วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2013

สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                วันนี้พระศาสนจักรสมโภชนักบุญเปโตร และ นักบุญเปาโล ผู้เป็นประดุจเสาหลักที่คอยค้ำจุนพระศาสนจักรทั้งสองท่าน นักบุญเปโตรเป็นผู้ที่มีบทบาทดำเนินชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า ในทุกๆเหตุการณ์สำคัญๆของพระเยซู ท่านมักจะอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆเสมอ เปโตรไม่ใช่บุคคลที่ดีแบบไม่มีข้อตำหนิบกพร่อง ท่านทำสิ่งที่พลั้งพลาดหลายอย่าง แต่ท่านก็น้อมรับและแก้ไขจุดบกพร่องที่ท่านมี ที่สุดท่านก็ได้รับความไว้วางใจจากพระเยซูมอบพระศาสนจักรให้ท่านเป็นผู้ดูแลสืบต่อจากพระองค์
            ส่วนนักบุญเปาโล อย่างที่เราทราบๆกันดีว่า ท่านเป็นบุคคลที่เคยเบียดเบียนพระศาสนจักร แต่ภายหลังท่านได้เปลี่ยนแปลงชีวิต หันหลังให้กับหนทางเดิม และกลับกลายมาเป็นอัครสาวกผู้มีใจร้อนรนที่สุดคนหนึ่ง ออกเดินทางไปประกาศข่าวดีและคำสอนของพระเยซูในดินแดนที่ห่างไกลจากเยรูซาเล็มออกไป
            อัครสาวกทั้งสองท่านจึงเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคที่พระศาสนจักรเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักรจึงจัดวันฉลองให้กับท่านทั้งสองในวันเดียวกัน เพื่อให้เกียรติกับผู้นำพระศาสนจักรทั้งสอง เพื่อให้เห็นบทบาทของการดูแลปกครองพระศาสนจักรให้เป็นปึกแผ่นของนักบุญเปโตร และ เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการเผยแผ่พระศาสนจักรให้กว้างขวางออกไปของนักบุญเปาโล
            วันนี้พระศาสนจักรคาทอลิกทั่วโลกยังจัดพิธีถวายบูชาขอบพระคุณเพื่อฉลองพระสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาอีกด้วย ทั้งนี้เพราะพระสันตะปาปาคือผู้นำพระศาสนจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินนี้   วันนี้พ่อจึงขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่าน  ภาวนาเพื่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเป็นพิเศษเพื่อให้ท่านเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาญาณของพระจิตเจ้า ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง จะได้ปฏิบัติพันธกิจต่างๆของพระองค์ ในการประกาศข่าวดีแห่งความรอดพ้น นำมวลมนุษย์ไปสู่ความดีสมบูรณ์ ในหนทางแห่งความรัก และ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน


คุณพ่อสุพจน์
.....................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมจึงเรียกพระศาสนจักรว่าสืบต่อจากอัครสาวก

พระศาสนจักรได้รับเรียกว่าสืบต่อจากอัครสาวก เพราะพระศาสนจักรได้รับการก่อตั้งขึ้นโดยบรรดาอัครสาวก ยึดมั่นในธรรมประเพณีของพวกท่าน และปกครองโดยผู้สืบตำแหน่งต่อจากพวกท่าน
พระเยซูเจ้าทรงมีศิษย์มากมายอยู่ล้อมรอบพระองค์ ทั้งชายและหญิง ในแวดวงคนเหล่านี้ พระองค์ทรงเลือกชายสิบสองคน ซึ่งเรียกว่าอัครสาวก มาเป็นผู้ร่วมงานที่ใกล้ชิดที่สุดของพระองค์ แล้วฝึกฝนพวกท่านอย่างเป็นพิเศษ มอบความไว้วางใจในภาระหน้าที่ต่างๆ ให้
บรรดาอัครสาวกยังกลายเป็นประจักษ์พยานถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า หลังจากที่ทรง กลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์ทรงปรากฏพระองค์แก่พวกท่านหลายครั้ง ทรงมอบพระจิตเจ้าให้ และทรงส่งพวกท่านออกไปทั่วโลกเพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงตัวพระองค์
บรรดาอัครสาวกได้สานต่อพันธกิจของพระเยซูเจ้า หลังจากที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พวกท่านได้มอบพันธกิจ และอำนาจแก่ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากพวกท่าน คือบรรดาพระสังฆราชโดยการปกมือ กระบวนการนี้เรียกว่า การสืบต่อจากอัครสาวก ในปัจจุบัน ผู้สืบทอดตำแหน่งบรรดาอัครสาวกได้ใช้อำนาจที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้ ในการปกครอง สั่งสอน และประกอบพิธีกรรม ความร่วมมือกันของบรรดาอัครสาวกกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเอกภาพของพระศาสนจักร (สืบจากบรรดาอัครสาวก)
พระเยซูเจ้าทรงมอบอำนาจพิเศษให้เปโตร “ท่านคือศิลา และบนศิลานี้เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา” (มธ 16:18) บทบาทหน้าที่พิเศษของนักบุญเปโตรในท่ามกลางบรรดาอัครสาวกนี้เอง จึงได้พัฒนากลายมาเป็นหน้าที่ศาสนบริกรของพระสันตะปาปา ผู้ถือเป็นดัง “ผู้แทนของพระคริสตเจ้าในโลกนี้” มีอำนาจสูงสุดในการอภิบาล และทรงมีอำนาจการตัดสินสูงสุดในเรื่องความเชื่อและศีลธรรม

 “ตั้งแต่แรกเริ่ม กลุ่มคริสตชนในกรุงโรม ถูกมองว่าเป็นพระศาสนจักรที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุด ได้รับการก่อตั้ง และบริหารจัดการโดยอัครสาวกผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดสองท่านคือ เปโตร และเปาโล... ด้วยเหตุที่พระศาสนจักรแห่งกรุงโรม มีต้นกำเนิดอันสูงส่ง พระศาสนจักรทุกแห่ง จึงต้องเห็นพ้องกับพระศาสนจักรแห่งกรุงโรม และในพระศาสนจักรนี้เองที่สัตบุรุษทุกหนแห่ง จะได้บำรุงรักษาธรรมประเพณีของบรรดาอัครสาวกไว้”
(นักบุญอิเรเนอุส แห่งลีออง)

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2013

สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            พี่น้องคงพอจะจำได้ว่า เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้าที่สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 จะทรงตัดสินพระทัยลาเกษียณ พระองค์ได้ประกาศให้ปีนี้เป็นปีแห่งความเชื่อ ซึ่งปีแห่งความเชื่อนี้จะมาปิดฉากลงในช่วงปลายปี 2013 นี้ ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักรท้องถิ่นทุกแห่งจึงขานรับคำประกาศนี้อย่างพร้อมเพรียง สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทยจึงได้มีดำริจัดงาน "ปีแห่งความเชื่อระดับชาติ" ขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 กรกฏาคม ที่จะถึงนี้ โดยที่งานนี้จะจัดขึ้นที่โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ สามพราน จังหวัดนครปฐม จุดประสงค์ที่สำคัญก็คือเพื่อแสดงออกอย่างเด่นชัดถึงพลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อของเราคริสตชน ลักษณะของการจัดงานจึงเป็นงานชุมนุมของกลุ่มองค์กรต่างๆ อันได้แก่ การชุมนุมของนักเรียนคาทอลิก การชุมนุมของกลุ่มเยาวชน การชุมนุมครอบครัว พิธีตื่นเฝ้าภาวนาเพื่อฟื้นฟูความเชื่อ การจัดริ้วขบวนธรรมยาตรา แห่พระธาตุบุญราศีของ สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 พระธาตุบุญราศีทั้ง 7 แห่งสองคอน พระธาตุบุญราศี คุณพ่อ นิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง รวมไปถึง การบวชสังฆานุกร และ แต่งตั้งผู้ช่วยพิธีกรรม ผู้อ่านพระคัมภีร์ การจัดนิทรรศการกระแสเรียก จากคณะนักบวช และ คณะกิจกรรมฆราวาสต่างๆ
            กิจกรรมทั้งหมดนี้จัดขึ้นก็เพื่อตอบสนองต่อแนวทางการรณรงค์ในการฟื้นฟูความเชื่อตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสันตะปาปา และ เป็นการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวในความเชื่อเดียวกัน ตามที่พ่อได้กล่าวมาแต่ข้างต้น พ่อคิดว่านานทีปีหนจะมีงานลักษณะนี้สักครั้ง พ่อจึงอยากถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์งานปีแห่งความเชื่อดังกล่าวมายังพี่น้องทุกท่าน ส่วนตารางเวลาของกิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้นนี้พี่น้องสามารถติดตามรายละเอียดได้จากโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานที่บริเวณบอร์ดประชาสัมพันธ์ของวัด
            ภาพรวมของการจัดงานชุมนุมครั้งนี้จะสวยงามหรือไม่ ขึ้นอยู่กับจำนวนของเราคาทอลิกที่ไปร่วมงาน แม้ว่าจำนวนคาทอลิกในประเทศไทยจะมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศไทยของเรา แต่ภาพอันงดงามของความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อของหมู่มวลสัตบุรุษจากทุกแห่งหน จากทุกวัดที่พร้อมใจกันไปมีส่วนร่วมในงานดังกล่าวนี้จะเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริงในความเชื่อเดียวกันของคาทอลิกในประเทศไทย ที่จะได้รับการจารึกไว้เป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ที่คริสตชนในรุ่นหลังจากพวกเราเมื่อได้เห็นแล้ว จะเกิดความภาคภูมิใจไปอีกตราบนานเท่านาน แต่ก็แน่ละ ถ้าขาดเราไปเสียคนหนึ่ง ภาพแห่งความภาคภูมิใจนี้จะคงไม่สามารถปรากฏขึ้นชัดเจนได้  พ่อจึงขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่านไปร่วมงานนี้กันนะครับ

 คุณพ่อสุพจน์
.......................................................................................................................
แนะนำสื่อ
รายการวิทยุโทรทัศน์ (ไทย) คาทอลิก

วิทยุอาจเป็นช่องทางของสื่อที่หลายคนเลิกใช้แล้ว แต่อย่ามองข้ามเสียงในรถยนต์ ผู้คนที่เป็นแม่บ้าน หรือพี่น้องต่างจังหวัด รายการวิทยุคาทอลิกมากมาย ที่จัดโดยสื่อคาทอลิกอาจเป็นรายการวิทยุในใจใครสักคน สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย แผนกวิทยุ จัดรายการทั้งหมด 3 รายการ ได้แก่
รายการ “ภารกิจรัก” รับฟังได้ทาง www.thaicatholicradio.com
รายการ “คาทอลิกบอกเล่าเก้าสิบ” ออกอากาศทางสถานีวิทยุรัฐสภา วันอาทิตย์ เวลา 05.00-06.00 น.
รายการ “คุยกันเจ็ดวันหน” ออกอากาศทาง FM 98.75 MHz  วันอาทิตย์ เวลา 07.00-09.00 น.
ทุกรายการสามารถรับฟังย้อนหลังได้ทาง www.thaicatholicradio.com

ส่วนรายการโทรทัศน์คาทอลิก มี 2 รายการคือ
รายการ “แสงธรรม” ออกอากาศทางโมเดิร์น ไนน์ (ช่อง 9) วันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ เวลา 04.30-05.00 น.
รายการ “พระเจ้าสถิตกับเรา” ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง 11 ) เวลา 04.00-05.00 น. ทุกวันอาทิตย์
รายการโทรทัศน์เวลาตี 4 ใครจะดู? คำถามยอดฮิต แต่ไม่น่าเชื่อว่า รายการโทรทัศน์ของคาทอลิกยังยืนหยัดมาได้จนปีที่ 19 แล้ว
       

Application Store
   แอพชื่อพระสันตะปาปา ทำออกมาดูเรียบง่าย แต่ให้ข้อมูลข่าวสารได้ครบครัน เน้นไปที่ข่าวพระสันตะปาปา แถมมีช่องสำหรับถ่ายทอดสดในงานที่สำคัญด้วย ถ้ามีเวลาหรือพื้นที่ในการโหลดน้อย แอพนี้ขอให้โหลดไว้ก่อนเลย ฟรีด้วย โหลดเถอะครับ

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2013

สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                วันเวลาผ่านล่วงไปรวดเร็วนะครับ นี่ก็เข้าสู่หน้าฝนอีกแล้ว วันฉลองวัดเซนต์หลุยส์ของเราก็ใกล้เข้ามาทุกที การฉลองเทิดเกียรตินักบุญองค์อุปถัมภ์ของวัดนั้นเป็นสิ่งที่สัตบุรุษของทุกวัดพร้อมใจกันจัดอย่างสมเกียรติ ทั้งนี้เพราะการฉลองนักบุญองค์อุปถัมภ์ของวัด หรือ เราเรียกกันสั้นๆว่าวันฉลองวัดนั้น โดยเนื้อแท้แล้วเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบปีของชุมชนความเชื่อนั้นๆเอง ด้วยเหตุนี้การฉลองวัดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราสัตบุรุษทุกๆคนสมควรมีส่วนร่วมด้วยช่วยกัน คนละไม้คนละมือ เพื่อให้งานเฉลิมฉลองดังกล่าวงดงาม สมเกียรติของท่านนักบุญ และ เพื่อเป็นเกียรติประวัติของวัดของเราอีกด้วย
            ในปีนี้งานฉลองวัดของเรา ตรงกับวันที่ 25 สิงหาคม ดูเหมือนว่ายังอยู่อีกไกล แต่เราควรจะตระเตรียมการทุกอย่างกันแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ทุกรายละเอียดลงตัวสวยงามที่สุดเท่าที่สามารถ พ่ออยากเรียนพี่น้องทุกท่านว่า พ่อได้กราบเรียนเชิญพระคุณเจ้า เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช มาเป็นประธานในงานฉลองวัดของเรา และ พระคุณเจ้าก็ได้ตอบรับที่จะมาตามคำเชิญแล้ว ส่วนในด้านการเตรียมจิตใจของสัตบุรุษ พ่อกำลังทาบทามคุณพ่อซักสามท่านมาเทศน์เตรียมจิตใจพี่น้องล่วงหน้าก่อนการฉลองวัดซักสามอาทิตย์ ได้ความชัดเจนอย่างไรพ่อจะเรียนให้พี่น้องได้ทราบในภายหลัง ในด้านการต้อนรับพี่น้องสัตบุรุษจากต่างวัด และ พี่น้องสัตบุรุษของวัดเราที่มาร่วมฉลองวัด สภาภิบาลก็กำลังพิจารณาเตรียมการกันตามอย่างที่เคยเป็นมาทุกปี ทั้งในเรื่องสถานที่ อาหาร และ การอำนวยความสะดวกต่างๆซึ่งพ่อก็มั่นใจว่าทุกอย่างคงจะผ่านไปได้ด้วยดี สำหรับเรื่องอาหารเที่ยงที่จะจัดเลี้ยงพี่น้องที่มาร่วมฉลองวัดนั้น ถ้าพี่น้องท่านใดปรารถนาจะร่วมทำบุญ บริจาค เป็นอาหารอร่อยๆ จากร้านเจ้าประจำที่ไหนมาจัดเลี้ยง เพื่อร่วมในงานบุญครั้งนี้ ก็สามารถแจ้งความจำนงได้ที่พ่อ หรือ สมาชิกสภาภิบาลท่านใดก็ได้ ทั้งนี้ พ่อได้จัดทำซองเพื่อขอรวบรวมจิตศรัทธาจากพี่น้องทุกท่านที่อยากมีส่วนร่วมสมทบทุนบริจาคทรัพย์เพื่อจุดประสงค์ในการจัดงานฉลองวัดครั้งนี้ด้วย พี่น้องสามารถบริจาคได้ตามจิตศรัทธาของพี่น้องได้ จะมากจะน้อยก็ยินดี ทั้งนี้เพื่อร่วมด้วยช่วยกันครับ
            มิสซารอบเที่ยงในวันอาทิตย์นี้ จะมีตัวแทนสัตบุรุษของวัดเรา กล่าวแสดงความยินดีกับคุณพ่อวิทยา เลิศทนงศักดิ์ ปลัดใหม่ไฟแรงของวัดเรา ในโอกาสฉลองนักบุญอันตน ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของคุณพ่อ พ่อก็ขอท่านนักบุญอันตน ได้โปรดเสนอวิงวอนพระเจ้าเพื่อนำทางการทำงานและการดำเนินชีวิตเป็นผู้นำจิตวิญญาณของหมู่มวลสัตบุรุษในวัดของเราอย่างเต็มความสามารถเสมอไป


คุณพ่อสุพจน์
.........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
พระศาสนจักรสามารถอภัยบาปได้จริงหรือ

จริง มิใช่พระเยซูเจ้าเท่านั้นที่ให้อภัยบาปได้ พระองค์ทรงมอบหมายให้พระศาสนจักร มีพันธกิจและอำนาจที่ทำให้มนุษย์เป็นอิสระจากบาปได้  โดยทางศาสนบริการของพระสงฆ์  ผู้ที่มาขอสารภาพบาปจึงได้รับการอภัยจากพระเจ้า และความผิดก็ถูกลบล้างไปสิ้นราวกับว่าบาปนั้นไม่ได้เกิดขึ้น พระสงฆ์กระทำสิ่งนี้ได้ เพราะพระเยซูเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านมีส่วนร่วมในอำนาจของพระองค์ในการให้อภัยบาป
ตามคำสอนของพระศาสนจักร ผู้ที่ทำบาปหนักแท้จริง จะต้องรับศีลอภัยบาป แต่ในกรณีบาปเบา การรับศีลอภัยบาปก็เป็นการดีมีประโยชน์แก่ตัวเขา เพราะจิตใจของผู้นั้นจะได้รับการชำระ และเกิดสันติสุขไม่ว่าบาปนั้นจะเบาหรือเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เป็นอันตรายก็คือ การที่เห็นผิดเป็นชอบ มองเห็นว่าความชั่วร้ายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆเขาก็ทำกัน เช่น การไม่สนใจต่อความยากลำบากของคนอื่น ศีลอภัยบาปเป็นโอกาสที่มนุษย์จะได้ละทิ้งความเย่อหยิ่ง หรือความพยายามหาหนทางแก้ตัวให้ตัวเอง การรับศีลอภัยบาปด้วยใจถ่อมตน จึงจะทำให้ได้พบความเมตตาของพระเจ้า พระองค์จะทรงชำระจิตใจเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อจะได้กลับมายืนอยู่ ณ จุดเริ่มต้นบนหนทางของพระเยซูเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
แต่ต้องไม่ลืมว่า การได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้านั้นมีเงื่อนไขอยู่ว่า เขาต้องอภัยซึ่งกันและกันด้วย พระเยซูเจ้าทรงเน้นเสมอว่า “ถ้าท่านไม่ยอมให้อภัยผู้ทำความผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” (มธ.6 : 15) ผู้ที่เมตตาคนอื่นด้วยความจริงใจเป็นผู้ที่รู้ว่า ตัวเขาเองจำเป็นต้องได้รับความเมตตาจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน และผู้ที่สวดภาวนาต่อพระเจ้าเป็นประจำทุกวันว่า “โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า” เท่านั้น ที่สามารถอภัยแก่ผู้ที่ทำร้ายจิตใจตัวเองได้
“พระสงฆ์ได้รับอำนาจจากพระเจ้า ซึ่งแม้แต่บรรดาทูตสวรรค์หรืออัครเทวดาก็ไม่ได้รับ...พระเจ้าผู้ประทับอยู่เบื้องบน ทรงยืนยันในสิ่งที่พระสงฆ์กระทำอยู่เบื้องล่าง”
นักบุญยอห์น ครีโซสโตม

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            ในบรรดาพระวรสารทั้งหมดที่ถ่ายทอดเรื่องราวของพระเยซูเจ้าให้เราได้เข้าถึงข่าวดีของพระองค์นั้น พระวรสารนักบุญลูกา ได้สื่อถึงความมีใจอ่อนหวานของพระเยซูได้ดีที่สุด ตัวอย่างของเรื่องราวในพระวรสารวันนี้ แสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนถึงความเห็นอกเห็นใจที่พระเยซูทรงแสดงออก ด้วยการทำอัศจรรย์ปลุกลูกชายเพียงคนเดียวของหญิงหม้ายผู้หนึ่งที่เสียชีวิตลงให้กลับคืนชีพ สำหรับชาวยิวแล้ว พวกเขาถือว่าหญิงหม้าย ลูกกำพร้า เป็นบุคคลที่สมควรได้รับการค้ำจุนสนับสนุนมากที่สุด น่าสงสารที่สุด  สิ่งที่เราได้เห็นในวันนี้คือ อิริยาบทอันงดงามของพระเยซูที่ได้นำพาเด็กหนุ่มผู้นั้นที่ฟื้นคืนชีพแล้วกลับคืนสู่อ้อมอกของแม่  อัศจรรย์นี้เองทำให้ผู้คนพากันกล่าวขวัญว่า "พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์แล้ว"
            พี่น้องที่รัก พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์ โดยผ่านทางกิจเมตตาที่เราทุกคนจะแสดงออกกับเพื่อนพี่น้องของเรา  ตัวอย่างที่พ่ออยากนำมาชี้ให้เห็นชัดๆคือ สิ่งที่บุญราศี คุณแม่เทเรซา แห่ง กัลกัตตา และสมาชิกคณะซิสเตอร์มิสชันนารีแห่งชาริตี้ ได้กระทำ ด้วยการช่วยเหลือผู้ยากจน ผู้หิวโหยอดอยากได้รับการแจกจ่ายอาหารเพื่อบรรเทาความหิว ทำให้ผู้คนทั่วโลก ซึ่งหมายรวมถึงผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาคาทอลิกด้วย สามารถสัมผัสได้ว่า "พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์แล้ว" กิจเมตตาเช่นนี้ทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจมากกว่าเนื้อหาคำสอนที่เป็นข้อความในหนังสือที่บรรยายอย่างซาบซึ้งหรือแม้แต่ความงดงามของพิธีกรรมใดๆที่เราประกอบขึ้นเสียอีก ด้วยเหตุนี้ กิจเมตตาที่ออกมาจากความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวของเรา ต่อบรรดาผู้ที่ขัดสน จึงเป็นสิ่งที่มีความหมายมากจริงๆ สัปดาห์นี้ขอให้เราภาวนาเพื่อ ให้ภารกิจแห่งการบำบัดรักษาของพระเยซูยังคงดำเนินต่อไปโดยผ่านทางเราทุกๆคนด้วยเถิด

คุณพ่อสุพจน์
...........................................................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ศีลเจิมผู้ป่วยมีผลอย่างไร

พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อแสดงความรักของพระเจ้า พระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่พระองค์เห็นมนุษย์อ่อนแอเพราะความเจ็บป่วย ทรงแสดงแก่เราว่า เมื่อเรามีความทุกข์ทรมาน สวรรค์ก็ทุกข์ทรมานไปกับเราด้วย พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราพบพระองค์ในบรรดา “พี่น้องที่ต่ำต้อยที่สุดของเรา” (มธ 25: 40) ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงทรงกำหนดให้การเอาใจใส่ดูแลคนเจ็บป่วย เป็นงานสำคัญของบรรดาศิษย์ พระองค์ทรงสัญญาจะมอบอำนาจของพระองค์แก่พวกเขาในการขับไล่ปีศาจ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เหตุนี้ คาทอลิกทุกคนที่สุขภาพของเขาอยู่ในสถานะวิกฤต ก็สามารถขอรับศีลเจิมผู้ป่วยได้
พิธีกรรมที่จำเป็นในการโปรดศีลเจิมผู้ป่วยนั้น ประกอบด้วยการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์บนหน้าผาก และที่มือทั้งสองข้าง พร้อมกับคำภาวนาของพระสงฆ์ ผลของศีลเจิมจะทำให้ผู้ป่วยได้รับความบรรเทาใจ ความสงบ และพละกำลัง อีกทั้งเป็นโอกาสให้เขาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าอย่างลึกซึ้ง ศีลเจิมผู้ป่วยยังทำให้ผู้คนจำนวนมากได้รับสุขภาพที่ดีกลับคืนมา ดังนั้น บุคคลหนึ่งก็สามารถรับศีลเจิมผู้ป่วยได้หลายครั้งในชีวิต บางครั้งอาจเป็นคนหนุ่มสาวที่ขอรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้ ซึ่งมีเหตุผลสมควร เช่น เมื่อต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ในสถานการณ์เช่นนี้ คริสตชนหลายคนขอสารภาพบาปพร้อมกับรับศีลเจิมผู้ป่วย เพราะเขาปรารถนาไปพบพระเจ้าด้วยมโนธรรมที่บริสุทธิ์ ในกรณีที่การผ่าตัดอาจล้มเหลว
ผู้ป่วยจำนวนมากมีความกลัวศีลเจิมผู้ป่วย และผัดผ่อนไปจนนาทีสุดท้าย เพราะพวกเขาคิดว่าอาจเป็นเหมือนคำตัดสินให้ต้องถึงแก่ความตาย แต่ความจริงนั้นตรงกันข้าม ศีลเจิมผู้ป่วยเป็นดังพละกำลังที่ช่วยให้ร่างกาย และจิตใจของผู้ป่วยมีความเข้มแข็งขึ้น และเป็นเหมือนการประกันชีวิต หากเมื่อการเดินทางครั้งสุดท้ายมาถึง ในทุกกรณี ศีลเจิมผู้ป่วยมีผลในการให้อภัยบาปด้วย คริสตชนที่ดูแลผู้ป่วย ควรบรรเทาใจให้เขาหายจากความกลัวผิดๆ นี้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในอันตรายร้ายแรง มักรู้สึกสังหรณ์ใจว่า ไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับพวกเขามากไปกว่าช่วงขณะที่เขาได้รับพระพรของพระเยซูเจ้า โดยทันที และปราศจากเงื่อนไขใดๆ
  “การเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยต้องมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาควรได้รับการปรนนิบัติ ประหนึ่งว่าเป็นองค์พระคริสตเจ้าอย่างแท้จริง”
St. Benedict of Nursia