วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                วันนี้พ่อมีเรื่องน่าอ่านมาฝากให้กับพี่น้องอีกหนึ่งเรื่องครับ ไม่ทราบนามผู้เขียน แต่น่าอ่านมากครับมีบทสอนใจดีครับ
                "น้ำนิ่งไหลลึก น้ำลึกไร้เสียง"
                พ่อชวนลูกออกไปเดินเล่นยังชายป่า พอถึงทางโค้ง พ่อหยุดเดินแล้วถามลูกว่า นอกจากเสียงนกร้องแล้ว ลูกได้ยินเสียงอะไรอีก ลูกหยุดเดินแล้วเงี่ยหูฟัง ก่อนจะตอบว่า นอกจากเสียงนกร้องแล้ว ยังมีเสียงรถม้าวิ่งอยู่ พ่อบอกว่าถูกต้องแล้ว และนั่นเป็นรถม้าที่ไม่ได้บรรทุกอะไร ลูกแปลกใจจึงถามพ่อว่า รู้ได้ไงว่านั่นเป็นรถเปล่า เพราะ "รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง"
                พอเด็กน้อยโตขึ้น ทุกครั้งที่เจอคนที่ชอบคุยโม้โอ้อวด พูดจา โอหังชอบตัดบทคนอื่น ถือตนเป็นใหญ่ ไม่มีใครอยู่ในสายตา ดูหมิ่นคนอื่น เขามักจะมีความรู้สึกเหมือนพ่อมายืนกระซิบอยู่ข้างหูว่า "รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง"
                คนที่มีความเชี่ยวชาญในการเดินข้ามห้วยน้ำ ลำธาร ก่อนที่จะลุยลงน้ำ เขามักหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วปาไปกลางน้ำ เพื่อเป็นการคาดคะเนความลึกของน้ำ ละอองน้ำยิ่งกระจายสูงขึ้นเท่าไหร่ น้ำในลำธารก็จะยิ่งตื้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าละอองน้ำกระเซ็นขึ้นมายิ่งน้อยฉันใด แล้วยังบวกกับกระแสน้ำที่ไหลเงียบสนิท พึงสังวรได้เลยว่า น้ำจะยิ่งลึกมากขึ้นฉันนั้น .... จำไว้.... "น้ำนิ่งไหลลึก น้ำลึกไร้เสียง..."
                "รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง"
                คนมีดีแต่ไม่ทำตัวให้โดดเด่น
                ไม่โอ้อวดบารมี
                ไม่พูดจาข่มเขา
                นั่นน่าจะเป็นวิถีของคนจริง
                หากนำเอาหลักการเหล่านี้มาเปรียบเปรยกับบุคคลที่เราพบเจอ จะสังเกตได้ว่า คนใจเย็นเวลาสนทนากับคนอื่น มักจะสามารถหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับคู่สนทนา และยังสามารถซึมซับรับรู้ถึงความคิดเห็นของคนอื่น แทนที่จะดันทุรังเอาแต่ยัดเยียดความคิดเห็นตนเป็นใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว
                คนที่ก้าวเดินด้วยความใจร้อน มักมองไม่เห็นตะปูบนพื้น ฉันใด คนที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ก็ไม่รู้จักรสชาติของวันชื่นคืนสุขฉันนั้น
                ปฐพีนี้ไม่มีใครใหญ่ เกินมหาสมุทร
                แต่เหนือสุดกว้างใหญ่กว่า คือเวหา
                แม้นเวหาจะยิ่งใหญ่ครอบจักรวาล
                แต่ยังกว้างสู้จิตมนุษย์ มิได้เอย

พ่อสุพจน์
.............................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้อง
            คำว่า "อิมมานูเอล" เป็นคำที่คุ้นเคยกับเรื่องราวของวัน "คริสต์มาส" เพราะว่าคำว่า "อิมมานูเอล" คือชื่ออีกชื่อหนึ่งของ "พระคริสต์" ผู้ที่บังเกิดในวันคริสต์มาส นั่นอิสยาห์ (Isaiah) ผู้พยากรณ์ในสมัยของกษัตริย์อาหัสที่ปกครองยูดาห์ (หรือ "Judah" ซึ่งต่อมาเรียกสั้น ๆ ว่า "Jew" หรือยิว)  ได้พยากรณ์ไว้ว่า พระเจ้าจะให้หมายสำคัญ (sign) ว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่กับคนที่วางใจในพระองค์เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง  ดูเถิด หญิงสาว (พรหมจารี) คนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล" (อิสยาห์ 7:14)และในเวลา 700 ปีต่อมาในวันคริสตมาส ท่านมัทธิวได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นที่สำเร็จตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ  โดยเขียนว่า "ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า  ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล แปลว่า “อิมมานูเอล” " (มัทธิว 1:23)
            พระเจ้าซึ่งกำลังจะเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้น เรามนุษย์ส่วนใหญ่เป็นสิ่งสร้างที่ยังยึดติดอยู่กับนิสัยเดิมๆ ของตน มีคนพูดกันว่าในครึ่งหลังของชีวิตของเรามนุษย์ เรามักจะเจริญชีวิตอยู่กับนิสัยที่เราเคยได้ปลูกฝังไว้ในช่วงระหว่างครึ่งแรกของชีวิตของเรา นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนที่ได้ปลูกฝังแต่นิสัยที่ดีๆเอาไว้ แต่ว่าอาจจะเป็นโชคร้ายสำหรับคนที่เพาะแต่นิสัยที่ไม่ดี
            อย่างไรก็ตาม   ก็มีด้านบวกสำหรับเรื่องของนิสัย การสร้างพฤติกรรมที่ซ้ำไปซ้ำมา เป็นสิ่งที่จำเป็น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากและจำเป็นที่จะต้องมีวินัยตนเองในการสร้างนิสัยที่ดีก็ตาม บรรดานักกีฬาก็ได้แสดงให้เห็นว่าการย้ำพฤติกรรมที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ย่อมจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี และนั่นแหละเป็นทักษะที่สามารถถูกกำกับได้ และสามารถช่วยให้เขาฟันฝ่าช่วงเวลาที่เลวร้ายได้ แต่ว่าในเวลาเดียวกันนิสัยที่ไม่ดีก็สามารถก่อให้เกิดอะไรต่างๆในด้านลบได้ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยที่ทำอะไรต่างๆประจำวันอย่างเครื่องจักรโดยไร้จิตวิญญาณ ไม่ได้ใส่หัวใจลงไปในการกระทำของตนเอง นอกจากนั้น นิสัยที่ไม่ดีสามารถเป็นอะไร ที่เห็นแก่ตัวและยากแก่การที่จะเอาชนะได้ การพูดถึงเรื่องนิสัยของคนเราซึ่งเป็นการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ทำอย่างซ้ำๆ ซากๆ นั้น ก็เป็นจุดประสงค์หนึ่งของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าด้วย เป็นการปลุกเราให้ตื่นขึ้นจากนิสัยเดิมๆที่เย็นชาของเรา เป็นการให้โอกาสเราที่จะเริ่มต้นใหม่อย่างมีใจร้อนรนมากยิ่งขึ้นในการเตรียมสมโภชพระคริสตสมภพ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเป็นประจำทุกๆวัน ก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกันในชีวิตคริสตชนของเราแต่ละคน เราแม้มีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่างๆ แต่ก็ได้สูญเสียความสดใหม่และความหมายของพิธีกรรมนั้นๆ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใส่ใจในการฟังพระวาจา ปล่อยให้เข้าหูขวา แล้วทะลุออกหูซ้าย พระพักตร์ของพระเยซูเจ้าได้หายไปจากบนใบหน้าของเพื่อนพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่บ้านเดียวกับเรา เป็นโอกาสที่เราจะต้องทำการปัดฝุ่นแห่งนิสัยเก่าๆที่ไม่ดีของเราทิ้งเสีย และยอมปล่อยให้พระคริสต์เข้ามามีชีวิตในชีวิตของเราแต่ละคนอีกครั้งหนึ่ง
            องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเสด็จมา พระองค์จะมาหาเราแต่ละคน เวลาที่เราจะจบชีวิตของเราบนโลกใบนี้ และจะมาพิพากษาในวันสิ้นโลก เราจะไม่รู้วันเวลาของการเสด็จมาของพระองค์...เวลาใดไม่ว่า จะเป็นเวลาที่ไม่ดีสำหรับคนรับใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์ และเวลาใดไม่ว่า จะเป็นเวลาที่ดีสำหรับคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์จะไม่กลัวการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี อย่างแม่พระและนักบุญยอแซฟ ลุกขึ้นจากฝันทำให้เป็นจริงเถิด


    คุณพ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น