วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            วันอาทิตย์สัปดาห์ที่สองในเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เป็นวันพระคัมภีร์ การที่พระศาสนจักรกำหนดวันวันนี้ให้เป็นวันพระคัมภีร์ ก็เพื่อรณรงค์ให้คริสตชนทุกคนให้ความสำคัญกับหนังสือพระคัมภีร์ วันนี้พ่อจึงอยากจะถือโอกาสนี้เรียนกับพี่น้อง เกี่ยวกับเรื่องของพระคัมภีร์สักหน่อยครับ ในพระศาสนจักรคาทอลิกของเรานั้น พระคัมภีร์ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตคริสตชน เพราะ พระคัมภีร์คือหนังสือที่บันทึกพระวาจาของพระเจ้า ที่ทรงเผยแสดงพระธรรมล้ำลึกของพระองค์ให้กับมวลมนุษย์ ดังนั้นหนังสือพระคัมภีร์จึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการที่เรามนุษย์จะสามารถเรียนรู้ถึง ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีที่พระเจ้าทรงมีต่อเรามนุษย์ หนังสือพระคัมภีร์จึงเป็นเสมือนหัวใจของพระศาสนจักร เพราะระเบียบ ข้อปฏิบัติ และ แนวทางในการดำเนินชีวิตของเราคริสตชน ก็มีที่มาจากหนังสือพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ปราศจากเสียซึ่งหนังสือพระคัมภีร์เสียแล้ว เราคริสตชนก็คงไม่มีแก่นสารใดๆที่จะทำให้เราเรียนรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลย วันวันนี้จึงเป็นวันที่พระศาสนจักรทั่วโลกรณรงค์ให้เราคริสตชนทุกคน หันมาให้ความสำคัญกับหนังสือพระคัมภีร์ ซึ่งพ่อคิดว่าในทางปฏิบัติแล้ว เราทุกคนควรที่จะสนใจในการอ่านหนังสือพระคัมภีร์ทุกๆวัน เพราะนี่คือหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นประดุจลายแทงขุมทรัพย์ที่ช่วยเราแต่ละคนให้พบกับ ทรัพย์สมบัติที่มีคุณค่ามหาศาล ที่ไม่รู้จักเสื่อมสลาย ใครก็ตามที่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัตินี้ เขาจะเป็นผู้มั่งคั่งมั่งมี ด้วยทรัพย์ศฤงคารที่ช่วยให้เราค้นพบกับความสุขที่อิ่มเอมเปรมใจชนิดที่ว่า เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
            ด้วยเหตุนี้พ่อจึงขอเชิญชวนให้เราคริสตชนคาทอลิกทุกคนได้เปิดหนังสือพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านทุกวัน พี่น้องอาจจะเริ่มต้นจากการอ่านไบเบิ้ลไดอารี่ก็ได้ เพราะเป็นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด แต่กระนั้น เราก็ควรที่จะอ่านพระคัมภีร์ให้จบ อย่างน้อย 1 จบ ทั้งภาคพันธสัญญาเดิม และ ภาคพันธสัญญาใหม่ เพราะนี่คือสาระที่มีคุณค่ากับชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราอย่างแท้จริง ถ้าเราละเลย ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่สนใจใยดี แล้วเราจะตอบพระเจ้าได้อย่างไรว่า เรารู้จักพระองค์ รักพระองค์ ในเวลาสุดท้ายที่พระองค์จะถามเรา เพราะในระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ เราไม่เคยให้เวลา อ่านถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่ได้สื่อความถึงเรามนุษย์โดยผ่านทางพระคัมภีร์เลย วันนี้พ่ออยากเชิญชวนให้พี่น้องร่วมกันบริจาคเพื่อการทำงานด้านการแปล การจัดพิมพ์หนังสือพระคัมภีร์ และการรณรงค์เพื่อให้เราคริสตชนค้นหาแก่นแท้ของการดำเนินชีวิตโดยยึดพระคัมภีร์เป็นหลักในการดำเนินชีวิตของเราครับ


คุณพ่อ สุพจน์
..........................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเยซูต้องมารับพิธีล้างบาปจากยอห์น

บรรดาคนบาป หญิงโสเภณี คนเก็บภาษีออกไปหาประกาศกยอห์นเพื่อรับพิธีล้าง เพราะพวกเขาใฝ่หาเครื่องหมายของการเป็นทุกข์กลับใจ เพื่อจะได้รับการอภัยบาป การรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าจึงดูจะเป็นปัญหาสำหรับคริสตชนสมัยแรก เพราะพิธีนี้เรียกร้องการสารภาพบาปของตน รวมทั้งความพยายามละทิ้งชีวิตเก่าที่ไม่ดีเพื่อมาดำเนินชีวิตในหนทางใหม่กับพระเจ้า คริสตชนจึงตั้งคำถามว่าพระเยซูเจ้าจะทรงเคยทำบาป และนำมาสารภาพในพิธีล้างได้อย่างไร กล่าวได้อีกอย่างคือ พระเยซูไม่จำเป็นต้องรับพิธีล้างนี้เลย เพราะพระองค์ย่อมไม่มีบาป
ความจริงคือพระเยซูเจ้าทรงยอมรับพิธีล้างนี้ เพื่อแสดงให้เราเห็นสองอย่างคือ พระองค์ยินดีรับบาปของเรามนุษย์ทั้งหมดไว้ในพระองค์ ทรงเริ่มภารกิจแรกของพระองค์ด้วยการยืนยันที่จะรับบาปของมนุษย์ไว้บนบ่าของพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์ทรงเข้าใจดีว่าการรับพิธีล้างของพระองค์ เป็นการบ่งบอกล่วงหน้าถึงพระทรมาน การยอมรับความตายเพราะเห็นแก่บาปของมนุษยชาติ และที่สุดคือการกระทำล่วงหน้าของการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ด้วย ผ่านทางศีลล้าง อันหมายถึงการทรงถูกจุ่มลงรับความตายในน้ำ และกลับขึ้นมาจากความตาย ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ
ภาพของท้องฟ้าที่เปิดออกเหนือพระเยซูเจ้า และเสียงจากสวรรค์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ที่มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้า ผู้ทรงปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาอย่างสมบูรณ์ เสียงนั้นไม่ได้เปิดเผยว่าพระเยซูเจ้าทรงได้ทำอะไร แต่ประกาศยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด “บุตรที่รัก และที่โปรดปรานของเรา” (ลก 3: 22)
“ในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงรับโฉมหน้าของมนุษย์ เพื่อกลายมาเป็นเพื่อน และพี่น้องของเรา”
    โจเซฟ รัตซิงเกอร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น