วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2018

พี่น้องที่รัก
“พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจริงแล้ว”
สุขสันต์วันปัสกา พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจริงแล้ว พระองค์ประทานสันติสุขให้กับชาวเราทุกคน เป็นพระธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อ จึงขอสันติสุขปัสกา 2018 มายังพี่น้องทุกท่าน
ความพยายามที่ได้ร่วมเดินทางติดตามพระคริสต์ แบกไม้กางเขนด้วยการน้อมรับเสียงของพระเจ้ามากขึ้น ขจัดใจที่แข็งกระด้างแต่เต็มไปด้วยความอ่อนแอ และติดตามพระองค์มาจนถึงวันแห่งชัยชนะบาปมากมาย
การติดตามพระองค์เพียงแค่เอาตัวเองรอดเพียงลำพัง ยังไม่ใช่การเอาชนะต่อตนเองอย่างแท้จริง ต้องช่วยเหลือและมีเมตตาต่อผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ยากไร้ด้วย
นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พ่อขอเริ่มชีวิตใหม่ ที่ปรับเปลี่ยนและเดินหน้าออกไปประกาศข่าวดี มองไปข้างหน้าและพาชาวเราทุกคนถึงจุดหมายตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า ช่วยกันประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้า
ชาวเราวัดเซนต์หลุยส์ต้องขอบพระคุณ พระอัครสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย มาร่วมพิธีสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งวันเริ่มต้นจนถึงวันสุดท้าย ได้กระทำพิธีล้างเท้าตัวแทนสัตบุรุษจาก 12 ครอบครัวของวัด ทำให้เราสัมผัสได้ถึงผู้แทนของพระเยซูเจ้าบนโลกนี้ “เราจะเรียกท่านว่าเป็นสหาย” ความใกล้ชิดแบบครอบครัวนับเป็นความต้องการของสังคมไทยอย่างมาก มีผู้นำที่รับใช้แบบการมีชีวิตเรียบง่ายเป็นกิจการแห่งรักของพระเยซูเจ้าที่ยังคงเป็นปัจจุบันและสัมผัสได้โดยตรง
ขอร่วมยินดีกับเพื่อนพี่น้องคริสตนใหม่ทุกคน หวังในพระธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าที่เราร่วมโต๊ะศักดิ์สิทธิ์เดียวกันและเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาเจ้าเดียวกัน และยังเดินทางร่วมกันนับตั้งแต่วันนี้และพรุ่งนี้ตลอดไป กำลังใจและการส่งเสริมสนับสนุนน้ำใจต่อกันเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความเป็นลูกของพระบิดาเจ้าเดียวกัน
ส่งท้ายวันนี้ด้วยความดีใจในบรรดาเด็กมาเรียนคำสอนกันมากขึ้นจาก 10 เป็น 20 และคงเป็น 30  40 และ 50 เพื่อมาจับกลุ่มรวมตัวกันกับพระเยซูคริสตเจ้าองค์เดียวกับที่เรากำลังเฉลิมฉลองปัสกา 2018 นี้แหละ อะไรจะเกิดขึ้นติดตามพวกเราได้ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์เวลา 08.00-14.00 น.เรียนกับพระเยซู เล่นกับพระเยซูและกินกับพระเยซู....

พ่อเจ้าวัดเซนต์หลุยส์
...................................................................................................

สุขสันต์วันปัสกาแด่พี่น้องทุกท่านครับ
            จำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเณรชั้นเล็ก ๆ ที่บ้านเณรยอแซฟ ในวันอาทิตย์ปัสกาปีหนึ่ง หลังจากมิสซาสมโภชปัสกาเสร็จแล้ว ก็มีการเลี้ยงฉลองกันตามธรรมเนียม มีไอศครีม มีหมูหัน มีอาหารหลายอย่าง หลังจากทานกันจนอิ่มหนำ พ่อและเพื่อนๆ ก็มีความคิดว่า เราน่าจะเก็บอาหารที่ยังเหลือขึ้นไปฉลองกันต่อที่ห้องแต่งตัว ทุกคนเห็นว่าเป็นความคิดที่ดี เราเก็บสารพัดอย่างขึ้นห้องเพื่อฉลองกันต่อในเย็นวันนั้น (ที่บ้านเณรเล็กมีกฎระเบียบข้อหนึ่งที่เราเรียกกันว่า  การห้ามทานขนม อาหารนอกเวลา นั่นคือ ห้ามทานอาหารและขนมนอกมื้ออาหาร เพื่อเป็นการฝึกการยับยั้งชั่งใจ ควบคุมปาก ควบคุมตนเอง) การเก็บขนม อาหารเพื่อไปทาน จึงเป็นการทำผิดระเบียบในข้อนี้ แต่ด้วยความอยากในเวลานั้น ไม่มีอะไรห้ามพวกเราได้ เย็นวันนั้นพวกเราจัดแจงอาหารการกิน อุปกรณ์ จาน ช้อน ส้อม พร้อมสำหรับการฉลอง เวลามาถึง ขณะที่ทุกคนกำลังจะทานอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นเอง พวกเราได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างชัดเจน ทุกคนหยุดฟัง และนับสมาชิกมาครบกันหมดแล้ว และใครเดินมาอีกทันทีที่กำลังจะคิดว่าเหลือใคร เสียงประตูเปิดทันที บุคคลในภาพของพวกเราไม่ใช่ใคร คุณพ่ออธิการ ยืนมองพวกเรา พร้อมประโยคที่ยังกึกก้องอยู่ในหูของพวกเรา พระเยซูกลับคืนชีพแล้ว เมื่อไหร่พวกเธอจะกลับคืนชีพสักทีแล้วคุณพ่อก็เดินจากพวกเราไป อาหารฉลองมื้อนั้นหมดความอร่อยทันที เหลือแต่เสียงที่ยังคงดังในหู เมื่อไหร่จะกลับคืนชีพ
            การกลับคืนชีพของพระเยซูจะมีความหมายสำหรับชีวิตคริสตชน เมื่อเราแต่ละคนจะกลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูด้วย และการกลับคืนชีพสำหรับเรา คือการเปลี่ยนจากสภาพเก่ามาสู่สภาพใหม่ จากชีวิตเดิม ๆ มาสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า เป็นโอกาสที่เราจะได้มองชีวิตเราอีกครั้งเช่นกัน มีอะไรบ้างในชีวิตที่ควรกลับคืนชีพ ที่ควรเปลี่ยนแปลงสู่สภาพใหม่ที่ดีกว่าเดิม การกลับคืนชีพของพระเยซูจะมีความหมายสำหรับเราเป็นพิเศษ ถ้าเราได้ร่วมกลับคืนชีพกับพระเยซู คำพูดของคุณพ่ออธิการในเวลานั้นที่บอกกับพวกเราที่เป็นเณรในเวลานั้น มีความหมาย ถ้าพระเยซูตายและกลับคืนชีพเพื่อเรา แต่เรายังคงมีชีวิตเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เห็นแก่ตัวก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่ ไม่ฟังใครก็ยังไม่ฟังใครอยู่ นินทาให้ร้ายกันก็ยังทำอยู่ ยังขี้อิจฉา ยังขี้เกียจ ยังหลอกลวง ฯลฯ โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยสักอย่าง ในปัสกานี้ ประโยคเดียวกันที่พ่อได้ยินในเวลานั้น กับสิ่งที่พระเยซูจะบอก อาจจะเป็นประโยคเดียวกัน พระเยซูกลับคืนชีพแล้ว เมื่อไหร่เราจะกลับคืนชีพบ้าง (ด้วยการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นเพื่อตนเอง) หรือพระองค์อาจจะบอกกับเราแต่ละคนว่า เรากลับคืนชีพเพื่อพวกท่านแล้ว เมื่อไหร่พวกท่านจะกลับคืนชีพเพื่อกันและกันบ้าง (ด้วยการเปลี่ยนแปลงชีวิตสำหรับคนอื่น Happy Easter 2018)


                                                                                                                        ปลัดวัดสาทร

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2018


พี่น้องที่รัก
“เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว”
ถ้าเราไม่ตายกับพระคริสตเจ้า เราจะไม่บังเกิดผล พระวาจาตกลงในดินดี เปื่อยเน่า และกลับกลายเป็นต้นกล้าแข็งแรงและเจริญเติบโตเกิดดอกออกผลมากมาย  ชีวิตคริสตังที่กำลังเดินทางมหาพรตกับพระคริสตเจ้าเพื่อมุ่งสู่ปัสกา ผ่านพ้นความตายเพื่อชีวิตสันติสุขนิรันดร ซึ่งเริ่มได้ตั้งแต่ในโลกนี้ ให้เราเริ่มลิ้มรสสวรรค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เถิด
คู่มือเตรียมสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์มอบให้ทุกคนเพื่อนำไปใช้ควบคู่ไปกับหนังสือพิธีสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของวัด(ฉบับใหม่)ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันอาทิตย์ใบลานและตรีวารปัสกาคือพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ และเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ จุดประสงค์คือการมีส่วนร่วม เข้าใจ และไม่พะวงกับความสั้นยาวของพิธี เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องพิธีสำคัญของเวลาช่วงสุดท้ายของพระเยซูเจ้าไถ่บาปบนโลกนี้ตรีวารปัสกา ที่เราใกล้ถึงเส้นชัยสวรรค์บนโลกนี้แล้ว
วันอาทิตย์หน้า 25 มีนาคม มิสซาเวลา 08.00 น.เชิญชวนรวมตัวกันที่หน้าศาลาหลุยส์มารีย์ของวัด เพื่อร่วมพิธีเสกใบลาน รับฟังพระวาจา และเดินแห่เข้าวัดพร้อมกัน และเริ่มต้นสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ให้พี่น้องใช้หนังสือเพื่อมีส่วนร่วม โดยเฉพาะอ่านพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า สลับกับพระสงฆ์ สังฆานุกร ให้สัตบุรุษ ดู อักษร พ. จากหนังสือพิธีกรรม
ใบจาก ใบตาล ใบลาน เริ่มลดน้อยลง เจ้าของต้นไม้เหล่านี้ต่างหวงและปรารถนาจะรักษาพืชผลของเขาไว้จึงต้องปรับแนวทางการใช้ใบไม้สกุลปาล์มกันใหม่ ดังนั้นในปีนี้ทางวัดเริ่มเสริมใบหมากเข้ามาเพราะเป็นต้นๆ และไม้ประดับตบแต่ง จึงเริ่มนำมาใช้มีทั้งใบและต้น ใบสามารถวางไว้บนแท่นพระหรือในที่เหมาะสม ส่วนเป็นต้นก็นำไปปลูกหรือดูแลไว้ มีความหมายดี (ใบทางวัดมอบให้) ส่วนเป็นต้นๆ ก็ช่วยค่าใช้จ่ายเพื่อร่วมด้วยช่วยกัน ใครที่ห่วงเรื่องเสกแล้ว ก็ขอจัดสิ่งเหล่านี้ไว้ในที่เหมาะสม ไม่ทิ้งขว้างหรือวางไว้ในที่ไม่เหมาะสม บางทีต้นหมากเขียวก็สามารถปลูกไว้หน้าบ้านเพื่อเตือนใจถึงการต้อนรับพระเยซูเจ้าเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า เราจะได้ภูมิใจในชีวิตคริสตัง
ค่ำคืนวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ 29 มีนาคม 19.00 น. พิธีล้างเท้าในมิสซาให้กับตัวแทนพี่น้อง 12 คน พ่อจะเลือกผู้แทนของพี่น้องที่มาวัดเป็นประจำจากแต่ละรอบของเสาร์อาทิตย์แบบครอบครัวสม่ำเสมอสัก 12 บ้าน เพื่อให้มีบรรยากาศของชุมชนคริสตชนที่ชวนครอบครัวกันมาหาพระเยซูเจ้าในวันเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระองค์ ในปีนี้พระอัครสมณฑูตวาติกันประจำประเทศไทยจะกระทำพิธีล้างเท้า ณ บริเวณที่นั่งของสัตบุรุษในวัด ใครที่นั่งใกล้คงได้เห็นอย่างใกล้ชิด
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ 30 มีนาคม 19.00 น. การนมัสการไม้กางเขนใหญ่ใช้เพียงไม้เดียวจะกระทำในวัด ส่วนการจูบกางเขนในพิธีให้คณะสงฆ์ ตัวแทนอัครสาวกและผู้สูงอายุซึ่งมากับรถก่อน สำหรับสัตบุรุษทั่วไปให้เดินมาจูบ หลังจบพิธีอวยพรภาวนารับศีลมหาสนิทแล้วอย่างสงบและเรียบร้อย ไม้กางเขนใหญ่คงตั้งไว้จนถึงเที่ยงของวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำตามแนะนำให้สัตบุรุษรำพึงถึงความตายของพระเยซูเจ้าเพื่อการไถ่บาปของชาวเรา
เวลา 18.30 น. ของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มเดินรูป 14 ภาค ส่งท้ายมหาพรตปีนี้

พ่อเจ้าวัดเซนต์หลุยส์
.......................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง  

                  ชาวกรีกมีนิสัยชอบท่องเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อทำการค้าขายและแสวงหาสิ่งใหม่ๆ  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม ระหว่างเทศกาลปัสกาอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ นอกจากชอบแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ แล้ว ชาวกรีกยังชอบแสวงหาความจริงเป็นชีวิตจิตใจ  พวกเขาชอบศึกษาลัทธิปรัชญา และศาสนาต่าง ๆ  และมักเปลี่ยนอาจารย์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ความจริงที่น่าพอใจ  ชาวยิว กลุ่มนี้คงได้เข้าไปในพระวิหารที่ลานชั้นนอกสำหรับคนต่างศาสนา และมีโอกาสเห็นพระเยซูเจ้าชำระพระวิหาร จนเกิดแรงบันดาลใจให้อยากรู้จักพระองค์พวกเขาไปหาฟิลิป อาจเป็นเพราะชื่อฟิลิปเป็นภาษากรีก แต่ฟิลิปไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาจึงไปปรึกษาอันดรูว์ซึ่งเคยพาเปโตร และเด็กชายเล็ก ๆ พร้อมกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัวไปพบพระเยซูเจ้า แล้วอันดรูว์รู้ดีว่าไม่มีใครน่ารำคาญหรือน่าเบื่อหน่ายสำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ไม่เคยขับไล่ไสส่งคนที่มีหัวใจแสวงหาพระองค์ให้กลับไปมือเปล่า เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้วคำพูดของพระเยซูเจ้าประโยคนี้คงทำให้ผู้ฟังพากันกั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาคาดหวังนั้นช่างต่างกับสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการหมายถึงราวหน้ามือกับหลังมือ คำ บุตรแห่งมนุษย์มีที่มาจากหนังสือประกาศกดาเนียลบทที่ 7 ข้อ 13-14 ที่ว่า ดูเถิด มีท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์มาพร้อมกับบรรดาเมฆของสวรรค์ และท่านมาหาผู้เจริญด้วยวัยวุฒินั้น เขานำท่านมาเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์  ราชอำนาจ ศักดิ์ศรี กับราชอาณาจักร เขานำมามอบไว้กับท่าน เพื่อบรรดาชนชาติ ประชาชาติทั้งปวง และภาษาทั้งหลายจะปรนนิบัติท่าน ราชอาณาจักรของท่านเป็นราชอาณาจักรนิรันดร์ เบื้องหลังของคำทำนายนี้คือ โลกในยุคของดาเนียลตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรใหญ่สี่แห่งอันได้แก่ อัสซีเรีย บาบิโลน มีเดีย และเปอร์เซีย  ผู้คนของทั้งสี่อาณาจักรล้วนมีจิตใจโหดร้ายเหมือนสัตว์ป่าซึ่งดาเนียลเปรียบตัวแรกเป็นสิงโตมีปีกนกอินทรี  ตัวที่สองเหมือนหมีที่มีกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ระหว่างฟัน  ตัวที่สามเป็นเสือดาวสี่หัวพร้อมกับปีกนกสี่ปีก  และตัวสุดท้ายเป็นสัตว์ร้ายพร้อมฟันเหล็กมหึมาที่น่ากลัวที่สุดจึงเป็นความใฝ่ฝันของชาวยิวที่จะเห็นอำนาจใหม่และอาณาจักรใหม่ ที่ผู้คนมีจิตใจอ่อนโยนเหมือน บุตรมนุษย์ไม่ใช่ดุร้ายเหมือน ลูกสัตว์ป่า
            แต่ยุคทองแห่งอำนาจใหม่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อชาวยิวเป็นเพียงชนชาติเล็ก ๆ และอ่อนแอ  หนทางเดียวที่จะเป็นไปได้คืออาศัย พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า
            บุคคลที่มีจิตใจเหมือน บุตรมนุษย์ในภาพนิมิตของดาเนียล จึงถูกนำมาใช้เพื่อหมายถึง บุตรแห่งมนุษย์ที่พระเจ้าจะส่งมาเพื่อนำพาชาวยิวไปสู่ยุคใหม่แห่งอำนาจและสถาปนาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เที่ยงแท้ถาวร เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่า เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้วย่อมหมายความว่าปี่กลองรบได้ลั่นแล้ว  ขบวนการกู้ชาติได้เริ่มต้นแล้ว
            แต่ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าไม่ได้หมายถึงอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ทางโลก ตรงกันข้าม พระองค์หมายถึง กางเขนน่าเสียดายที่ชาวยิวไม่เข้าใจคำสอนของพระองค์ อีกทั้งไม่พยายามที่จะเข้าใจอีกด้วย นอกจากจะสอนว่า กางเขนเป็นหนทางสู่ พระสิริรุ่งโรจน์แล้ว พระองค์ยังได้ประทานคำสอนอันเป็นอมตะแก่เราอีก 3 ประการด้วยกัน
    1. ความตายก่อให้เกิดชีวิต  เมล็ดข้าวสาลีจะไม่บังเกิดผลเลยหากมันถูกเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยและมั่นคง ต่อเมื่อมันถูกโยนและจมลงบนพื้นดินที่เย็นชุ่มดุจดังหลุมศพนั่นแหละ มันจึงจะเจริญงอกงามและบังเกิดผลในอดีต ไม่ใช่เป็นเพราะโลหิตของบรรดามรณสักขีดอกหรือที่ทำให้พระศาสนจักรเจริญเติบโตดังเช่นปัจจุบัน สำหรับตัวเราก็เช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่เราฝังความต้องการและความทะเยอทะยานส่วนตัว เมื่อนั้นเราจะกลายเป็นข้ารับใช้ที่มีประโยชน์ยิ่งสำหรับพระเจ้า
    2.การสละชีวิตจะรักษาชีวิตไว้  ผู้ที่รักชีวิตของตนมักมีสาเหตุ 2 ประการคือ เห็นแก่ตัว และต้องการความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ให้เราลองจินตนาการดูว่าโลกของเราจะสูญเสียอะไรบ้าง หากไม่มีผู้ใดพร้อมจะสละความเห็นแก่ตัวหรือความมั่นคงในชีวิตของตน เพื่องานพัฒนาวิจัยด้านต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยอันตรายและเสี่ยงภัย  โลกของเราเป็นหนี้บุญคุณผู้ที่พลีแรงกายและแรงใจอุทิศตนแด่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์มากมายมหาศาลจริง ๆ พระเยซูเจ้าจึงตรัสย้ำหลายครั้งหลายโอกาสว่า ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ย่อมจะรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร” (มก 8:35; มธ16:25; 10:39; ลก 9:24; 17:33)
    3.  การรับใช้นำมาซึ่งเกียรติอันยิ่งใหญ่  บุคคลที่โลกจดจำด้วยความรักคือผู้ที่อุทิศตนรับใช้ผู้อื่น แต่น่าเสียดายที่โลกยุคใหม่รู้จักการรับใช้น้อยลงทุกที สิ่งที่พวกเขาสนใจคือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งแม้จะทำให้เขาร่ำรวยเป็นเศรษฐีหมื่นล้านได้ แต่จะไม่มีผู้ใดรักเขา บังเอิญว่า ความรักคือ ความมั่งคั่งที่แท้จริงของชีวิต ยิ่งเป็นการรับใช้พระเยซูเจ้าด้วยแล้ว เกียรติที่ได้รับนั้นช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ เพราะพระองค์ตรัสว่า ผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา”“บัดนี้ ใจของเราหวั่นไหว...บัดนี้ เจ้านายแห่งโลกนี้กำลังจะถูกขับไล่ออกไป” (ข้อ 27,31)ยอห์นไม่ได้เล่าเรื่องความทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนีเหมือนผู้เขียนพระวรสารคนอื่น  แต่ท่านเล่าตอนนี้ว่าพระองค์พยายามหลีกหนีกางเขนเช่นกัน ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้” (ข้อ 27) แน่นอน ไม่มีใครอยากตายขณะอายุ 33 ปี  ยิ่งเป็นความตายบนไม้กางเขนด้วยแล้วยิ่งไม่มีใครต้องการ  พระเยซูเจ้าก็กลัวและไม่ต้องการเช่นเดียวกันเพราะกลัว คุณค่าแห่งความนบนอบที่พระองค์มีต่อพระบิดาจึงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง  หากพระองค์นบนอบได้ง่าย ๆ แล้วจะมีคุณค่าได้อย่างไร เพราะ ความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ ไม่กลัวแต่อยู่ที่ แม้กลัวจนตัวสั่นก็ยัง ทำในสิ่งที่ควรทำ ทั้ง ๆ ที่กลัวและเครียด พระเยซูเจ้าก็ยังมีความบรรเทาใจ เพราะทรงมองเห็นชัยชนะรออยู่เบื้องหน้า หากพระองค์นบนอบพระบิดาและยอมรับไม้กางเขน ผลที่จะตามมาคือ เจ้านายแห่งโลกนี้ (ซาตาน) จะถูกขับไล่ออกไปนอกจากอำนาจของซาตานจะถูกทำลายแล้ว พระองค์ยังมองเห็นภาพที่พระองค์ถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน สามารถดึงดูดมนุษย์ทุกคนให้มาหาพระองค์เมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน เราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา” (ข้อ 32)พระองค์ตระหนักดีว่า หนทางสู่ชัยชนะขั้นสูงสุดอยู่ที่ พลังดึงดูดของไม้กางเขนและประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์เป็นฝ่ายถูกพลังรักไม่มีวันตาย  ส่วน พลังอำนาจตายหมด แต่อาณาจักรของพระคริสตเจ้าซึ่งมีรากฐานอยู่ที่ ไม้กางเขนยังคงอยู่ และกำลังแผ่ขยายออกไปทุกวัน แต่พระองค์เลือกเป็นกษัตริย์แห่งความรักที่มีบัลลังก์จารึกอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคนชั่วกัลปวสานอาณาจักรของพระองค์มีพื้นฐานอันมั่นคงอย่างยิ่งนั่นคือ ความรักอันเสียสละ” !
คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2018

พี่น้องที่รัก
“จงภูมิใจในไม้กางเขน นี่คือชัยชนะเหนือความตายต่อบาปทั้งปวง”
ในที่สุด เราได้พบความจริงแล้ว พระเยซูเจ้าคือความจริงของชีวิต ความตายไม่ใช่จุดจบสุดท้าย แต่เป็นหนทาง ความจริงและชีวิต ที่เราได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไปในบ้านของพระองค์
เมื่อวันศุกร์ที่ 9 และและเสาร์ที่ 10 มีนาคมวัดเซนต์หลุยส์ได้จัด 24 ชั่วโมงเพื่อพระคริสตเจ้า เป็นการนมัสการศีลมหาสนิทภายในวัดพระจิตของโรงพยาบาล 24 ชั่วโมงและการรับศีลอภัยบาป เป็นเวลาพิเศษแห่งพระหรรษทานของการเดินทางมหาพรต พระสันตะปาปาปรารถนาให้เปิดประตูวัด 24 ชั่วโมง เพื่อการกลับใจเดินเข้ามาหาพระองค์ “อีกครั้งหนึ่ง” และคงจะเป็นเวลาแบบนี้(ก่อนสัปดาห์ที่สามมหาพรต)ทุกปีไป เพื่อเป็นการก้าวเข้าไปหาพระแบบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ENCOUNTER WITH GOD
ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยกัน “เปิดโอกาส” คือการเปิดประตูใจของกันและกัน ทำให้หลายคนกล้าเดินเข้ามาหาพระองค์ได้ทุกเวลาที่ต้องการ  พระองค์ให้เวลาเสมอๆ ถึงแม้ว่าวัดจัดเพียงแค่ 24 ชั่วโมง แต่เราก็ยังสามารถไปเฝ้าศีลที่วัดและรับศีลอภัยบาปได้อย่างสม่ำเสมอต่อๆไป คงไม่จำเป็นที่วัดเซนต์หลุยส์หรือวัดพระจิตเจ้า
ในวันนี้ มีคู่มือเตรียมสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์มอบให้ทุกคนเพื่อเราจะมีส่วนร่วมกับพิธีสำคัญๆได้อย่างเข้าใจเพื่อนำไปใช้ควบคู่ไปกับหนังสือพิธีสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของวัด(ฉบับใหม่)ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันอาทิตย์ใบลานและตรีวารปัสกาคือพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ และเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ จุดประสงค์คือการมีส่วนร่วม เข้าใจ และไม่พะวงกับความสั้นยาวของพิธี เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องพิธีสำคัญของเวลาช่วงสุดท้ายของพระเยซูเจ้าไถ่บาปบนโลกนี้
เนื่องจากปีนี้ใบจาก ใบตาล ใบลาน เริ่มลดน้อยลง เจ้าของต้นไม้เหล่านี้ต่างหวงและปรารถนาจะรักษาพืชผลของเขาไว้ จึงต้องปรับแนวทางการใช้ใบไม้สกุลปาล์มกันใหม่ ดังนั้นในปีนี้ทางวัดเริ่มเสริมใบหมากเข้ามาเพราะเป็นต้นๆและไม้ประดับตบแต่ง จึงเริ่มนำมาใช้มีทั้งใบและต้น ใบสามารถวางไว้บนแท่นพระหรือในที่เหมาะสม ส่วนเป็นต้นก็นำไปปลูกหรือดูแลไว้ มีความหมายดี (ใบทางวัดมอบให้) ส่วนเป็นต้นๆก็ช่วยค่าใช้จ่ายเพื่อร่วมด้วยช่วยกัน ใครที่ห่วงเรื่องเสกแล้ว ก็ขอจัดสิ่งเหล่านี้ไว้ในที่เหมาะสม ไม่ทิ้งขว้างหรือวางไว้ในที่ไม่เหมาะสม บางทีต้นหมากเขียวก็สามารถปลูกไว้หน้าบ้านเพื่อเตือนใจถึงการต้อนรับพระเยซูเจ้าเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า เราจะได้ภูมิใจในชีวิตคริสตัง
ค่ำคืนวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์พิธีล้างเท้าในมิสซาให้กับตัวแทนพี่น้อง 12 คน พ่อจะปรึกษาหารือผู้เกี่ยวข้องเพื่อเลือกผู้แทนของพี่น้องที่มาวัดเป็นประจำจากแต่ละรอบของเสาร์อาทิตย์แบบครอบครัวสม่ำเสมอสัก 12 บ้าน เพื่อให้มีบรรยากาศของชุมชนคริสตชนที่ชวนครอบครัวกันมาหาพระเยซูเจ้าในวันเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระองค์
ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ การนมัสการไม้กางเขนใหญ่ใช้เพียงไม้เดียวจะกระทำในวัด ส่วนการจูบกางเขนในพิธีให้คณะสงฆ์ ตัวแทนอัครสาวกและผู้สูงอายุซึ่งมากับรถก่อน สำหรับสัตบุรุษทั่วไปให้เดินมาจูบ หลังจบพิธีอวยพรภาวนารับศีลมหาสนิทแล้ว

พ่อเจ้าวัดเซนต์หลุยส์
..............................................................................
                    

สวัสดีครับพี่น้อง
            ในความมืดมุ่งหมายได้สว่าง สุดปลายทางที่หวังตั้งใจได้ หนทางนี้ทุกคนมีที่รวมใจ เพื่อประชาธิปไตยไทยทุกคน อย่ายอมท้อต่อความมืดที่อึดอัด มองให้ชัดแสงสว่างทางข้างหน้า ไปให้ถึงไปทางอย่างศรัทธา ในไม่ช้าปวงประชาชนพาพบชัย เมื่อมีความมืดย่อมมีความสว่าง เมื่อมีหนทางย่อมมีจุดหมาย ทะเลที่ไร้คลื่นดูแล้วฝืนธรรมชาติ คนที่มีความฉลาด ไม่บังอาจฝืนตนได้ ทะเลอันกว้างใหญ่ ดังใจที่แสนกว้าง ทั่วทิศทุกเส้นทาง ไม่อ้างว้างไร้น้ำใจ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจุดหมายนั้น จะมีแสงสว่างที่น่าชื่นชม  ไม่ใช่ไฟที่คอยเผาผลาญให้ทุกคนจมดับไหม้ อยู่ในวังวนแห่งความเลวร้าย คนที่ยังต้องทนทุกข์ คือคนที่ต้องการและแสวงหาอยู่ร่ำไป  ไม่รู้จักพอ  ไม่รู้จักอิ่ม
            จะโชคดีมีสุขมีอยู่กับเพื่อนสมาชิกร่วมจิตวิญาณเดียวกัน บางคนมามืด ไปมืด  แต่บางพวก มาสว่าง แต่อยากไปมืด มีทรัพย์ศฤงคารมาก แต่ใช้ สร้างอกุศลกรรม โกงกิน เห็นแก่ตัว คงไม่มีไปสว่างได้ เมื่อวานเราก็รู้สึกแย่มากๆๆๆๆๆๆๆ ท้อ กับอะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความยุติธรรมในสังคมไทยตอนนี้ คนที่มีความรู้สึกท้อกว่าเราคงเป็นเจ้าหน้าที่ ความดีต้องชนะความชั่ว!!! อย่างน้อยชาวโลกจะได้รับรู้แล้วว่าใครดีใครเลวจริงๆ เมื่อใจคนปนริษยา ย่อมส่อออกมาแลเห็นได้ ว่าชีวิตมีแต่ร้อนรุ่ม ปนทุกข์ สุขยากเย็น ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นช่างเข็ญใจ ไม่มีใครในโลกที่ไม่เคยมีทุกข์ แต่จงอย่าจมกับความทุกข์นั้น มองทะลุความทุกข์  จะเห็นแสงสว่างของความจริงที่ซ่อนอยู่
            จงอย่าบิดเบือนความจริง จงอย่าแหกกฎ จงอย่าทำผิดคิดกบฏ หรือคิดเปลี่ยนกฎที่พระเจ้าทรงสร้าง ถ้าปราชญ์มีเรื่องโต้เถียงกับคนโง่ ไม่ว่าจะดุเดือดหรือหัวเราะ ก็ไม่มีวันสงบลงได้ คนที่กระหายเลือด ย่อมเกลียดความเที่ยงธรรม คนโง่มักปล่อยความคิดของตนให้พุ่งออกมาเต็มที่ แต่ปราชญ์จะยับยั้งความปราดเปรื่องเอาไว้ในใจเสมอ ไม้เรียวและคำตักเตือนทำให้เกิดปัญญา ผู้ที่ฟังและปฏิบัติตามจะไม่อับอายเลย คนที่สักแต่สอน แต่ไม่ฝึกฝนในสิ่งที่ตนสอนจะไปเข้าใจคำสอนได้อย่างไร ความสว่างได้เข้ามาในโลก แต่มนุษย์รักความมืด แทนที่จะรักความสว่าง เพราะการกระทำของพวกเขาชั่วร้าย  ทุกคนที่ทำชั่วก็เกลียดความสว่าง และจะไม่เข้ามาในความสว่างเพราะกลัวว่าการกระทำของตนจะถูกเปิดโปง  แต่ผู้ใดที่มีชีวิตอยู่โดยความจริงย่อมมาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ตนทำนั้นได้ทำไปโดยพึ่งพระเจ้าองค์ความสว่างและองค์แห่งความจริง

คพ. พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2018


พี่น้องที่รัก
“มหาพรตเป็นการชำระจิตใจของตนอันเป็นวิหารของพระเจ้า”
มหาพรตเป็นเวลาพิเศษเพื่อชำระตนเอง การกลับใจ การเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นและกล้าชำระจิตใจของตนอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อให้การเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระจิตเจ้านับตั้งแต่วันรับศีลล้างบาป ทำให้วิหารของพระเจ้ากลับมาสะอาดและขาวบริสุทธิ์ดั่งเดิม  อย่าปล่อยให้การผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะวันนี้คือวานนี้ของพรุ่งนี้ เราเข้าสู่สัปดาห์ที่สามมหาพรตแล้ว
ในวันศุกร์ที่ 9 และและเสาร์ที่ 10 มีนาคมก่อนสัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต พระสันตะปาปาเชิญชวนให้เรามีเวลา 24 ชั่วโมงเพื่อพระคริสตเจ้า ด้วยการนมัสการศีลมหาสนิทและการกลับใจ วัดเซนต์หลุยส์ จัดให้มีเวลาชำระจิตใจ ด้วยการเดินทางมาวัด เฝ้าศีลชั่วโมงไหนก็ได้ และรับศีลอภัยบาปในเวลาที่กำหนดคือวันศุกร์เวลา 19.00 น. และวันเสาร์เวลา 10.00 น. ทุกชั่วโมงเช้าสายบ่ายเย็นกลางคืนดึกดื่นเท่าไรมีเวลาเพื่อเงียบสงบและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ได้  โปรดดูคู่มือ “24 ชั่วโมงเพื่อพระคริสตเจ้า” การร่วมมิสซาประจำวัน เดินรูป 14 ภาค เป็นเวลาที่เราสามารถทำร่วมกันได้ในวัดเซนต์หลุยส์  และเปิดวัด24ชั่วโมงที่วัดพระจิตเจ้าเพื่อสลับเวรมาเฝ้าศีลและสวดสายประคำ และสวดแบบทำวัตรต่อหน้าศีลมหาสนิท ได้จัดกำหนดเวลาเพื่ออำนวยความสะดวกให้
เราจะเรียกกิจการเหล่านี้ว่าอะไรดี เข้าเงียบ กลับใจ แก้บาปรับศีล เฝ้าศีล ทำพลีกรรม แต่ทั้งหมดนี้คือเวลาพิเศษแห่งพระหรรษาทานของมหาพรตก่อนการเข้าสู่สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์และเตรียมฉลองปัสกาประจำปี
บรรยากาศชุมชนวัดเซนต์หลุยส์จะเหมือนกับคำพูดนักบุญเปโตรต่อพระเยซูเจ้าบนภูเขาสูงตามลำพังไหมว่า “ที่นี่สบายๆน่าอยู่จริงๆ” สัตบุรุษที่มีความพร้อม บรรยากาศสถานที่ รวมทั้งทำความเข้าใจเรื่องการ “ตื่นเฝ้า 24 ชั่วโมง”ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระสันตะปาปา ก้าวสำคัญต่อไปของการเป็นศิษย์พระคริสต์ ขณะกำลังตื่นเฝ้าอยู่กับพระองค์ในสวนมะกอก ค่ำคืนก่อนรับพระมหาทรมานเพื่อการไถ่บาปเราทุกคน
หนังสือคู่มือ 24 ชั่วโมง เพื่อการตื่นเฝ้า ขอมอบให้กับพี่น้องเพื่อพิจารณาคำสอนของพระสันตะปาปา และสลับเวรกันมาตื่นเฝ้า ครั้งละ 1 ชั่วโมงที่วัดพระจิตเจ้า ส่วนมิสซาและการเดินรูปที่วัดใหญ่จะเปิดปิดเป็นเวลาตามปกติ การรับศีลอภัยบาป จะมีวจนพิธีกรรมที่วัดใหญ่เซนต์หลุยส์ในวันศุกร์ที่ 9 ตอนหนึ่งทุ่ม และวันเสาร์ที่ 10 เวลา 10.00 น.
ในวันอาทิตย์หน้าพ่อจะมอบคู่มือเตรียมสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเราจะมีส่วนร่วมกับพิธีได้อย่างเข้าใจเพื่อใช้ควบคู่ไปกับหนังสือพิธีสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของวัด โดยเฉพาะตั้งแต่วันอาทิตย์ใบลานและตรีวารปัสกา
ขอให้ทุกคนได้พบกับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เทอญ

พ่อเจ้าวัดเซนต์หลุยส์
..................................................................................................
                    
สวัสดีครับพี่น้อง
            ในช่วงเวลาของพระคริสต์และยุคพันธสัญญาใหม่ พวกสะดูสีจัดเป็นพวกชนชั้นขุนนาง พวกเขามีแนวโน้มเป็นผู้มั่งคั่งและดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจ รวมทั้งตำแหน่งปุโรหิตใหญ่และมหาปุโรหิต และพวกเขาเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่ครอง 70 ที่นั่งของสภาการปกครองที่เรียกว่าศาลสูงสุด พวกเขาทำงานหนักเพื่อรักษาความสงบสุขสอดรับกับคำตัดสินของกรุงโรม (อิสราเอลในเวลานี้อยู่ภายใต้การปกครองโดยพวกโรมัน) และพวกเขาดูเหมือนจะเข้าเกี่ยวข้องด้านการเมืองมากกว่าด้านศาสนา เพราะพวกเขาต้องปรับตัวให้เหมาะกับกรุงโรม และพวกเขาเป็นชนชั้นสูงที่มีความมั่งคั่ง พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนธรรมดาทั่วไป และคนทั่วไปก็ไม่ยกย่องนับถือพวกเขามาก คนธรรมดาทั่วไปมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเหล่าคนที่เป็นพวกฟาริสี แม้ว่าพวกสะดูสีถือครองที่นั่งส่วนใหญ่ในศาลสูง ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะต้องไปเข้าร่วมกับความคิดของชนกลุ่มน้อยฟาริสี เพราะพวกฟาริสีเป็นที่นิยมท่ามกลางฝูงชนส่วนใหญ่ ในด้านศาสนา พวกสะดูสีเป็นพวกอนุรักษ์นิยมในหลักคำสอนอย่างหนึ่ง พวกฟาริสีเล่าปากเปล่าขนบธรรมเนียมประเพณีถ่ายทอดสู่รุ่นต่อไปพอ ๆ กับรักษาความน่าเชื่อถือแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่บันทึกไว้ ในขณะที่พวกสะดูสีนับถือเฉพาะพระวจนะที่บันทึกไว้ว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้า พวกสะดูสีสงวนรักษาความน่าเชื่อถือของพระคำของพระเจ้าที่บันทึกไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยโมเสส (ปฐมกาลจนถึงเฉลยธรรมบัญญัติ) ขณะที่พวกเขาควรได้รับการยกย่องสำหรับเรื่องนี้ แน่นอนพวกเขาไม่ได้เป็นคนสมบูรณ์แบบในมุมมองหลักความเชื่อ ต่อไปนี้เป็นรายการหลักข้อเชื่อสั้น ๆ ที่พวกเขายึดถือซึ่งขัดแย้งกับพระคัมภีร์
            1. พวกเขาพอใจที่สุดต่อประเด็นที่ปฏิเสธว่าพระเจ้าทรงเข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวัน
            2. พวกเขาได้ปฏิเสธการฟื้นคืนพระชนม์จากตาย (มัทธิว 22:23; มาร์ค 12: 18-27; บารมี 23: 8)
            3. พวกเขาได้ปฏิเสธชีวิตหลังความตาย ถือว่าจิตวิญญาณตายไปหลังจากเสียชีวิต และดังนั้นจึงปฏิเสธการลงโทษ หรือบำเหน็จรางวัลหลังความตายฝ่ายโลก
            4. พวกเขาได้ปฏิเสธการดำรงอยู่ฝ่ายวิญญาณ เช่น ทูตสวรรค์และมารร้าย (กิจการ 23: 8)
อะไรคือบ้านของพระบิดาอิฐและปูนปั้นเหล่านั้นน่ะหรือคือบ้านของพระบิดา พระบิดาผู้ทรงเป็นจิต และเป็นจิตบริสุทธิ์สุดจะบรรยาย จะยอมขังตัวของพระองค์เองให้อยู่ภายในอาคารอิฐและปูนปั้นเหล่านั้นหรือ และถ้าพระเป็นเจ้าจะประทับอยู่ในบ้านที่ทำด้วยอิฐและปูนปั้นจริงๆแล้ว พระองค์จะยอมปล่อยให้บ้านที่ประทับของพระองค์ถูกทำลายไปครั้งแล้วครั้งเล่าเทียวหรือ พระวิหารเป็นหัวใจของชาวยิว และที่พระเยซูทรงเรียกว่าบ้านของพระบิดา อันทำด้วยอิฐและปูนปั้น ตกแต่งภายในและภายนอกอย่างหรูหรา ด้วยวัสดุราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นไม้ เงิน หรือ ทองคำ พระวิหารเหล่านั้นได้ถูกทำลายลงและได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าหลงไว้วางใจในคำหลอกลวงที่ว่า “นี่เป็นพระวิหารของพระยาห์เวห์ เพราะฉะนั้นมันไม่มีวันถูกทำลาย ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า พระวิหารนี้จะต้องสะอาด อย่าทำบ้านพระบิดาของเราให้เป็นตลาดสดเน่าเหม็น สกปรก คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวของโลกีย์ รกรุงรังไปด้วย ขยะของโลก รวมทั้งวิถีของโลก” เราจะยอมให้พระองค์ทำความสะอาดหรือไม่
คพ. พงษ์เกษม