วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สารวัดอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้อง

ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ และ โทรทัศน์เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับนักเรียนอดอาหารประท้วง ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง เพราะนักเรียนเหล่านี้ถูกคัดชื่อออกจากโรงเรียนไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไปได้ นับเป็นข่าวครึกโครมข่าวหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาทุกๆปี ในช่วงเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ มักจะมีข่าวเกี่ยวกับผู้ปกครองต่างก็หาทางให้ลูกๆเข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังด้วยการจ่ายเงินบริจาคเป็นค่าแรกเข้า เพื่อจะแน่ใจได้ว่ามีที่นั่งสำหรับลูกๆของตนในโรงเรียนแห่งนั้น แต่คราวนี้กลับกลายเป็นตัวนักเรียนเองที่ออกมาประท้วงโดยการอดอาหารเพื่อขอความเป็นธรรม ก็เลยกลายเป็นเรื่องแปลกไปกว่าทุกๆครั้ง สื่อมวลชนเลยให้ความสนใจเป็นกรณีพิเศษ
การให้การศึกษาอบรมสำหรับเด็กๆ และ เยาวชน ถือเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกๆฝ่ายต้องให้การเอาใจใส่ เพราะเด็กและเยาวชน คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เขาคืออนาคตของประเทศชาติ และสังคม การเรียนการสอนในโรงเรียนนั้นมักเน้นในด้านวิชาความรู้เป็นหลัก แต่โรงเรียนต้องไม่ละเลยที่จะปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็กนักเรียนควบคู่กันไปด้วย  น่าดีใจที่เดี๋ยวนี้รัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมด้านการศึกษาด้วยการจัดงบประมาณจำนวนมากให้กระทรวงศึกษามาใช้พัฒนาด้านต่างๆสำหรับการศึกษาในทุกระดับ ในส่วนของนักเรียนในระดับประถม และ ระดับมัธยม ผู้ปกครองก็ได้รับผลพวงเรื่องช่วยค่าใช้จ่ายบางด้าน อาทิ ค่าเล่าเรียน ค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือ ฯลฯ เพื่อลดภาระของพ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งก็ถือว่าแบ่งเบาภาระไปได้พอสมควร
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เคยกล่าวไว้ว่าครอบครัว คือโรงเรียนแห่งแรก ที่เด็กๆจะได้เรียนรู้จักความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนจากพ่อแม่ความหมายก็คือว่า ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆนั้นเป็นความรักที่บริสุทธิ์ และเป็นรักที่มีแต่ให้ให้ในที่นี้คือ ให้การเลี้ยงดู ให้ความเอาใจใส่ ให้ความห่วงใย ให้ความปรารถนาดี แต่ถ้าลูกขอในสิ่งที่ไม่สมควรจะให้ก็ต้องรู้จักปฏิเสธ และไม่ให้บ้าง เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นการตามใจไปเสียทุกเรื่อง ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เด็กเสียนิสัย  ถามว่าแล้วเราจะเลี้ยงลูกอย่างไร หล่อหลอมเขาอย่างไร ถึงจะทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างที่เราปรารถนาให้เขาเป็น ถ้าจะตอบสั้นๆให้ได้ใจความก็คือ อย่าเลี้ยงลูกด้วยเงิน แต่จงให้เวลากับลูกๆให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพ่อแม่คือครูคนแรกของลูกนั่นเอง
วันนี้เป็นวันฉลองพระจิตเจ้า พ่อขอภาวนาวิงวอนขอองค์พระจิตเจ้า โปรดประทานความพากเพียรให้กับพ่อแม่ทุกๆคน ที่จะให้เวลากับบุตรหลานของตน เพื่อคอยเฝ้าแนะนำ อบรม สั่งสอน ให้เด็กๆเจริญเติบโตขึ้นอย่างอบอุ่นในสายสัมพันธ์แห่งความรักที่พ่อแม่มอบให้กับเขา สอนเขาให้รู้จักรักพระเจ้า และ รู้จักมีใจกว้างกับเพื่อนพี่น้อง แล้วเมื่อเขาโตขึ้น ในภายภาคหน้า เขาจะเป็นผู้นำความภาคภูมิใจมาให้กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดชีวิตเขามา ซึ่งเป็นความปีติที่ล้ำค่าอย่างหาที่สุดมิได้
                                                                                                                                 พ่อสุพจน์

..................................................................................................................................................................

พระผู้เป็นองค์ความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกัน

            พี่น้องที่รัก หากนับตามปฏิทินพระศาสนจักรก็นับว่าวันนี้เป็นวันครบรอบบวช ๑ ปีของพ่อเองแล้ว ขณะเดียวกันนั้น ก็น่ายินดีกับพระสงฆ์ที่ขึ้นมาทำงานในพระศาสนจักรกรุงเทพฯ ใหม่อีก ๓ องค์ด้วย (พ่อก็ไม่ใช่พระสงฆ์ใหม่อีกแล้ว) เนื่องด้วยอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ได้กำหนดให้งานบวชพระสงฆ์ใหม่มีขึ้นในวันสมโภชพระจิตเจ้าของทุกปี
            วันนี้จึงน่าจะเป็นวันที่เราทบทวนชีวิตภายใต้การนำของพระจิตเจ้าของเราทุกคนด้วย ตลอด ๑ ปีที่ผ่านมาทำให้ได้พบพระจิตเจ้า ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์ความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง ตามหัวข้อที่ได้ให้ไว้ตอนต้น
            เมื่อวันพุธที่ผ่านมาพวกเราพระสงฆ์หนุ่มที่อายุบวชตั้งแต่ ๗ ปีลงมา ได้ไปรวมตัวกัน รับการอบรมเพิ่มพูนความรู้และแนวคิดจากคุณพ่ออภิสิทธิ์ สงฆ์คณะพระมหาไถ่ ในเรื่ององค์กรที่มีประสิทธิภาพ เริ่มต้นด้วยการให้แต่ละคนได้ใช้ความคิดเพื่อบอกลักษณะองค์กรที่อยู่คือ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ที่สังกัดอยู่ตอนนี้ว่า แต่ละคนมองเปรียบเทียบเป็นภาพอะไรเพื่ออธิบายทัศนคติต่อองค์กร
            สิ่งที่พบจากการใช้การเปรียบเทียบนี้ ๑) ไม่มีใครมองเหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะมององค์กรเดียวกันก็ตาม ๒) แม้ภาพเปรียบเทียบจะอธิบายทัศนคติได้ดี แต่ก็ยังไม่ใช่ความเป็นจริงทั้งหมดขององค์กร ดังนั้น เมื่ออยู่ร่วมกันและแบ่งปันกันก็ทำให้เราได้เปิดมุมมองของเราให้เห็นในด้านอื่นด้วย เพราะวิธีการนี้มีบทสรุปอยู่ที่ว่า “หากคนมีอคติต่อองค์กร ก็จะมองเห็นแต่อคติในด้านไม่ดี” โดยลืมที่จะมองเห็นในด้านดีด้วย
            เพื่อนพระสงฆ์ในรุ่นเดียวกับพ่อเองก็เช่นกัน เรารู้สึกกันได้ว่าเรามาจากต่างถิ่นอาศัย ต่างบรรยากาศ ต่างการอบรมเลี้ยงดู ต่างฐานะ และเมื่อมารับการอบรมด้วยกันในบ้านเณรนั้น เราก็มีความถนัดในแต่ละด้านที่แตกต่างกัน มีพระพรของพระเจ้าให้เราได้ทำงานเฉพาะทางตามความชอบของตน จริงอย่างบทอ่านที่สองว่า “พระพรมีอยู่ต่างๆ กัน แต่มีพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน หน้าที่มีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกัน กิจการมีต่างๆ แต่มีพระเป็นเจ้าองค์เดียวกัน ผู้ทรงกระทำทุกอย่างในทุกคน แต่ละคนได้รับการแสดงองค์ของพระจิตเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” (1คร12:4-7)
            เราลองมาพิจารณาองค์กรวัดเซนต์หลุยส์ของเราดูบ้างครับ ว่าเปรียบเทียบได้กับอะไร? ว่างๆ พี่น้องก็ลองมาคุยกันเล่นๆ กับพ่อดูบ้างนะครับ พร้อมบอกเหตุผลด้วย เพื่อว่าด้วยมุมมองที่แตกต่างกัน จะช่วยสร้างสรรค์และสร้างรูปแบบ (Shaping) วัดของเราให้ดียิ่งขึ้น พร้อมไปกับคณะสงฆ์ สภาภิบาล และสัตบุรุษทุกท่าน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของวัดเรา
            ขอย้ำนะครับ ชีวิตที่ดำเนินไปโดยพระจิตเจ้านั้น ต้องทำให้เราแต่ละคนที่แตกต่างกันนั้น ทำสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น สิ่งใดที่ตรงกันข้าม สร้างความแตกแยก การนินทาว่าร้าย ใส่ความกัน สิ่งนั้นไม่ได้มาจากพระจิตเจ้าอย่างแน่นอน
เราอาจสรุปด้วยคำสั้นๆ ได้ว่า “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก” หรือ “เป็นหนึ่งเดียวกันในความแตกต่าง” หรือภาษาอังกฤษเขาว่า “UNITY IN DIVERSITY” ขอพระจิตเจ้าประทับอยู่ในจิตใจพี่น้องทุกคนเสมอไป
                                                            คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สารวัด 20 พฤษภาคม 2012


พี่น้องที่เคารพรักสายน้ำไม่คอยท่า กาลเวลาไม่คอยใคร

                        เผลอแผล็บเดียว พ่อก็มาทำหน้าที่ที่วัดเซนต์หลุยส์เป็นเวลาได้สองอาทิตย์แล้ว พ่อค่อยๆศึกษา เก็บข้อมูล ฟังเรื่องราวจากทุกๆฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานอภิบาลของวัด ของโรงเรียน เรื่องการให้บริการในด้านต่างๆ และเรื่องราวที่จำเป็นรีบด่วนต้องดำเนินการ ก็พบว่ามีเรื่องที่ต้องรีบเร่งดำเนินการอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ดี บางเรื่องก็ต้องรอเวลาบ้าง บางเรื่องที่สามารถทำได้เลย ก็ทำทันที เพราะวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

            มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องดำเนินการเป็นอันดับแรกๆเลยคือ เรื่องการจัดตั้งสภาภิบาลวัดเซนต์หลุยส์ชุดใหม่ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่แทนสภาภิบาลชุดเดิมที่หมดวาระไป  พ่ออยากจะขอเกริ่นสักหน่อยนะครับว่า วัดเซนต์หลุยส์เป็นของเราทุกคน ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า พี่น้องทุกคนต่างก็มีส่วนร่วมช่วยกันทำให้วัดของเราเจริญก้าวหน้า การมีส่วนร่วมในการดำเนินการของวัดนั้นปรากฏออกมาในรูปแบบของการมีสภาภิบาล  ทั้งนี้สภาภิบาลจะเป็นผู้ให้คำปรึกษากับเจ้าอาวาส และร่วมกันเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่มวลสัตบุรุษ และ ช่วยกันดำเนินการใดๆ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของวัดและของพระศาสนจักรโดยส่วนรวม

            สมาชิกของสภาภิบาล ได้มาจากการคัดเลือกตัวแทนสัตบุรุษเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกสภาภิบาล โดยการแสดงเจตจำนงที่จะเข้ามาเป็นสภาภิบาลด้วยการยื่นใบสมัครให้กับทางวัด เมื่อทางวัดเห็นว่ามีผู้เหมาะสม สมควรได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกสภาภิบาล ก็จะเสนอให้ทางสังฆมณฑลลงนามรับรองแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาภิบาล โดยจะมีการเลือกตั้ง ผู้อำนวยการ และตำแหน่งอื่นๆตามความจำเป็น โดยมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี

            พ่อรู้สึกประทับใจมากกับการที่มีสัตุบุรุษจำนวนมากมาสวดภาวนาที่วัดเซนต์หลุยส์แห่งนี้ บรรยากาศในพิธีกรรมก็เต็มเปี่ยมด้วยความศรัทธา พ่อเห็นว่า การมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของการมีส่วนร่วมในพระศาสนจักรของหมู่มวลสัตบุรุษ การทำบุญให้ทาน การประกอบกิจศรัทธา และกิจเมตตาปรานีของเราก็เป็นการแสดงออกถึง ความอุทิศตนปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู แต่ ยังมีอีกขั้นหนึ่งของความเสียสละที่เราสามารถทำได้มากขึ้นเพื่อพระเจ้าคือ การอุทิศเวลา และ ความสามารถที่พระเจ้าประทานให้กับเรา อันเป็นการ แบ่งปันพระพรพิเศษที่พระองค์ประทานให้กับเราเพื่อประโยชน์สุขของคนจำนวนมาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแสดงความรู้คุณต่อพระเจ้าอย่างโดดเด่นในชีวิตของบุคคลคนหนึ่งที่มีความเชื่อศรัทธาในพระองค์

            พ่อจึงขอเรียนเชิญพี่น้องโปรดนำสิ่งที่พ่อเขียนข้างต้นไปพิจารณา ถ้าเป็นไปได้ อยากให้พี่น้องที่มีความพร้อมทั้งในด้านเวลา และมีความปรารถนาดีต่อวัดของเรา เข้ามาร่วมกันแบ่งปันความคิดดีๆเพื่อพัฒนาวัดของเรา ด้วยแสดงเจตจำนงที่จะก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเสริมวัดเซนต์หลุยส์ให้เจริญก้าวหน้าในทุกๆด้าน เพื่อวัดเซนต์หลุยส์ของเราจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของหมู่มวลสัตบุรุษ เป็นบ่อเกิดแห่งพระพรสำหรับทุกคนที่เข้ามาพึ่งพระเจ้า และ เป็นสถานที่แห่งความสงบร่มเย็นสำหรับทุกดวงวิญญาณ อันจะนำมาซึ่งความสุขที่เที่ยงแท้ในชีวิตนี้และความสุขนิรันดรในชีวิตหน้า

                                                                                                พ่อสุพจน์

..................................................................................................................................................................

พี่น้องที่รักทุกท่าน
            อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ 6 เทศกาลปัสกา เราสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ การฉลองเทศกาลปัสกาได้ดำเนินมาจนถึงช่วงท้ายๆ ของเทศกาลที่สำคัญนี้แล้ว สัปดาห์หน้าเราก็จะสมโภชพระจิตเจ้า ซึ่งเป็นวันที่สำคัญมากอีกวันหนึ่งที่อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ของเราจะมีการบวชพระสงฆ์ใหม่ในโอกาสนี้ด้วย ในปีนี้เราจะมีพระสงฆ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 คน จึงเป็นที่น่ายินดีที่เราจะมีศาสนบริกรเพิ่มมากขึ้นเพื่อร่วมกันทำงานของพระศาสนจักรและรับใช้พี่น้องต่อไป ขอคำภาวนาจากพี่น้องสำหรับว่าที่พระสงฆ์ใหม่ด้วย และถ้ามีโอกาสจะได้เชิญพระสงฆ์ใหม่มาถวายมิสซาให้กับพี่น้องสัตบุรุษในโอกาสต่อไป
            ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จสู่สวรรค์นั้น พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ท่านทั้งหลายจะออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทั้งปวง” ซึ่งหมายถึงว่าพระองค์ทรงมอบหน้าที่นี้ไว้ให้กับเราทุกคนที่จะทำงานในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ทุกคนที่เป็นคริสตชนได้รับมอบหน้าที่นี้เหมือนกัน แต่การประกาศข่าวดีนี้อาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่บทบาทและความสามารถของแต่ละคน ซึ่งในความแตกต่างนี้จะต้องไม่นำมาซึ่งความแตกแยกอย่างเด็ดขาด แต่สามารถนำมาซึ่งความหลากหลายได้ซึ่งที่สุดแล้วจะต้องนำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน รับใช้พระเจ้า รับใช้พระศาสนจักร รับใช้พี่น้องเพื่อนมนุษย์ แต่จะต้องไม่ทำเพื่อรับใช้ตนเองหรือเพื่อนพ้องในกลุ่มของตนฝ่ายเดียว งานของพระศาสนจักรต้องการคนที่เสียสละ จริงใจ อดทน และไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เพื่อตนเอง กล่าวมาเช่นนี้เพื่อที่จะเชิญชวนพี่น้องสัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์ที่สนใจเข้ามาทำงานรับใช้พระเจ้าและพระศาสนจักรและวัดเซนต์หลุยส์ของเรา ในฐานะของตัวแทนสัตบุรุษในคณะสภาภิบาลของวัด ซึ่งได้หมดวาระลงในปีนี้ และต้องทำการจัดตั้งสภาภิบาลวัดชุดใหม่ขึ้น จึงขอเชิญพี่น้องที่สนใจและตั้งใจจริงที่จะอุทิศตนเข้ามาทำงานนี้ ติดต่อของยื่นใบสมัครด้วยตนเองกับคุณพ่อวัดเซนต์หลุยส์ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2012 นี้
            ขอพระเป็นเจ้า แม่พระ บรรดานักบุญ และนักบุญหลุยส์ ได้ตอบแทนในน้ำใจดีของทุกท่านด้วยเทอญ

                                                                                                                                    คุณพ่อศวง

สารวัด 13 พฤษภาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน
            วัดเซนต์หลุยส์ คือวัดคาทอลิกวัดหนึ่งที่สวยงาม มีเอกลักษณ์ในด้านสถาปัตยกรรมการก่อสร้างที่โดดเด่นไม่เหมือนกับวัดใดๆเลยในประเทศไทย  มองจากภายนอกก็ดูเด่นเป็นสง่า ด้วยหอระฆัง และรูปทรงหน้าต่างทรงโค้ง กับกระจกที่ไม่มีสีสันใดๆแต่งเติม ตัดกับกำแพงผนังที่เป็นอิฐเปลือยเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ สร้างความรู้สึกเคร่งขรึม สงบ และเสริมสร้างบรรยากาศแห่งการสวดภาวนาให้กับทุกคนที่ก้าวเข้ามาในวัด เพราะสามารถสัมผัสได้ว่า สถานที่แห่งนี้คือที่ประทับขององค์พระเจ้า พระองค์ประทับอยู่กับเราที่นี่ และ พร้อมเสมอที่จะฟังคำภาวนาจากใจของเราแต่ละคน
            พ่อเคยได้ยินคำกล่าวประโยคหนึ่งว่า “วัดคือที่พึ่งทางใจ” ฟังดูแล้วน่าจะมีความหมายในทำนองที่ว่า ถ้าขาดสันติสุขในใจ ก็ต้องมาวัด เพื่อจะพบกับความสงบ และ สันติสุข ซึ่งเป็นความคิดของผู้คนทั่วๆไป แต่สำหรับเราคาทอลิก วัดไม่ได้เป็นเพียงแต่ที่พึ่งทางใจเท่านั้น แต่วัดคือที่มาแห่งพระพรของพระเจ้า สำหรับผู้มีความเชื่อในพระองค์ เขาจะได้รับความหวัง แสงสว่างและพลังใจแห่งการดำเนินชีวิต
            เพราะเป้าหมายสำคัญที่สุดแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในโลกนี้ คือ การเรียนรู้จักพระเจ้า รักพระองค์สุดจิตสุดใจของเรา และปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ด้วยการรักเพื่อนมนุษย์ เหมือนเรารักตัวเอง เพื่อเราจะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายปลายทางของเราในสวรรค์นิรันดรได้ เมื่อเราผ่านชีวิตในโลกนี้ไปแล้ว
            ชีวิตประจำวันของเราต้องเผชิญกับอุปสรรคและปัญหามากมาย ทั้งเรื่องของการงาน เศรษฐกิจ ครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง หลายครั้งเรามีความรู้สึกมืดมนกับปัญหาต่างๆที่รุมเร้าเรา จนสับสน ไม่รู้จะแก้ปัญหาอะไรก่อนอะไรหลัง จนกระทั่งหลายคนท้อแท้ สิ้นหวังไปเลย
            อย่าลืมว่า ชีวิตในโลกของเรามันสั้นนัก เมื่อเทียบกับชีวิตนิรันดรที่พระเจ้าจะประทานให้ ดังนั้นให้เราเรียงลำดับความสำคัญของเป้าหมายในชีวิตของเราให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วเราจะไม่พลาดกับเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของชีวิตของเรา
            พี่น้องที่รัก พ่อเชื่อมั่นว่า พี่น้องทุกท่านต่างก็มีความปรารถนาเดียวกันคือในที่สุดแล้วเราจะได้รับเลือกสรรให้เป็นส่วนหนึ่ง เป็นสมาชิกในบ้านแท้นิรันดรของพระบิดาเจ้าในสวรรค์
            ความสุขใจที่เราได้รับจากการมาวัด จึงเป็นเสมือนมัดจำล่วงหน้าถึง ความสุขในสวรรค์ที่เราจะได้รับซึ่งยิ่งใหญ่กว่าความคาดหมายตามประสามนุษย์ของเรามากมายนัก
            พ่อจึงอยากให้พี่น้องทุกท่านช่วยกันเสริมสร้างบรรยากาศสงบแห่งการภาวนาในวัดของเรา เพื่อทุกคนที่มาวัดจะได้พบกับความสุขใจที่พึงได้รับ จากพระเจ้า เพื่อเราจะได้รับพระพรที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันอย่างเพียงพอ เพื่อเราจะได้รับแสงสว่างและการดลใจจากพระเจ้า และเพื่อเราจะผ่านชีวิตในโลกนี้ไปอย่างราบรื่นจนบรรลุถึง สถานแห่งความบรมสุขในสวรรค์นิรันดร

                                                                                    พ่อสุพจน์



ความรักและความตาย
            พี่น้องที่รัก ลองถามตัวเราเองดูสิว่า เรามีชีวิตเพื่ออะไร? เรามีชีวิตเพื่อคนอื่น เพื่อคุณพ่อคุณแม่ เพื่อคุณปู่คุณย่า หรือคนที่เรารัก เรามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เก่งขึ้น เพื่อทำความเข้าใจโลกรอบตัวและคนรอบข้างให้มากขึ้น ใช่ไหม?
            เรามีชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรื่องร้ายหรือดีล้วนเป็นครูที่สอนเราทั้งนั้น ในเมื่อแต่ละคนแตกต่างกันออกไป คำตอบก็ต้องแตกต่างกันออกไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามเราทุกคนควรตอบให้ได้ว่า “อยู่ไปทำไม”
“เด็กสาวชื่อริต้า กำลังจะตายด้วยโรคที่เคยเป็นกับน้องชาย แต่หายดีแล้ว แพทย์ผ่าตัดจึงบอกกับน้องชายว่า “มีทางเดียวที่จะช่วยชีวิตพี่สาวเขาไว้ได้คือ หมอต้องถ่ายเลือดของเธอให้พี่สาว เธอพร้อมที่จะให้เลือดของเธอกับพี่สาวมั้ย?” น้องชายแม้จะตกใจกลัวแต่ก็ตอบไปว่า “ได้ครับ หมอ” หลังจากถ่ายเลือดเสร็จ เขาจึงถามกับหมอว่า “หมอครับ แล้วผมจะตายเมื่อไรครับ?” ดังนั้นเองหมอจึงเข้าใจได้ในความกลัวของน้อง ที่คิดว่าต้องให้เลือดเขากับพี่สาวแล้วตายไป” นี่เป็นชีวิตเพื่อคนอื่นจริงๆ ความรักของเราคริสตชนเป็นความรักที่พร้อมจะตายได้แบบนี้มั้ย?”
ความรักแบบคริสตชนคือคำเดียวกับ “ความตาย” นี่แหละ ตายเพื่อผู้อื่นได้เหมือนที่พระคริสตเจ้าทรงกระทำเพื่อเรา
แต่เมื่อพูดถึงความตาย ทุกคนก็กลัว ไม่อยากพูดถึง และดูไกลตัวเกินไป เอาอย่างนี้แล้วกัน คำที่บอกความรักแบบคริสตชนและเป็นความตายด้วยเหมือนกันคือ“ให้อภัย”
ทุกคนมีเพื่อนทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ที่วัด หรือแม้แต่ในโลกออนไลน์ การกระทบกระทั่ง การไม่เข้าใจกันก็ย่อมเกิดขึ้นบ้าง แต่อย่าลืมคำจำกัดความสั้นๆ ของเพื่อนคือ “เพื่อนต้องเข้าใจเพื่อน” ถ้าไม่เข้าใจ อย่างน้อยก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ เราไม่ได้มีเพื่อนไว้สำหรับทะเลาะกันนะครับ เรามีไว้เพื่ออยู่ข้างๆ กันตอนที่ไม่มีคนเข้าใจเรามากกว่า
การให้อภัยจึงสำคัญมากในความสัมพันธ์ทุกประเภท มีคำเปรียบเทียบการให้อภัยที่น่าฟังไว้ว่า “การให้อภัยไม่ต่างอะไรกับกาววิเศษที่สามารถซ่อมแซมทุกชิ้นส่วนที่แตกจากกัน ผสานทุกรอยร้าวได้” แต่อย่าลืมนะ “รอยร้าวยิ่งทิ้งไว้นานยิ่งซ่อมให้เหมือนเดิมได้ยาก”
ดังนั้นหากในระหว่างเรา มีเพื่อนหรือคนที่เคยเป็นเพื่อน แล้วยังไม่เข้าใจ ยังไม่ให้อภัยกัน กลับไปพิจารณาดูนะครับว่า ความรักที่พระเยซูเจ้าสอนบทบัญญัติแก่เราวันนี้คือ “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน” (ยน5:12) พระองค์อยากให้เรารักเหมือนพระองค์ อยากให้เราให้อภัย ไม่ต้องจดจำความผิด แต่จดจำในสิ่งดี รู้จักชื่นชมกัน พยายามทำความเข้าใจกัน เมื่อมีอะไรขัดเคืองกันบ้าง โกรธกันได้แต่อย่าให้นาน “อย่าให้ตะวันตกก่อนที่ท่านจะหายโกรธ” “เมื่อจะเข้ามาถวายเครื่องบูชานั้น หากยังนึกได้ว่ายังโกรธเคืองใครอยู่ ให้วางเครื่องบูชานั้น ไปขอโทษคืนดีกับเขา แล้วจึงกลับมาถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า”
ความรักแบบน้องชายของริต้า ที่ยอมตายเพื่อพี่สาวได้ การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น และที่สุด การยอมสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้าเพื่อมนุษย์ น่าจะทำให้เราพบคำตอบได้ว่า “เรามีชีวิตอยู่ไปทำไม?”
                                                                        คุณพ่อปลัดองค์เล็ก