุหลาบเหล่านี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกๆฝีก้าวของท่านที่เดินมุ่งหน้าไปยังวัดเพื่อร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ ดอกกุหลาบแต่ละดอกนี้แสดงถึงรางวัลแห่งสิริมงคลที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับท่านในสวรรค์ แต่อย่างไรก็ดีพระพรที่ท่านได้รับจากการไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณนั้นมากมายมากกว่ายิ่งนัก"

ทำอย่างไรถึงจะทำให้ธุรกิจของเราเจริญก้าวหน้าเกิดผลงอกงาม
                เพื่อนนักธุรกิจสองคนอาศัยอยู่ในเขตเมืองเดียวกันในประเทศฝรั่งเศส ทั้งสองทำธุรกิจชนิดเดียวกัน ในขณะที่คนหนึ่งประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง ส่วนอีกคนธุรกิจฝืดเคืองแทบจะชักหน้าไม่ถึงหลัง แม้ว่าเขาจะทำงานหนักกว่าและตื่นเช้ากว่าเพื่อนของเขา
                หลังจากมาพบปะสนทนากันในเรื่องราวต่างๆแล้ว เพื่อนคนที่ธุรกิจฝืดเคืองตัดสินใจปรึกษาขอคำแนะนำจากเพื่อนอีกคนที่ทำธุรกิจเจริญรุ่งเรืองกว่าเพื่อหวังจะขอเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ
                "เพื่อนรักเอ๋ย" นักธุรกิจที่มั่งคั่งกล่าว "ฉันไม่มีเคล็ดลับอะไร ฉันทำงานเท่าๆกันกับที่ท่านทำ แต่ถ้าจะมีอะไรที่แตกต่างกันไปบ้าง ก็มีเพียงแต่ว่า ฉันไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณทุกวัน ส่วนเธอไม่ได้ไป ฉะนั้นเธอจงทำตามคำแนะนำของฉันเถิด ไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณทุกๆเช้า และ ฉันมั่นใจว่าพระเจ้าจะอำนวยพระพรกิจการงานของท่าน"

                แล้วเพื่อนนักธุรกิจที่จนกว่าก็ทำตามคำแนะนำที่ได้รับ และไม่นานหลังจากนั้น ปัญหาอุปสรรคที่เขาเผชิญอยู่ก็จบลงโดยไม่ทราบสาเหตุ และ ธุรกิจของเขาก็เจริญเติบโตมั่งคั่งเกินกว่าความคาดหมายของเขาเสียอีก
.................................................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา
อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน  ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป  เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย  บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า นายตอบว่า ศัตรูมาหว่านไว้ ผู้รับใช้จึงถามว่า นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม  นายตอบว่า อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย  จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’”

พี่น้องครับ พระวาจาของพระเจ้าอาทิตย์นี้ พูดถึงความแตกต่างของ ข้าวละมาน กับ ข้าวสาลี  ข้าวละมานเป็นข้าวพันธุ์ไม่ดี ส่วนข้าวสาลีเป็นข้าวพันธุ์ดี
ข้าวละมาน น่าจะหมายถึง สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่ปะปนกันอยู่ในสังคมของเรา หากถ้าจะนึกถึงชีวิตของเราแต่ละคน ก็น่าจะหมายถึง ความบกพร่อง ความไม่ดีต่างๆ  ส่วนข้าวสาลี น่าจะหมายถึง สิ่งที่ดีๆ ทั้งหลายที่เราได้กระทำให้บังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ซึ่งจากพระวาจาตอนนี้น่าจะเป็นข้อคิดให้กับเราว่า

·       ในชีวิตของเราและในสังคมของเรามีทั้งสิ่งดี และ สิ่งไม่ดีปะปนกัน
·       พระเจ้าทรงอดทน และรอคอย ให้คนที่ไม่ดีมีเวลาเปลี่ยนแปลงตนเอง และมีเวลากลับใจเสมอ
·       ศัตรูของเรา คือ ปีศาจ มันพยายามจะทำให้ความชั่ว ชนะความดี พยายามทำให้เราซึ่งเป็นลูกของพระทำในสิ่งที่ไม่ดี และพยายามทำให้เราหลงทางอยู่เสมอ

                ดังนั้น ขอให้เราเสริมสร้างความดีให้เกิดขึ้น ขจัดความไม่ดีต่างๆ ด้วยความดี นั่นคือแสดงออกมาด้วยความรักให้ปรากฏแก่ทุกคน  และพยายามไม่ตัดสินกันและกันด้วยความคิด หรือ อคติของเรา แต่ขอให้เราได้มองคนอื่นด้วยใจกว้าง ไม่ตัดสินคนอื่นด้วยเบาความ แต่ขอให้เราให้โอกาสแก่ผู้ที่ทำผิดได้ปรับปรุงแก้ไข บนพื้นฐานแห่งความรักและการให้อภัย และที่สุดขอเพียงเราเจริญชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า ทำสิ่งดีดีให้เกิดขึ้น โดยการนำความรักไปสู่ผู้อื่นในสังคม ชีวิตเราก็จะมีแต่ความสุข สังคมก็จะน่าอยู่เสมอไป
คพ.วิทยา

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2014

พี่น้องที่รัก
                ตามที่พี่น้องได้เห็นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วว่า พ่อได้ดำเนินการทำสีพระรูปพระเยซูที่กางเขนใหญ่กลางวัดใหม่ จากเดิมที่เป็นสีน้ำตาลดำ เปลี่ยนมาเป็นสีทองบรอนซ์ เนื่องจากพ่อได้สังเกตเห็นว่า สีเดิมของพระรูปนั้นเริ่มมีสภาพชำรุดทรุดโทรมปูดโปนขึ้นหลายแห่งไม่ราบเรียบสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น และมีบางที่บวมหลุดลอกออกจากพื้นผิว อันเนื่องมาจากความชื้นในอากาศทำให้สนิมโลหะก่อตัวขึ้นที่พื้นผิว ถ้าไม่รีบดำเนินการซ่อมแซมก็อาจทำให้พระรูปเกิดการเสียหายมากขึ้นได้ หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับพระคุณเจ้า และกรรมการสภาภิบาลวัดแล้ว พ่อจึงได้ตัดสินใจให้ช่างมาดำเนินการซ่อมแซมด้วยการลอกสีเดิมออกขัดสนิมลงสีกันสนิมและทำสีใหม่ อย่างที่พี่น้องเห็นอยู่นี้ พ่อได้ขอให้ช่างจัดการเปลี่ยนสีจากเดิมน้ำตาลดำ เป็นสีทองบรอนซ์ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่ามีหลายคนกล่าวกับพ่อว่าพระรูปกางเขนวัดเราสีดำน่ากลัวจัง พระสงฆ์ลูกวัดเซนต์หลุยส์ของเราหลายองค์ก็กล่าวทำนองนี้ว่า "ตอนเป็นเด็กช่วยมิสซา มองกางเขนกลางวัดแล้วกลัวมาก" จริงอยู่เด็กๆอาจยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ถ้าเด็กมีความประทับใจที่ดีในเรื่องวัดวาตั้งแต่แรก ก็คงจะช่วยเขาให้อยากมาวัดมากขึ้น พ่อคิดอย่างนี้แล้วก็เลยตัดสินใจทำสีพระรูปเป็นสีทองบรอนซ์อย่างที่ปรากฏนี้แหละ 
                ถ้าจะย้อนไปดูภาพเก่าที่ช่างภาพได้ถ่ายไว้เมื่อวันเสกวัด จะพบว่าพระรูปกางเขนนั้น เป็นรูปที่มีสีตามธรรมชาติ คือมีการทำสีพระรูปเป็นสีเนื้อ มีผ้าปิดบริเวณเอวเป็นสีขาว แรกทีเดียวพ่อก็คิดจะทำเป็นสีตามแบบดั้งเดิมที่ปรากฏในภาพถ่าย แต่เมื่อมาพิจารณาดูรายละเอียดแล้ว กลับกลายเป็นว่าพระรูปกางเขนที่ปรากฏในภาพถ่ายในวันเสกวัดนั้น ไม่ใช่พระรูปกางเขนรูปเดียวกันกับที่ติดตั้งอยู่ในปัจจุบัน อาจเป็นไปได้ว่าเวลานั้นสร้างวัดเสร็จแล้ว มีกำหนดเสกวัดแน่นอนแล้ว แต่พระรูปกางเขนที่สั่งทำไว้ยังเดินทางมาถึงไม่ทันการ จึงไปขอยืมกางเขนที่วัดอื่นมาติดตั้งใช้ไปพลางก่อน ภายหลังจึงนำไปคืน และนำรูปใหม่มาติดตั้งภายหลัง เกร็ดประวัติเรื่องนี้ไม่ปรากฏอยู่ในเอกสารใดๆมาก่อนหน้านี้ แต่ที่พ่อนำมากล่าวในที่นี้ก็เป็นการตั้งสมมุติฐานของพ่อเอง จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
                หลังจากทำสีพระรูปที่กางเขนใหม่ พ่อสังเกตว่าพี่น้องหลายคนนั่งจ้องมองพระเยซูบนกางเขนเป็นเวลานานขึ้น พ่อไม่อาจคาดเดาความคิดที่เกิดขึ้นในหัวสมองของพี่น้องแต่ละคนได้ ได้แต่หวังว่าการมองพระเยซูเป็นเวลานานมากขึ้นนั้นคงจะช่วยให้คำภาวนาจากใจของเราเกิดผลลึกซึ้งมากขึ้นและเข้าใกล้ชิดความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้ามากขึ้น อีกทั้งมีความเชื่อความศรัทธาเพิ่มพูนเข้มแข็งขึ้นครับ

พ่อสุพจน์

ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
                ครั้งหนึ่งจักรพรรดิ์ ออตโต แห่งเยอรมัน เรียกประชุมหัวหน้าข้าราชการและที่ปรึกษาของพระองค์ แต่เช้าตรู่ ปรากฏว่าในคราวนั้น ท่านดุ๊กเจ้าชายแห่งโบฮีเมีย ซึ่งต้องเข้าร่วมประชุมด้วย เดินทางมาเข้าประชุมสายกว่าเวลานัด เนื่องจากพระองค์ไม่ต้องการที่จะขาดการเข้าสวดภาวนาในพิธีบูชาขอบพระคุณประจำวัน การเข้ามาถึงที่ประชุมสายครั้งนี้ทำให้จักรพรรดิ์ โกรธเคืองมาก พระองค์สั่งให้การประชุมเริ่มขึ้นโดยไม่รอคอยการมาถึงของเจ้าชายแห่งโบฮีเมีย พระองค์กล่าวกับที่ประชุมว่า ถ้าเจ้าชายเดินทางมาถึงห้องประชุม ทุกคนไม่จำเป็นต้องแสดงการคารวะให้เกียรติใดๆกับเจ้าชายแต่อย่างใด
                การประชุมเริ่มไปได้สักครู่ เจ้าชายแห่งโบฮีเมียก็เดินทางมาถึงห้องประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะ จักรพรรดิ์เอง ที่แต่แรกมีอารมณ์ขุ่นมัวไม่พอใจเป็นอย่างมาก กลับกลายเป็นผู้ที่ยืนขึ้นแสดงความคารวะต่อเจ้าชายที่พึ่งเดินทางมาถึงเป็นคนแรก และแล้วเมื่อวาระสำคัญของการประชุมจบสิ้นลง จักรพรรดิ์ออตโต ยังคงสังเกตเห็นว่าผู้เข้าร่วมประชุมที่มีทั้งเจ้านายระดับสูง และ เจ้าชายหลายพระองค์ ยังคงแสดงอาการประหลาดใจต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงของจักรพรรดิ์ ที่มีต่อ ดุ๊ก เจ้าชายแห่งโบฮีเมีย

                "ทำไมหรือ" จักรพรรดิ์กล่าว "พวกท่านไม่สังเกตเห็นหรือว่า เจ้าชายเข้ามาในห้องประชุมนี้ โดยมีเทวดาสององค์อารักขาอยู่เคียงข้างทั้งซ้ายและขวา? จนข้าพเจ้าเองยังไม่กล้าที่จะแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมาเลย"     (ยังมีต่อ)
.............................................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา
พระเยซูเจ้าตรัสว่า จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช  ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด  บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก  บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป  บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

พี่น้องครับ อาทิตย์นี้พระเยซูเจ้าสอนเราเป็นคำอุปมา เรื่องผู้หว่าน นี่คือคำอุปมาที่พระองค์สอนจากเรื่องราวในชีวิตประจำวันของผู้คนในสมัยนั้น เพื่อเน้นถึงพลังของพระวาจาพระเจ้า ที่เราแต่ละคนจะต้องมีส่วนร่วมในการเปิดใจรับพระวาจาของพระเจ้า ซึ่งที่สุดแล้วเราแต่ละคนคือตัวแทนของดิน ดังนั้นมาดูกันว่าเราจะมีลักษณะเป็นดินประเภทไหน.

1.              ดินตามทางเดิน  คือ คนที่มีใจแข็งกระด้าง เสมือนดวงใจที่ปิดสนิท  พระวาจาและพระพรของพระเจ้าจึงไม่อาจทะลุไปถึงจิตใจของคนประเภทนี้ได้ และความหยิ่งจองหองคือตัวการที่ร้ายกาจที่สุดด้วย
2.             ดินบนพื้นหิน  คือ คนที่มีความเชื่อแบบตื้นเขิน เมล็ดเติบโตได้ แต่สุดท้ายก็จะตายไปเพราะไม่มีราก เปรียบเสมือนคริสตชนที่เป็นคริสตชนแค่ชื่อ แต่ชีวิตไม่เคยสนใจการมาวัด มาร่วมมิสซา ไม่สนใจฟังพระวาจาของพระเจ้า เมื่อปัญหาหรือความเครียดมาเยือน เขาก็จะทิ้งวัด ทิ้งความเชื่อในที่สุด
3.             ดินในกอหนาม  คือ คนที่หมกมุ่นในทรัพย์สมบัติ อำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง ไม่มีเวลาให้กับพระ     สิ่งเหล่านี้จะมาปิดบังหัวใจแห่งพระพรของพระเจ้า ทำให้เขากับพระเจ้าห่างไกลกันเหลือเกิน
4.             ดินดี  คือ คนที่มีหัวใจที่เปิดรับพระวาจา รับพระพรของพระเจ้า ฟังพระวาจาและดำเนินชีวิตอย่างดี

แล้วชีวิตของเรา คือ ดินประเภทใดเราได้ให้เวลากับพระวาจาอย่างดี ให้เวลากับพระอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง.. ถ้าเราพยายามเปิดใจของเราให้พระมาประทับอยู่ เราจะไม่ขาดสิ่งใดเลย เพราะนั่นคือไข่มุกเม็ดงามที่สุดที่เราได้รับ..

คพ.วิทยา

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2014

พี่น้องที่รัก
                วันอาทิตย์สัปดาห์นี้ ในพิธีมิสซารอบ 10 นาฬิกา วัดเซนต์หลุยส์ได้มีโอกาสต้อนรับพระสงฆ์ใหม่ของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ 3 องค์ เพื่อถวายมิสซาแรกของคุณพ่อทั้งสาม ณ วัดแห่งนี้ พ่อในฐานะเจ้าอาวาสก็ขอแสดงความยินดีกับพระสงฆ์ใหม่ทั้งสาม ซึ่งได้แก่ คุณพ่อยอแซฟ ดิษพล รุ่งโรจน์วรวัฒนา คุณพ่อยอแซฟ ยุทธนา วิทยานุลักษณ์ คุณพ่อสเตเฟน วีรยุทธ เกียรติสกุลชัย ที่ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ เพื่อจะเริ่มต้นรับใช้หมู่มวลพี่น้องคริสตชนคาทอลิกในฐานะพระสงฆ์ ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์พระคริสตเจ้าบนแผ่นดินนี้ ได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยการปฏิบัติหน้าที่สงฆ์ในการเทศน์สอน ในการปกครอง และในการบันดาลความศักดิ์สิทธิ์ให้กับคริสตชนทุกคน
                การปรากฏตัวของพระสงฆ์ใหม่ เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นเยาว์ ที่ได้เห็นแบบอย่างของผู้ที่สละละหนทางฝ่ายโลก เพื่อจะก้าวไปบนเส้นทางแห่งการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์โดยการดำเนินชีวิตเป็นพระสงฆ์ของพระองค์ พ่ออยากเห็นเยาวชนในวัดของเราเจริญรอยตามแบบอย่างของผู้ตัดสินใจเลือกที่จะตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้าด้วยการไปฝึกฝนอบรมตนเตรียมตัวเป็นพระสงฆ์ในสถาบันบ้านเณรของคณะนักบวช หรือของสังฆมณฑล ให้เราร่วมใจกันภาวนาเพื่อกระแสเรียกด้วยครับ ตราบใดที่ยังคงมีกระแสเรียกของการเป็นนักบวชหรือพระสงฆ์ ก็แสดงว่ากลุ่มคริสตชนของเรายังมีอนาคตที่สดใสอยู่ แต่ถ้าว่างเว้นหรือไม่มีผู้ตอบรับกระแสเรียกในการเป็นนักบวชหรือพระสงฆ์เป็นเวลานาน กลุ่มคริสตชนนั้นๆก็ตกอยู่ในความน่าเป็นห่วงครับ
พ่อสุพจน์
มหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
                มีเรื่องเล่าว่า ซีมอน เดอ มงฟอร์ต แม่ทัพผู้เกรียงไกร ในราวศตวรรษที่ 12 ซึ่งมีทหารม้า  800 นาย กับทหารราบจำนวนหยิบมือเดียว ตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกที่มีกำลังทหารถึง 40000 นาย ควบคุมกองทัพโดย กษัตริย์แห่งอารากอน และ เรย์มอนด์ เคาท์แห่งตูลูส ที่เมือง มูเรต์ ขณะที่ซีมอนกำลังสวดภาวนาในพิธีบูชาขอบพระคุณอยู่นั้น มีนายทหารมารายงานข่าวด่วนว่ากองทัพของข้าศึกกำลังเคลื่อนพลมาโจมตีเมืองขอให้ท่านซีมอนละจากการสวดภาวนาเพื่อไปออกคำสั่งอำนวยการในการต่อสู้ ซีมอนตอบนายทหารผู้นั้นว่า "ให้เวลาข้าพเจ้าร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณให้เสร็จเสียก่อนสิ แล้วฉันจะออกไปนำทัพต่อสู้ข้าศึกเอง" แล้ว ซีมอน เดอ มงฟอร์ต ก็รีบไปยังที่ที่เหล่าทหารของเขารวมตัวกันอยู่ ปลุกใจพวกทหารให้วางใจในพระเจ้า และ สั่งให้เปิดประตูเมือง เขานำกองทหารเข้าโจมตีตรงกลางของทัพข้าศึก ทำให้กองกำลังข้าศึกระส่ำระสาย  จากนั้นเขาก็จัดการพิฆาตกษัตริย์แห่งอารากอน และ ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
                อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 1 เรื่องมีอยู่ว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า นายพลฟอคช์ ผู้นำกองกำลังทหารฝรั่งเศสและอังกฤษ เป็นผู้ที่ไปร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณทุกวัน แม้ว่าท่านจะมีภารกิจในท่ามวิกฤติการณ์มากมายแต่ท่านก็ไม่เคยใช้เหตุผลเหล่านั้นมาอ้างเพื่อจะขาดการสวดภาวนาและร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ

(ยังมีต่อคราวหน้า)
.....................................................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 14
เทศกาลธรรมดา
ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนักจงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา

พี่น้องที่รักครับ อาทิตย์นี้พระเยซูเจ้าเชิญชวนเราทุกคนให้มาหาพระองค์ พระบอกกับเราอาทิตย์นี้ว่า  “มาหาเรา แล้วท่านจะได้พักผ่อน”  ชีวิตประจำวันของเราในทุกวันนี้ เราต่างคนต่างมีภาระ มีหน้าที่ ความวุ่นวายจากหน้าที่การงาน ความเหน็ดเหนื่อย ความเครียดกังวลต่างๆ จนบางครั้งถ้ามีมากๆ เราถึงกับจนมุม ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ไม่รู้จะพึ่งใคร หลายคนที่คิดสั้น ก็ไปทำอะไรที่ไม่ดี หลายคนก็ฆ่าตัวตายเพราะหนีปัญหา  แต่พระเยซูเจ้าบอกกับเราวันนี้ว่า “มาหาเรา แล้วท่านจะได้พักผ่อน”  เป็นโอกาสที่เราจะถามตัวของเราเองด้วยว่า เมื่อเราเหน็ดเหนื่อย เราไปหาพระองค์บ้างไหม หรือเราไปหาใครก็ไม่รู้ ไปหาอะไรก็ไม่รู้ ที่มันทำให้เราเหนื่อยกว่าเดิม หรือไปหาบางสิ่งบางอย่างที่อาจช่วยเราได้ แต่มันคงช่วยเราได้เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น
 นักจิตวิทยาคนหนึ่ง ชื่อ Dr.Richard Clark เขาช่วยให้ผู้ป่วยหลุดพ้นจากความเหนื่อยล้าทางอารมณ์โดยให้สูตรสำหรับชีวิตไว้ว่า จงทำงาน  จงเล่น  จงรัก และจงศรัทธาในพระเจ้า อย่าให้ส่วนหนึ่งส่วนใดมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ให้พอดีๆ กันทั้งหมด ทั้ง 4 ประการนี้แล้วชีวิตจะสมดุล

แต่พ่อ..ขอเสนอพี่น้อง โดยปรับเปลี่ยนเล็กน้อยว่า จงให้เวลากับพระ โดยการมีความศรัทธาในพระเจ้าให้มากที่สุดเป็นที่1 แล้วจงรัก ทำงาน เล่น โดยให้ชีวิตมีความสมดุลกัน อีกทั้งต้องยิ้มแย้มแจ่มใส เบิกบานเข้าไว้ แล้วชีวิตเราจะมีความสุข และพระเจ้าจะอวยพรเราทุกๆ วันอย่างแน่นอนครับ






คพ.วิทยา