วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2016

พี่น้องที่รัก
           
            ความสุขเที่ยงแท้
            ครั้งหนึ่งผู้คงแก่เรียนเคยกล่าวเกี่ยวกับความสุขเอาไว้ว่า คนทั่ว ๆ ไปมักคิดว่าความสุขเกิดขึ้นจากความโชคดี ในความหมายที่ว่าจู่ ๆ ก็มีบางสิ่งบางอย่างดี ๆ เกิดขึ้นกับเรา เหมือนกับในท่ามกลางฤดูร้อนแต่แล้วอากาศก็ผันแปรเป็นอากาศเย็นสบาย ถือว่าเป็นโชคดีเหลือเกิน แต่นั่นไม่ใช่หนทางที่ได้มาซึ่งความสุข เพราะความสุขเป็นผลที่สืบเนื่องจากความพยายามสุดกำลังของบุคคล เราต้องต่อสู้เพื่อจะได้มา เราต้องออกแรงพยายามเพื่อจะได้มา เราต้องยืนหยัดเพื่อจะได้มา และบางทีเราอาจต้องออกเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งเพื่อแสวงหา เราต้องลงไปคลุกคลีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในความพากเพียรบนพรพิเศษที่เรามี และเมื่อเราบรรลุถึงสถานะแห่งความสุขแล้ว เราต้องไม่ละเลยในการดำรงรักษาเอาไว้ เราต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะว่ายอยู่เหนือกระแสแห่งความสุขนั้นตลอดเวลา  เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเราอาจสูญเสียความสุขนั้นไป
            เป็นการง่ายที่เราจะคุกเข่าลงสวดภาวนาในยามที่เราเผชิญกับความทุกข์ใจ แต่การสวดภาวนาเป็นประจำสม่ำเสมอแม้ในยามที่วิกฤติในชีวิตนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ถือว่าเป็นเคล็ดลับของการช่วยให้วิญญาณของเราผสานแน่นกับความสุขเที่ยงแท้ที่ยั่งยืนอยู่เสมอไป

พ่อสุพจน์
.......................................................................... 
สวัสดีพี่น้องที่รัก
ศิษย์ของพระเยซูเจ้าต้องอุทิศตนโดยไม่มีเงื่อนไข ฟังเสียง ดูแสงมากมาย จนอาจลืมฟังเสียงพระองค์ พระวาจาของพระเป็นพลังและความอ่อนหวานการเรียกของพระ เรียกเราให้ออกจากบ้าน จากครอบครัว จากพี่น้อง จากแผ่นดิน จากสิ่งที่เรายึดติด แล้วจะไปไหน ในเมื่อพระองค์ตรัสว่า สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ”  พระวาจานี้ท้าทายมาก การจะละจากทุกสิ่งเพื่อไปติดตามพระองค์ ผู้ตรัสว่า พระองค์ไม่มีที่จะวางศีรษะความหมายตรงนี้ลึกซึ้งมาก แล้วเราจะทิ้งบ้านของเราไปติดตามคนไร้บ้านอย่างเช่นพระองค์ เรียกว่า นกยังมีรัง สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง แต่พระองค์ไม่มีเปรียบเสมือนความรักของหนุ่มสาวในสมัยก่อน ถ้ารักมาก รักกันจริง ๆ และนี่คือหลักการ พร้อมจะก้าวเดิน ร่วมชีวิต ไปด้วยกัน ไม่ว่ายามสุข หรือยามทุกข์ ยามมีหรือยามไม่มี เวลาป่วยหรือเวลาสบาย เพราะขอให้เป็นของกันและกัน เพียงมีกันและกันในตอนเด็ก เราได้เห็น ได้ดูละคร ได้เห็นชีวิต คนสองคนรักกัน แม้น้ำขวางหน้าแม้ฟ้าขวางกัน ทั้งสองก็ไปพบกันจนได้ ถ้าต้องหนีตามกันไปตายเอาดาบหน้า หนุ่มสาวก็พร้อมจะออกไป พร้อมจะก้าวออกไป หนีตามกันไป เพราะเขาทั้งสองมีกันและกัน เป็นของกันและกันเท่านั้นพอ ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ความรักทำให้คนเราพร้อมจะก้าวไปด้วยกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีหรือจน หรือไม่มีอะไรเลย จะอดตายแค่ไหน ขอให้เรามีกันและกัน เป็นของกันและกัน นี่คือความรัก ความรักแบบนี้ โง่ในสายตาของคนมากมาย จนได้ชื่อว่า ตาบอดแต่หามิได้ เขามิได้ตาบอด แต่เขารักกันจริงๆ เขาพร้อมจะออกจากความปลอดภัยทุกอย่าง ออกจากความมีทุกอย่างเพื่อไปมีกันและกันที่เป็นบุคคลสองคนกลายเป็นคนเดียวเพราะความรัก คนรักเป็นของเขา เขาเป็นของคนรัก
พระเจ้าที่เรียกเราทุกคน ไม่ใช่เพียงพระสงฆ์ นักบวช ไม่ใช่ครับ แต่ทุกคน คริสตชนทุกคนได้รับเรียกให้มาติดตามพระคริสตเจ้าในฐานะที่แตกต่างกัน เพราะพระเยซูเจ้าก็เกิดมาในครอบครัวพระองค์ไม่ได้เสด็จลงมาจากฟ้าแบบไร้ครอบครัวและญาติมิตร การได้รับฟัง ได้รัก ได้ติดตามพระคริสตเจ้า เป็นช่องทางกระแสเรียกที่เราเดินไป จงเลือกพระองค์ อย่ากังวลกับสิ่งใด ออกไปตามพระองค์ ออกจากตัวเองออกจากความเป็นตัวตนของเรา และทรงทำให้พระองค์ซึ่งยิ่งใหญ่กว่ามากมายในชีวิตของตน  ยอมหลอมตัวเราให้เป็นเหมือนพระองค์ กระแสเรียกคือการตอบรับความรักของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนอย่างดี เพราะงานของพระมีมากมายดุจดังข้าวที่จะเกี่ยวมีมากมายแต่คนงานมีน้อย ดังนั้นจงวิงวอนขอให้มีคนงานในนาของพระ ที่จะช่วยประกาศความรักและความรอด เราแต่ละคนล้วนเป็นศิษย์ของพระองค์ต่างต้องตระหนักในกระแสเรียกของตนเองและพร้อมที่จะติดตามพระองค์แบบไม่มีเงื่อนไข เพื่อให้งานของพระองค์เป็นไปตามพระประสงค์ ผู้ใดจับคันไถแล้วเหลียวหลัง ผู้นั้นไม่เหมาะสมกับอาณาจักรของพระเจ้า

พ่อพงษ์เกษม

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2016

พี่น้องที่รัก

            ทำไมวันวันนี้จึงสำคัญนัก?
                        เพราะวันวันนี้ ไม่เหมือนวันอื่นทั่วๆไป
                        วันวันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญ
                        วันวันนี้จะเป็นโอกาสที่เราเลือกทางชีวิตให้แตกต่างไปจากชีวิตเดิมๆ รวมถึงความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง
                        วันวันนี้เรามีทางเลือกที่จะยิ้มให้กับทุกคน แทนที่จะทำหน้าบึ้ง
                        วันวันนี้เรามีทางเลือกที่จะใจกว้าง แทนที่จะใจแคบกับคนอื่น
                        วันวันนี้เรามีทางเลือกที่จะอุ้มชู แทนที่จะปัดให้พ้นๆไป
                        วันวันนี้เรามีทางเลือกที่จะยอมรับ แทนที่จะปฏิเสธ
                        วันวันนี้เรามีทางเลือกที่จะมองหาความหวังสำหรับอนาคต แทนที่จะจมปลักอยู่กับความอับเฉาของอดีต
                        วันวันนี้เรามีทางเลือกที่จะหัวเราะ หรือร้องไห้ เพราะทั้งการกระทำทั้งสองอย่างช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น
                        วันวันนี้เราจะมีเวลาที่จะมอบให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงครองจักรวาล ในเวลานั้นท่านจงวอนขอในสิ่งที่ท่านปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือ หรือ วอนขอเพื่อผู้อื่น หรือแม้แต่ใช้เวลาสงบๆอิงแอบแนบชิดกับพระองค์
                        ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของท่านเองที่จะเลือกหนทางไหน วันวันนี้จึงสำคัญยิ่งนัก
                        จงเลือกทำในสิ่งที่จะทำให้วันวันนี้ของท่านมีค่า และจงอย่าลืมว่า วันพรุ่งนี้ไม่ใช่วันวันนี้


พ่อสุพจน์
................................................................................................................................

สวัสดีพี่น้องที่รัก
การเป็นคริสตชนต้องยอมลำบาก ต้องแบกกางเขนแต่ความจริงแล้วกลับเป็นพระองค์ที่ยอมลำบากเพื่อร่วมทางกับเรา กางเขนกลับเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เราได้กลับมาใกล้ชิดกับพระอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้
ถ้าท่านตัดสินใจรักพระเยซูเจ้า ถ้าท่านตัดสินใจติดตามพระองค์ท่านต้องคิดถึงทางของพระท่านต้องละหนทางของท่านเพราะบนหนทางของพระเยซูคือเส้นทางแห่งกางเขน เหมือนมีรักก็มักมีทุกข์ ในความรักแท้ต้องมีความเสียสละ ในความรักแท้ต้องร่วมใจในความทุกข์ยาก ในความรักแท้ต้องยอมรับความเจ็บปวด ในความรักแท้ท่านต้องให้อภัยและเข้าใจ ในความรักแท้ท่านต้องซื่อสัตย์เสมอไป ในความรักแท้ยอมได้แม้ต้องเสียชีวิตนั้นไป เมื่อมองย้อนกลับไปเราจะพบความจริงว่า ไม่ว่าเราจะตัดสินใจติดตามหรือแบกกางเขนของเราหรือไม่ พระองค์ได้อยู่ที่ปลายทางแห่งนั้นแล้วที่บนกางเขนได้แสดงให้เห็นถึงความรักแท้ที่พระเจ้าทรงรักเราก่อนและยอมรับได้ทุกสิ่ง เพื่อช่วยเราให้ได้รับความรอดและกลับเป็นที่รักของพระองค์ตลอดนิรันดร
พระเยซูเจ้าสั่งให้ เลิกนึกถึงตนเอง”“จงแบกไม้กางเขนของตน”“จงตามเรามา กางเขนเป็นเครื่องหมายของความตาย การประหารชีวิตที่พระเยซูเจ้าได้รับ การตัดสินใจแบกกางเขน คือ ต้องเลือกที่จะเดินตามพระฉบับแบบของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่การแบกกางเขนของพระองค์ แต่เป็นการแบกกางเขนของตน การติดตามพระเยซู ศิษย์แต่ละคนต้องติดตามพระเยซูเจ้า โดยแบกกางเขนของแต่ละคนตามพระองค์ไป เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าจริงๆ นั้น จะต้องออกเดินทางติดตามพระเยซูเจ้าไปในหนทางของพระองค์ ไม่ใช่เดินไปในหนทางของตนเองหรือเรียกว่า ทางใครทางมันไม่ได้แต่ต้องเดินในหนทางของพระเยซูเจ้าสละชีวิตตนเอง จะได้ชีวิตของพระคริสตเจ้า และนั่นคือชีวิตนิรันดร แต่ถ้าตามใจตนเอง ไม่ตามพระคริสตเจ้า ไม่สละชีวิตตามใจพระองค์ เราจะเสียชีวิตหรือเสียพระประสงค์ของพระเจ้า มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาถ้าเราจะได้ทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิต มีประโยชน์อะไร การติดตามพระองค์เท่านั้น คือ ชีวิตพี่น้องถ้าอยากมีชีวิตจริงท่านต้อง ติดตามพระองค์เป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าเสมอ อย่าพลาด อย่าไปตามกระแสโลกและกระแสสมบัติ พระวาจาวันนี้ช่วงเวลาของการทบทวนชีวิตความสัตย์ซื่อของเราต่อพระเจ้าว่า เราแอบไปมีพระอื่นเป็นกิ๊กของเราบ้างไหม เราอาจจะบอกว่า ฉันยังมาวัด ยังแก้บาปรับศีล แต่ฉันก็แอบมีพระอื่นเป็นกิ๊ก แม้กิ๊ก ไม่ใช่แฟน แต่ก็เอาเถอะ และแฟนเราจะคิดอย่างไร หากเรามีกิ๊กมากมายมันจะดีหรือจงเลือกพระเจ้าของเราจะทุกข์บ้าง ลำบากบ้าง เลือกพระองค์เถอะ เมื่อมีพระองค์ เราก็มีทุกอย่าง เสียอะไรก็เสียไป เราจะไม่ยอมเสียพระองค์ใช่ไหมครับ พี่น้อง พระเจ้าคือพระพร พระองค์คือชีวิตของเราใช่ไหมครับ เราจะทิ้งพระอื่น เราจะไม่มีกิ๊กมีกั๊กกันอีกต่อไป พระเจ้าของเราแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีแล้ว พระแบงค์ พระไอโฟน พระเกียรติยศ พระลาภยศ พระสรรเสริญ ทิ้งไปเถอะ ขอมีแต่พระบิดาของพระเยซูเจ้า พระบุตรที่ทรงไถ่บาปและพระจิตเจ้าองค์แห่งความรักชีวิตก็เป็นสุขแท้

พ่อพงษ์เกษม

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2016

พี่น้องที่รัก
โอกาสปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรมที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้เปิดหนทางพิเศษสำหรับเราคริสตชนเพื่อที่จะได้หันมาเพ่งพิศถึงพระพักตร์อันเมตตาของพระเจ้าและเปิดรับพระเมตตาจากพระเจ้าผ่านทางศีลอภัยบาปแล้ว พระศาสนจักรยังเสนอแนะให้เราแต่ละคนได้พยายามใช้โอกาสนี้ในการแสดงความเมตตาต่อพี่น้องรอบกายเรามากขึ้นอีกด้วย กิจเมตตาที่พระศาสนจักรเสนอแนะมีหลายประการ คือ

กิจเมตตาฝ่ายกาย 7 ประการ
1. การให้อาหารแก่ผู้หิวโหย 2. การให้น้ำดื่มแก่ผู้หิวกระหาย
3. การบริจาคเสื้อผ้าให้กับผู้ไม่มีเสื้อผ้าจะสวมใส่ 4. การต้อนรับคนแปลกหน้า
5. การเยี่ยมผู้ป่วย 6. การเยี่ยมผู้ถูกขังในคุก
7. การฝังศพผู้ล่วงลับ

กิจเมตตาฝ่ายจิต 7 ประการ
1. การให้คำปรึกษาแก่ผู้สงสัย 2. การสอนคนที่ไม่รู้
3. การตักเตือนคนบาป 4. การบรรเทาผู้มีความทุกข์
5. การให้อภัยแก่ทุกคนที่ทำร้าย 6. การอดทนต่อผู้กระทำผิด
7. การสวดภาวนาเพื่อผู้เป็นและผู้ตาย

กิจเมตตาทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตข้างต้น บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ไม่ยากนัก และหลายท่านก็ปฏิบัติกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีบางประการที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องยาก และหลายประการเรายังไม่เคยปฏิบัติเลย โอกาสปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรมปีนี้ จึงเป็นโอกาสให้เราคริสตชนได้ฝึกปฏิบัติกิจเมตตาทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตให้คล่องแคล่วมากขึ้น การปฏิบัติคุณธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนด้วยความเสียสละ แต่ผลของการปฏิบัติคุณธรรมนั้นงดงาม และบันดาลสันติสุขในจิตใจอย่างยิ่งใหญ่อย่างที่ในพระคัมภีร์กล่าวเอาไว้ว่า เป็นสันติสุขที่โลกให้กับเราไม่ได้ครับ

พ่อสุพจน์
...............................................................................................................
สวัสดีพี่น้องที่รัก
ความรักของพระเจ้าประจักษ์แจ้งในองค์พระคริสตเจ้า พระผู้ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปเรา ชีวิตทั้งชีวิตของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความรักอันไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ต่อพระบิดาเจ้าและต่อเรามนุษย์ทุกๆ คน และความสัมพันธ์อันมั่นคงกับมนุษย์ทั้งหลาย ความรักของพระคริสต์ชนะทุกสิ่งและมีชัยเหนือทุกคน ในเมื่อพระองค์ทรงรักเราถึงเพียงนี้ เราก็ควรจะรักกันและกันด้วยเช่นกัน นี่คือกฎพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะฉันพี่น้อง เรามาอยู่ร่วมกันเฉพาะพระพักตร์พระองค์ในวันนี้เพื่อโมทนาพระคุณพระองค์ สำหรับความรักและการประทับอยู่ท่ามกลางพวกเราของพระองค์ และเป็นโอกาสที่เราจะได้ขอสมาโทษต่อพระองค์ ในความผิดบกพร่องต่างๆ ของเราทั้งในชีวิตการงานและในชีวิตฉันพี่น้องในบ้านของเรา ในสังคมของเราอาศัยพระพระเยซูเจ้า พระผู้ทรงถ่อมองค์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ขอพระองค์โปรดทรงนำเราทุกคนให้เดินในหนทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์และความรัก ไปสู่จุดหมายเดียวกัน คือไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ และขอพระองค์โปรดรวมเราเข้าเป็นหนึ่งเดียวในความรักอย่างสมบูรณ์ตามแบบอย่างชีวิตของพระองค์ด้วย ความรักแบบใดที่อยู่เหนือความรักทั้งปวงแน่นอนว่าเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่มีผู้ใดที่ได้พบองค์พระเยซูเจ้าแล้วแสดงการเมินเฉย  ทำไมฟาริสีจึงเชื้อเชิญพระเยซูเจ้าไปร่วมทานอาหารกับพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ใส่ใจที่จะให้ความเคารพหรือให้เกียรติแด่พระองค์ซีโมนเชื้อเชิญพระองค์เพราะกระแสประชานิยม  เขาวิจารณ์พระกรุณาที่พระองค์มีต่อหญิงที่ไม่เป็นที่ยอมรับ  พวกฟาริสีรังเกียจที่จะอยู่ร่วมกับคนบาปและพวกเขาก็เมินเฉยที่จะให้ความช่วยเหลือต่อบรรดาคนที่อยู่ในความต้องการ
พลังแห่งความรักที่ท่วมท้นและความกตัญญูของหญิงคนนี้ ทำไมหญิงที่โดนรังเกียจจึงใฝ่หาพระองค์และยอมเสี่ยงต่อการถูกตำหนิเพื่อชโลมพระองค์ด้วยน้ำตาและน้ำหอมราคาแพงการกระทำของนางถูกกระตุ้นโดยสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นก็คือความรักที่มีต่อองค์พระเยซูเจ้า นางทำในสิ่งที่ไม่มีหญิงชาวยิวคนใดจะทำในที่สาธารณะ  เธอปล่อยผมและชโลมพระเยซูเจ้าด้วยน้ำตาของนาง  หญิงที่แต่งงานจะมัดเกล้าผมของนาง และการปล่อยผมในที่สาธารณะเป็นการกระทำที่น่าอับอายอย่างมาก  แต่นางไม่ได้สนใจคนรอบข้างเว้นแต่พระเยซูเจ้า ความรักให้ทุกสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเราหญิงผู้นั้นได้ทำบางสิ่งที่ต้องใช้ความรักเท่านั้นจึงสามารถทำได้ เธอมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดทั้งหมดที่เธอมีเพื่อองค์พระเยซูเจ้า ความรักของเธอไม่สามารถวัดได้แต่มีเหลือเฟือ  ด้วยจิตแห่งการถ่อมตนและความสำนึกในหัวใจ เธอได้ทุ่มเทให้กับคนที่แสดงความเมตตาและความกรุณาของพระเจ้าให้เธอได้สัมผัส  องค์พระเยซูเจ้าทรงไม่ยอมเสียโอกาสที่จะให้บทสอนจากเหตุการณ์จริง
เราเป็นหนี้ความกตัญญูต่อพระเมตตาและการให้อภัยทำไมพระเยซูเจ้าทรงยกเรื่องเปรียบเทียบเกี่ยวกับลูกหนี้สองคนก่อนที่จะทรงให้บทสอนกับฟาริสีเรื่องเปรียบเทียบนี้มีความคล้ายคลึงกับเรื่องลูกหนี้ไร้เมตตา (มธ.18:23-35) ซึ่งชายที่ได้รับการยกหนี้มากกลับแสดงการไร้ความเมตตาและไม่ให้อภัย พระเยซูเจ้าให้ความชัดเจนว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ต้องมาจากหัวใจที่ได้รับการอภัยและสะอาดหมดจด  น.เปโตรอัครสาวกได้บอกกับเราว่า ความรักลบล้างบาปได้มากมาย” (1ปต.4:8) เป็นความรักเดียวกับที่รุนเร้าพระบิดาเจ้าในสวรรค์ให้ส่งพระบุตรแต่พระองค์เดียว คือองค์พระเยซูเจ้ามารับการยกถวายชีวิตบนไม้กางเขน เป็นการพลีพระชนม์เพื่อชดเชยบาปของเรา หญิงผู้นั้นได้แสดงออกถึงการทุ่มเทความรักเพื่อแสดงความกตัญญูต่อการอภัยที่ยิ่งใหญ่ พระกรุณาและพระเมตตาที่พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เธอประจักษ์ ต้องทำให้เราสามารถที่จะยอมรับหรือปฏิเสธพระเมตตาของพระเจ้า  ซีโมนรู้สึกไม่ต้องการความรัก ความเมตตา  ความภาคภูมิใจในตัวเองของเขานำเขาออกจากการรับรู้ความต้องการพระหรรษทานแห่งการช่วยเหลือ และพระเมตตา  แล้วชีวิตของพวกท่านละมีความกตัญญูต่อพระเมตตาและพระหรรษทานของพระเจ้าหรือไม่?
พ่อพงษ์เกษม

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2016

พี่น้องที่รัก
                หลายครั้งพระเจ้าทรงแสดงพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์มายังเรามนุษย์อย่างชัดแจ้ง ดังกรณีของพระวรสารสัปดาห์นี้ ที่พระองค์ทรงปลุกบุตรของหญิงม่ายที่เมืองนาอินให้กลับคืนชีพ พระวรสารของนักบุญลูการะบุไว้ชัดเจนถึงอากัปกิริยาของพระเยซู ที่เห็นขบวนแห่หามศพของบุตรคนเดียวของหญิงม่าย "พระองค์ทรงสงสาร" ตรัสกับนางว่า "อย่าร้องไห้ไปเลย" แล้วทรงกระทำอัศจรรย์ปลุกหนุ่มคนนั้นให้ลุกขึ้นมีชีวิตอีกครั้ง
                ข้อความในพระวรสารวันนี้ เป็นการย้ำเตือนอีกครั้งถึงพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงมีต่อเรามนุษย์ โอกาสปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม เป็นการรื้อฟื้นถึงความรักความเมตตาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราเสมอมา เพื่อเราทุกคนจะได้ไว้วางใจในพระเมตตาของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ในยามที่เราเข้ามาภาวนาวอนขอพระพรของพระองค์เพื่อสนับสนุนค้ำจุนเรา
                วันนี้พ่อขอนำเรื่องหนึ่งที่ได้อ่านจากเอกสารแบ่งปันพระวาจามีข้อคิดที่ดีมาก มาถ่ายทอดให้พี่น้องได้อ่านกันอีกทอดหนึ่งครับ
                “ครอบครัวผู้ดีมีชื่อเสียงครอบครัวหนึ่งในกรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ในยุคฟื้นฟูศิลปกรรม (Renaissance) เป็นเจ้าของหินอ่อนก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งมีน้ำหนัก 3 ตัน ได้ว่าจ้างนักสลักหินที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นคือ Donatello ให้แกะสลักหินอ่อนก้อนนี้ แต่ Donatello ปฏิเสธ เพราะหินก้อนนี้มีรอยแตกกลางก้อนหิน ยากที่จะแกะสลักให้เป็นประติมากรรมชิ้นเอก (ก่อนหน้า Donatello ก็มีนักแกะสลักรุ่นพ่อ ชื่อ Agostino do Duccio ปฏิเสธไปเมื่อ 40 ปีก่อนหน้านั้น)
                หินก้อนนี้จึงถูกทอดทิ้งข้างถนนเป็นเวลานานหลายปี จนกระทั่งนักแกะสลักรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อ Michaelangelo Buonarroti ตอบรับการว่างจ้างจากครอบครัวเจ้าของหินก้อนนี้ Michaelangelo ใช้เวลาพิจารณาหินก้อนนี้อยู่นานว่าเขาจะแกะสลักเป็นรูปอะไรดี
                และหลังจากนั้นมาอีกนานหลายปี รูปแกะสลัก "ดาวิด" ก็เสร็จสำเร็จ เป็นประติมากรรมแกะสลักที่มีชื่อเสียงมากชิ้นหนึ่งของโลกจนทุกวันนี้
                ตรงรอยแตกของก้อนหินนี้ Michaelangelo ต้องสกัดหินที่ไม่ต้องการออกอยู่ดีเพื่อให้เป็นช่องว่างระหว่างขาทั้งสองของ "ดาวิด" Michaelangelo รู้จักใช้ส่วนบกพร่องของหินอ่อนก้อนนี้ให้เป็นประโยชน์ ในกรณีหินก้อนนี้ เขาก็ต้องสกัดหินตรงนั้นออกอยู่ดี ไม่ว่ามันจะมีรอยแตกหรือไม่ก็ตาม Michaelangelo สามารถมองเห็น "ดาวิด" ซ่อนตัวอยู่ในก้อนหินนี้ ก่อนที่เขาจะแกะสลักนำ "ดาวิด" ออกมา
                เช่นกัน พระเจ้าก็รู้จักเรา รู้จักจุดอ่อนความบกพร่องของเราทุกคน ขอแต่เพียงเราสุภาพมอบอำเภอใจ โอนอ่อนตามพระประสงค์ของพระองค์ ความอ่อนแอ จุดอ่อน ความบกพร่องของเรา จะกลายเป็นกระจกเงาสะท้อนพระพรเอื้ออาทร และพระเกียรติมงคลของพระเจ้ายิ่งขึ้น โดยผ่านตัวเรา ผ่านการดำเนินชีวิตตาม "กระแสเรียก" ของเราที่จะเป็น"บุคคลที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น"

พ่อสุพจน์
...........................................................................................................................
สวัสดีพี่น้องที่รัก
ความเศร้าโศกเสียใจและความผิดหวังเป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิตของเรามนุษย์ ในความเป็นจริงเราไม่อยากให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตเรา แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สุภาษิตจีนจึงสอนเราว่า เราไม่สามารถห้ามนกแสกบินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถป้องกันไม่ให้มันมาทำรังบนศีรษะของเราได้
พระวาจาของพระในวันนี้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ในความทุกข์โศกเศร้าของเรามนุษย์ พระองค์ทรงแสดงความเห็นอกเห็นใจในความน่าสงสารของเรา และทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเราเพื่อเยียวยารักษา บทอ่านวันนี้ได้ท้าทายเราให้กลายเป็นท่อธารแห่งความเมตตากรุณาของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์โศกเศร้า ได้พบกับความรัก ความหวังและความบรรเทาใจในสังคมชาวยิว มีกลุ่มคนสามประเภทที่น่าสงสารคือ คนต่างด้าว หญิงม่าย และลูกกำพร้า หญิงม่ายในสังคมชาวยิวไม่เหมือนหญิงสมัยใหม่ในยุคของเรา ที่สามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ในสังคมชาวยิวผู้หญิงขึ้นอยู่กับสามีทุกอย่าง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ เมื่อเธอสูญเสียสามีจึงหมายถึงการสูญเสียความมั่นคงในชีวิตทุกอย่าง ดังนั้น ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติจึงบอกว่า เมื่อท่านเกี่ยวข้าวในนาของท่าน และลืมฟ่อนข้าวไว้ในนาฟ่อนหนึ่ง อย่ากลับไปเอาเลย ให้เป็นของคนต่างด้าว ลูกกำพร้าและแม่ม่าย...” (ฉธบ24:19-22)
หญิงม่ายที่เมืองนาอินในพระวรสาร เธอได้สูญเสียสามีและยังมาสูญเสียบุตรชายคนเดียวอีกด้วย เธอจึงเป็นบุคคลที่น่าสงสารที่สุด พระเยซูเจ้าทรงมองเห็นน้ำตาของหญิงม่ายคนนั้น ซึ่งเป็นภาพล่วงหน้าของพระมารดาของพระองค์ ณ แทบเชิงกางเขน ความรู้สึกสงสารจากส่วนลึกของหัวใจทำให้พระองค์ตรัสกับนางว่า อย่าร้องไห้ไปเลยซึ่งเป็นการให้กำลังใจและปลอบโยนคนที่กำลังเป็นทุกข์ และให้ความหวังคนที่กำลังสิ้นหวัง นักบุญลูกาได้แสดงให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลที่มีความรู้สึกและเห็นอกเห็นใจคนอื่นอย่างลึกซึ้ง ทรงรู้สึกเสียใจกับหญิงม่ายและทรงเอาพระทัยใส่ในความทุกข์ระทมที่เธอกำลังเผชิญอยู่ ทรงบรรเทาใจเธอด้วยการคืนชีวิตแก่บุตรชายคนเดียวของเธอ หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่าจงลุกขึ้นเถิดและทรงมอบคืนแก่เธอ การสัมผัสของพระองค์ไม่เพียงทำให้ชีวิตของบุตรชายหญิงม่ายคืนมา แต่ได้นำอิสรภาพและความครบครันมาสู่วิญญาณและร่างกายเขา พระองค์ไม่เพียงมีความเมตตาสงสาร แต่ยังได้แสดงออกให้เห็นในกิจการ
เด็กหญิงคนหนึ่งได้ไปที่บ้านเพื่อนของเธอที่เสียชีวิตซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อกลับมาถึงบ้านคุณพ่อได้ถามเธอว่า ทำไมลูกไปที่บ้านคนตายละเธอตอบว่า หนูไปให้กำลังใจแม่ของเพื่อน ที่เพิ่งสูญเสียลูกชายคุณพ่อถามต่อไปด้วยความฉงนว่า อย่างลูกนี่จะให้กำลังใจแม่ของเขาได้อย่างไรเด็กหญิงตอบประสาซื่อว่า หนูก็คลานไปนั่งบนตักของเธอและร้องไห้กับเธอเราต้องเป็นท่อธารแห่งความเมตตากรุณาของพระเจ้า ความรักและความเมตตาสงสารของพระเยซูเจ้าต่อคนที่กำลังทุกข์โศกเศร้า ได้แสดงออกให้เห็นในกิจการ เราจะต้องช่วยให้คนที่กำลังหัวใจแตกสลายได้มีประสบการณ์การประทับอยู่ของพระเจ้า และเจริญชีวิตเลียนแบบพระองค์ทั้งในคำพูดและกิจการ เพื่อช่วยทุกคนที่กำลังทุกข์โศกได้มีกำลังใจ ได้รับการปลอบโยนและพบความหวังในชีวิต
เราต้องฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของเรามองไปที่สถานการณ์แห่งชีวิตของเราว่าจะเจริญชีวิตอย่างไร หากปล่อยตัวในบาปหนัก นั่นแสดงว่าเรากำลังปล่อยให้ชีวิตฝ่ายจิตของเราตาย เราจะต้องฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของเราให้กลับคืนมาผ่านทางศีลอภัยบาป นักบุญเอากุสตินกล่าวว่า พระศาสนจักรมารดาของเราจะชื่นชมยินดีเสมอ เมื่อเราได้รับการยกขึ้นอีกครั้งทางศีลศักดิ์สิทธิ์เราต้องมอบปัญหาทุกอย่างไว้กับพระเยซูเจ้า เราไม่อาจหลีกเลี่ยงความเลวร้ายในโลกได้ แต่เราสามารถภาวนาและวางใจในพระเจ้าได้เสมอ เพื่อให้พระองค์เปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของเรา ทรงเยียวยารักษาดวงใจที่บอบช้ำและทำให้เราเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางศีลมหาสนิทในพิธีบูชาขอบพระคุณทุกวันอาทิตย์ที่เรามาร่วม เพื่อเราจะได้รับการหล่อเลี้ยงและเติบโตยิ่งขึ้นในชีวิตคริสตชน
พ่อพงษ์เกษม