วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                วันนี้มีเรื่องเล่า มาเล่าสู่พี่น้องฟังกันอีกเรื่องหนึ่งครับ
                เรื่องมีอยู่ว่า ..... “แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านประจำทุกวัน คืนหนึ่ง หลังจากที่ แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราตามปกติ ที่โต๊ะอาหาร แม่วางจานที่มีปลาทูไหม้เกรียมบนโต๊ะ ต่อหน้าพ่อ และทุกๆคน ผมรอว่า แต่ละคนจะว่าอย่างไร แต่... พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตากินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่า ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง คืนนั้น หลังอาหารเย็นผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อ ที่ทอดปลาทูไหม้ และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย...ผมชอบ ปลาทูทอดเกรียมๆ อร่อยมากนะแม่"
                คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจก่อนนอนและถามพ่อว่า "พ่อชอบปลาทูทอด เกรียมๆ จริงๆเหรอ" พ่อลูบหัวผม และตอบว่า "แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน... ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดที่ต่อว่ากันนั้นต่างหากที่จะทำร้ายกัน"
                “ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ"
                แต่สิ่งที่พอเรียนรู้ในช่วงชีวิตคือ... การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และของตัวเอง การเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคล เป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาชีวิตครอบครัว ที่มีความสุข และยืนยาว
                “ชีวิตเรา สั้นเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมา พร้อมกับความเสียใจ ที่ว่าเราทำผิดกับคนที่เรารัก และรักเรา ให้ดูแล และ ทะนุถนอม คนที่รักเรา และพยายามเข้าใจและให้อภัย จะดีกว่า"
                ** ถ้าเรารู้ เราจะทำไหม?**
                เราจะบีบแตร ใส่คนที่ยืนยึกยัก ริมถนนแยกที่ผ่านมาไหม ถ้าเรารู้ว่า เค้าใส่ขาเทียม
                เราจะเบียดชน คนข้างหน้า ที่เดินช้ามากไหม ถ้าเรารู้ว่า เค้าพึ่งตกงาน
                เราจะขำ คนที่แต่งตัวเชยไหม ถ้าเรารู้ว่า เค้ามีชุดเก่งแค่ชุดเดียว
                เราจะรำคาญสาวโรงงานที่มาเดินพารากอนไหม ถ้าเรารู้ว่า นั่นคือการฉลองวันเกิดของเธอ
                เราจะหมั่นไส้ลุงที่หัวเราะเสียงดังลั่นคนนั้นไหม ถ้าเรารู้ว่าแกเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
                เรารู้แจ่มชัดเสมอ ว่าชีวิตเรากลัวเจออะไร แต่เราไม่มีวันรู้ว่า คนที่เราเจอ กำลังเจอกับอะไร
                โลกกว้างกว่าเงาของเรา และ โลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา
                มองข้าม เรื่องเล็กๆน้อยๆ ไปบ้าง ให้โอกาส และให้อภัย มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน จะได้รักและอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืนยาวนาน (เครดิต เรื่องส่งต่อผ่านทางไลน์)
           
                วันนี้เป็นวันคริสต์มาส!!! วันเฉลิมฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เรื่องราวของการบังเกิดของพระเยซูเจ้าเป็นเรื่องเล่าที่นำความยินดี ความหวังยิ่งใหญ่มาสู่มวลมนุษย์ทุกคน เรื่องเล่าขานนี้ฟังไม่รู้จักเบื่อ ถ้าชีวิตของเราแต่ละคนจะมีเรื่องดี ๆ จากประสบการณ์จริงของเรา นำมาเล่าสู่กันฟังบ้าง โลกของเราคงเป็นโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำให้เราเห็นเป็นตัวอย่างแล้ว

พ่อสุพจน์
..............................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            สุขสันต์วันพระทรงบังเกิดแด่ทุกท่าน พระเจ้าอยู่กับเราแล้ว นักบุญยอห์นบอกเราว่า แสงสว่างมาสู่โลกแล้ว แต่น่าเศร้าเพราะว่าโลกไม่รู้จักพระองค์ น่าเศร้ากว่าอีกที่ท่านยังพูดว่า พระเจ้าเสด็จมาสู่บ้านเมือง แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ ความสุขที่แท้จริงจะเป็นของผู้ที่รู้จักและยอมรับพระผู้เสด็จมาเท่านั้น น่าเสียดายที่พระอยู่ท่ามกลางเราแท้ๆ แต่เราไม่รู้จัก คนมากมายในโลกฉลองคริสตมาสทั้งๆที่ไม่รู้จักและไม่ยอมรับพระผู้ไถ่ เราคริสตชนมีบุญกว่าใครก็ควรต้องทำให้คริสตมาสมีความหมายต่อชีวิตเราให้มากที่สุด คริสตมาสต้องทำให้เรารักพระมากขึ้น รักเพื่อนพี่น้องของเรามากขึ้น การคืนดีกับพระ การคืนดีกับเพื่อนมนุษย์จึงเป็นหัวใจของการเฉลิมฉลองที่สำคัญครั้งนี้ ยังคงมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ทำเพื่อคริสตมาส ทุกกิจการล้วนนำความยินดีมาสู่เรา“ในอดีต พระเจ้าได้ตรัสกับบรรพบุรุษของเราโดยทางประกาศกหลายวาระและหลายวิธี ครั้นมาถึงสมัยนี้อันเป็นวาระสุดท้าย พระองค์ได้ตรัสแก่เราโดยทางพระบุตรพระเจ้า” (ฮบ 1: 1-2) ...ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่ยากที่จะมีชีวิตอยู่ เมื่อคนที่เรารักนิ่งเงียบไม่ส่งข่าวคราวให้ได้ทราบเลยเป็นเวลานานๆ และน่าจะเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นหลายเท่าตัว ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อพระเจ้าที่ทรงรักเรามนุษย์ จะทรงนิ่งเงียบไม่ยอมตรัสหรือทำอะไรทั้งสิ้น และคงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงตรัสกับเรามนุษย์ในองค์พระบุตร พระเจ้าที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ องค์พระเยซูคริสตเจ้าหัวใจของคริสตศาสนาคือความเชื่อที่ว่า พระวาจาที่แสนสุดประเสริฐที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับมนุษย์นั้น จะได้กลายเป็นพระบุคคลในองค์พระเยซูคริสตเจ้า และพระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ในองค์พระเยซูเจ้าซึ่งเท่ากับว่าในที่สุดการนิ่งเงียบของพระเจ้าก็ได้สิ้นสุดลงแล้วสำหรับตลอดไป ดังที่นักบุญเปาโลได้กล้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าประกาศสอนเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า เป็นการเปิดเผยธรรมล้ำลึก ที่เก็บเป็นความลับตลอดเวลานานมาแล้ว” (รม 16: 25) ในองค์พระเยซูเจ้า เรามีความชื่นชมยินดีที่พระเจ้าทรงเป็นอะไรที่มากกว่าความเงียบ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระวจนาถต์ที่มาประทับอยู่ท่ามกลางเรามนุษย์ พระเจ้ามิได้ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์ ดังที่ผู้แต่งบทเพลงสดุดีได้กล่าวว่า จิตใจของข้าพระองค์ทูลพระองค์ว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์ ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์” (สดด 27) แต่พระเจ้าได้ทรงเผยแสดงพระองค์ในองค์พระบุตรของพระองค์ พระเยซูเจ้า พระเจ้ามิได้อยู่ห่างไกลและแปลกแยกจากเรามนุษย์ แต่พระองค์ได้ทรงมาเยี่ยมเยียนเราในองค์พระเยซูแห่งนาซาแรธ และในองค์พระเยซูเจ้านี้นี่เองที่การเล่นซ่อนหาของพระเจ้าได้สิ้นสุดลงในวันคริสต์มาส วันพระคริสตสมภพ เราทำการฉลองความจริงที่ยิ่งใหญ่ว่าพระเจ้ามิได้ทรงบังซ่อนพระองค์เองในความเงียบ แต่ได้ทรงพันองค์ด้วยผ้าอ้อมและทรงนอนอยู่ในรางหญ้า พระองค์จะได้แสดงพระองค์เองให้เราได้แลเห็นว่า พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดกับเรามนุษย์สักเพียงใด พระองค์จะสอนเราให้เรียกพระเจ้าว่า พระบิดาและจะสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงรักเรามนุษย์สักเพียงใด สำหรับเราคริสตชนและสำหรับคนอีกเป็นล้านๆคน นับตั้งแต่การสมภพของพระคริสตเจ้า เราได้มีหนทาง แนวทางใหม่ มิใช่เพียงเพื่อเข้าใจชีวิตดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้ช่วยพัฒนาชีวิตของเรามนุษย์ให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย จนที่สุดเราสามารถกล่าวได้ว่าตลอดกว่า 20 ศตวรรษที่ผ่านมา คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องมนต์เสน่ห์ของกุมารน้อยนี้จากเบธเลเฮม ทั้งหลงใหลกับข่าวดีของพระองค์ซึ่งได้นำมาให้ และได้ทำให้ชีวิตของพวกเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในทางที่ดีขึ้นมาก ๆ เราท่านที่นั่งอยู่ในขณะนี้ ก็น่าจะเป็นคนหนึ่งด้วย ดังนั้นให้เราชื่นชมยินดีในองค์พระผู้ได้ทรงเผยแสดงพระพักตร์ของพระเจ้าให้แก่เรา และพระองค์ท่านนั้นก็คือพระวจนาตถ์ของพระเจ้าที่ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ยกเว้นความบาป


    คุณพ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น