วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016

พี่น้องที่รัก
                เทศกาลมหาพรตเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวันพุธรับเถ้าที่ผ่านมา ตามธรรมเนียมดั้งเดิมของเราคริสตชน เทศกาลนี้เราจะมุ่งเน้นที่จะฝึกปฏิบัติในคุณธรรม 3 ประการ ที่สำคัญคือ การภาวนา การถือศีลอดอาหาร และ การบริจาคทาน โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะฟื้นฟูพระพรแห่งศีลล้างบาปที่เราได้รับมา
                การภาวนา หมายถึงให้อุทิศเวลาสำหรับการภาวนาให้มากขึ้น เทศกาลนี้ควรที่จะนำพาชีวิตของเราให้ใกล้กับพระเจ้ามากขึ้น เราอาจสวดภาวนาเพื่อขอพระพรให้เราสามารถปฏิบัติตนเป็นคริสตชนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นตามคำมั่นสัญญาขณะรับศีลล้างบาปของเรา เราอาจภาวนาเพื่อผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาปในวันปัสกาจะได้รับพระพรหล่อเลี้ยงเส้นทางชีวิตแห่งการเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าอย่างเพียงพอ เราอาจจะภาวนาเพื่อให้ผู้ที่เข้ามารับศีลอภัยบาปในระหว่างเทศกาลนี้จะได้ฟื้นฟูชีวิตของตนอย่างแท้จริงให้หลุดพ้นจากความเคยชินในบาปต่างๆ
                การถือศีลอดอาหาร หมายถึงการหักห้ามใจจากการบริโภค ได้รับการถือปฏิบัติมาแต่สมัยโบราณในเทศกาลนี้ ในอดีตพระศาสนจักรเคยกำหนดให้มีการอดอาหารสองวันก่อนจะถึงวันฉลองค่ำคืนตื่นเฝ้า ต่อมาได้มีการขยายเวลาแห่งการถือศีลอดอาหารเป็นช่วงเวลา 40 วัน การถือศีลอดมีอะไรที่มากกว่าเพียงเป็นการฝึกฝนที่จะควบคุมตนเองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความหิวที่เกิดขึ้นนั้นเตือนใจเราถึงความหิวกระหายหาพระเจ้า  ประกาศกอิสยาห์เคยเตือนว่า การถือศีลอดอาหารโดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยให้ดีขึ้นนั้น ไม่ได้ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย ดังนั้นการถือศีลอดจึงหมายถึงการละจากความปรารถนาต่างๆ การปลดปล่อยผู้ที่ถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรม การปลดแอกภาระหนักที่ถูกวางบนบ่าของบุคคล การแบ่งปันอาหารให้กับผู้หิวโหย การให้ที่อยู่อาศัยกับคนที่ขาดที่พึ่ง การให้เสื้อผ้ากับคนที่ไม่มีจะนุ่งห่ม เหตุผลประการสำคัญก็คือ เมื่อเราได้รับศีลล้างบาป เราได้ร่วมส่วนในการแสดงพระพักตร์อันเมตตาของพระคริสตเจ้าให้กับโลก โดยเฉพาะกับผู้คนที่ขัดสน ส่วนการอดเนื้อนั้นเป็นการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ยากไร้ที่ไม่มีเงินพอจะจัดซื้อเนื้อหรืออาหารดีๆมาบริโภค พระศาสนจักรยังแนะนำให้เราอดเนื้อในวันศุกร์ตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ด้วย
                การทำบุญให้ทาน ในเทศกาลมหาพรตนี้ เราแต่ละคนได้รับการเชิญชวนให้เก็บออม และบริจาคเงินออมที่เก็บได้จากการฝึกปฏิบัติจากการละเว้นในสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ เพื่อนำเงินออมนั้นแบ่งปันสำหรับกิจการกุศล และ ช่วยเหลือผู้ยากไร้
                การเดินรูปสิบสี่ภาค ถือเป็นกิจศรัทธาที่พระศาสนจักรเชิญชวนให้เราคริสตชนได้ทำเป็นพิเศษในเทศกาลมหาพรตนี้ เพื่อระลึกถึงการทนทรมานและการถวายองค์เป็นพลีบูชาบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสตเจ้า เมื่อเราเดินรูปสิบสี่ภาคก็เท่ากับว่าเรากำลังเชื่อมต่อชีวิตฝ่ายจิตของเรากับความหมายของพระพรแห่งศีลล้างบาป ในความหมายที่ว่าเมื่อเราเดินไปสู่ภาคต่างๆ ของพระทรมานของพระเยซู เท่ากับว่าเรากำลังก้าวเข้าไปในพระธรรมล้ำลึกของความตายและการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้า  และ ช่วยรื้อฟื้นคำมั่นสัญญาของเราเมื่อเรารับศีลล้างบาปนั้น ว่าเราจะสมัครใจอุทิศชีวิตของเราเพื่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าเคยกระทำ ทำให้เราเข้าใจว่าเมื่อเราเห็นพระเยซูต้องทนทรมานและรับความตายแล้ว จะช่วยเราให้กล้าที่จะน้อมรับความยากลำบากที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วยความสัตย์ซื่อต่อเสียงเรียกของพระเจ้าเสมอ
                มหาพรต มาหาพระ จึงเป็นเสมือนช่วงเวลาพิเศษจริงๆ สำหรับเราแต่ละคน ที่จะเข้าสู่ช่วง สะกดอดใจ ละจากความปรารถนาที่ไม่ดีไม่งาม วางตนในกรอบของความดี ความบริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด และจริงจังกับข้อตั้งใจที่มีอยู่ ขอพระเจ้าประทานพระพรให้กับพี่น้องจะก้าวไปบนความก้าวหน้าของชีวิตฝ่ายจิตอย่างเกิดผลด้วยเถิด

พ่อสุพจน์
..............................................................................................................

พี่น้องที่รัก
การถูกทดลองของพระเยซูเจ้าดังนี้
1.คำกรีก peirazein (เปยราเซน) มีความหมายว่า ทดลองหรือ ทดสอบมากกว่าจะแปลว่า ผจญ, ประจญ, หรือ ล่อลวงซึ่งส่อไปในทางชักชวนผู้อื่นให้ทำผิด  หากเราแปลคำ peirazeinในหนังสือปฐมกาลบทที่ 22 ข้อ 1 เป็น ผจญก็จะได้ความว่าพระเจ้าทรงผจญอับราฮัมให้ถวายอิสอัคบุตรชายเป็นเครื่องเผาบูชา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะชักชวนอับราฮัมให้ทำผิดเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงควรเปลี่ยนความคิดจากสิ่งที่เคยเรียกว่า การผจญแล้วมักลงเอยด้วยความพ่ายแพ้หรือบาปเสียใหม่ การผจญเป็นการกระทำของปีศาจ พระเป็นเจ้าทรงประทานให้เรามีความสามารถและเหมาะสมกับภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ พระเจ้าทรงประทานการ ทดลองแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร ไม่ใช่เพื่อให้ตกในบาป แต่เพื่อให้เราชนะบาป จะได้เข้มแข็ง บริสุทธิ์ และเหมาะสมกับภารกิจที่จะทรงมอบหมายให้มากขึ้นการทดลองจึงไม่ใช่สิ่งน่ากลัวหรือน่าอับอายที่จะต้องปกปิดกันอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เราแต่ละคนจะต้องสอบให้ผ่านและเอาชนะให้จงได้
2.ถิ่นทุรกันดารตั้งอยู่ระหว่างกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่บนที่ราบสูงตอนกลางของประเทศกับทะเลตายซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล มีเนื้อที่ประมาณ 1,300 ตารางกิโลเมตร ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้เลยพระองค์เสด็จไปในดินแดนที่ไร้ผู้คนเพราะทรงประสงค์จะอยู่ตามลำพังเพื่อพิจารณาหาวิธีการทำให้ภารกิจที่พระบิดาทรงมอบหมายสำเร็จลุล่วงไปในชีวิตนี้ มีบางสิ่งที่เราต้องทำเองตามลำพัง  มีบางครั้งที่คำแนะนำของใคร ๆ ก็ไม่อาจช่วยเราได้  เราต้องรู้จัก หยุดทำและ เริ่มคิดบ้างอย่าให้เราผิดพลาดเพียงเพราะไม่มีโอกาสอยู่ตามลำพังกับพระเจ้า ช่างน่าเสียดายยิ่ง
3.พระวรสารสามฉบับเน้นเหมือนกันว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกทดลองทันทีหลังรับพิธีล้างจากยอห์น โดยเฉพาะมาระโกระบุชัดเจนว่า ทันใดนั้น พระจิตเจ้าทรงดลให้พระองค์เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร” (มก 1:12)เป็นความจริงว่าเมื่อเราขึ้นสู่จุดสูงสุดหรือผ่านเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว จะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ในทางที่เป็นภัยมากกว่าเป็นคุณ  เหมือนดอกไม้ไฟที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดและสว่างไสวที่สุดแล้ว ก็จะดับมืดและร่วงตกลงมาสู่พื้นพระเยซูเจ้าก็เช่นกัน พระองค์พึ่งจะได้รับเกียรติสูงสุด โดยพระจิตเจ้าที่เสด็จมาในรูปของนกพิราบทรงรับรองพระองค์เป็น บุตรสุดที่รักของพระบิดา  และทันทีเป็นพระจิตเจ้าอีกเช่นกันที่ทรงนำพระองค์สู่การทดลองในถิ่นทุรกันดาร
4.การทดลองของพระเยซูเจ้าไม่ใช่ประสบการณ์ภายนอก แต่เป็นการดิ้นรนต่อสู้ภายในจิตใจและวิญญาณของพระองค์เอง เหตุผลคือในโลกนี้ไม่มี ยอดเขาสูงมากจนพระองค์สามารถ ทอดพระเนตรอาณาจักรรุ่งเรืองต่าง ๆ ของโลกได้ทั้งหมด (มธ 4:8)แสดงว่า ปีศาจโจมตีจากภายในจิตใจของเรา”  มันสามารถเจาะแนวป้องกันของเราเข้ามาได้ และที่ร้ายกาจสุด ๆ คือมันมี ความคิดและความปรารถนาของเราเองเป็นพันธมิตรและเป็นอาวุธของมัน เราจึงตกในความพ่ายแพ้ได้ง่าย
5.อย่าคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกทดลองเพียงครั้งเดียวในชีวิต  ที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป เป็นเปโตรศิษย์รักนั่นเองที่ล่อลวงพระองค์ให้เลือกหนทางอื่นที่ง่ายกว่าหนทางของไม้กางเขน จนพระองค์ต้องดุว่า เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง” (มธ 16:21-23)เมื่อใกล้วาระสุดท้าย พระองค์ทรงกล่าวกับพวกศิษย์ว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่กับเราในการทดลองที่เราได้รับ” (ลก 22:28)แม้เราไม่มีฤทธิ์อำนาจพอที่จะทำให้ถูกทดลองกระโดดจากที่สูงหรือเปลี่ยนก้อนหินเป็นขนมปังเหมือนพระองค์  แต่เราต้อง ระมัดระวังการใช้พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษที่เรามี”  จงอย่าใช้ในทางที่ผิด เช่นใช้ความสวยงามหลอกลวงผู้อื่น หรือใช้วาทศิลป์เปลี่ยนขาวให้เป็นดำหรือดำให้เป็นขาว เป็นต้นเรากำลังหลงผิดและเดินอยู่ในความมืด ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก

พ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น