วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2018


พี่น้องที่รัก
“เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว”
ถ้าเราไม่ตายกับพระคริสตเจ้า เราจะไม่บังเกิดผล พระวาจาตกลงในดินดี เปื่อยเน่า และกลับกลายเป็นต้นกล้าแข็งแรงและเจริญเติบโตเกิดดอกออกผลมากมาย  ชีวิตคริสตังที่กำลังเดินทางมหาพรตกับพระคริสตเจ้าเพื่อมุ่งสู่ปัสกา ผ่านพ้นความตายเพื่อชีวิตสันติสุขนิรันดร ซึ่งเริ่มได้ตั้งแต่ในโลกนี้ ให้เราเริ่มลิ้มรสสวรรค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เถิด
คู่มือเตรียมสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์มอบให้ทุกคนเพื่อนำไปใช้ควบคู่ไปกับหนังสือพิธีสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของวัด(ฉบับใหม่)ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันอาทิตย์ใบลานและตรีวารปัสกาคือพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ และเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ จุดประสงค์คือการมีส่วนร่วม เข้าใจ และไม่พะวงกับความสั้นยาวของพิธี เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องพิธีสำคัญของเวลาช่วงสุดท้ายของพระเยซูเจ้าไถ่บาปบนโลกนี้ตรีวารปัสกา ที่เราใกล้ถึงเส้นชัยสวรรค์บนโลกนี้แล้ว
วันอาทิตย์หน้า 25 มีนาคม มิสซาเวลา 08.00 น.เชิญชวนรวมตัวกันที่หน้าศาลาหลุยส์มารีย์ของวัด เพื่อร่วมพิธีเสกใบลาน รับฟังพระวาจา และเดินแห่เข้าวัดพร้อมกัน และเริ่มต้นสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ให้พี่น้องใช้หนังสือเพื่อมีส่วนร่วม โดยเฉพาะอ่านพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า สลับกับพระสงฆ์ สังฆานุกร ให้สัตบุรุษ ดู อักษร พ. จากหนังสือพิธีกรรม
ใบจาก ใบตาล ใบลาน เริ่มลดน้อยลง เจ้าของต้นไม้เหล่านี้ต่างหวงและปรารถนาจะรักษาพืชผลของเขาไว้จึงต้องปรับแนวทางการใช้ใบไม้สกุลปาล์มกันใหม่ ดังนั้นในปีนี้ทางวัดเริ่มเสริมใบหมากเข้ามาเพราะเป็นต้นๆ และไม้ประดับตบแต่ง จึงเริ่มนำมาใช้มีทั้งใบและต้น ใบสามารถวางไว้บนแท่นพระหรือในที่เหมาะสม ส่วนเป็นต้นก็นำไปปลูกหรือดูแลไว้ มีความหมายดี (ใบทางวัดมอบให้) ส่วนเป็นต้นๆ ก็ช่วยค่าใช้จ่ายเพื่อร่วมด้วยช่วยกัน ใครที่ห่วงเรื่องเสกแล้ว ก็ขอจัดสิ่งเหล่านี้ไว้ในที่เหมาะสม ไม่ทิ้งขว้างหรือวางไว้ในที่ไม่เหมาะสม บางทีต้นหมากเขียวก็สามารถปลูกไว้หน้าบ้านเพื่อเตือนใจถึงการต้อนรับพระเยซูเจ้าเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า เราจะได้ภูมิใจในชีวิตคริสตัง
ค่ำคืนวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ 29 มีนาคม 19.00 น. พิธีล้างเท้าในมิสซาให้กับตัวแทนพี่น้อง 12 คน พ่อจะเลือกผู้แทนของพี่น้องที่มาวัดเป็นประจำจากแต่ละรอบของเสาร์อาทิตย์แบบครอบครัวสม่ำเสมอสัก 12 บ้าน เพื่อให้มีบรรยากาศของชุมชนคริสตชนที่ชวนครอบครัวกันมาหาพระเยซูเจ้าในวันเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระองค์ ในปีนี้พระอัครสมณฑูตวาติกันประจำประเทศไทยจะกระทำพิธีล้างเท้า ณ บริเวณที่นั่งของสัตบุรุษในวัด ใครที่นั่งใกล้คงได้เห็นอย่างใกล้ชิด
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ 30 มีนาคม 19.00 น. การนมัสการไม้กางเขนใหญ่ใช้เพียงไม้เดียวจะกระทำในวัด ส่วนการจูบกางเขนในพิธีให้คณะสงฆ์ ตัวแทนอัครสาวกและผู้สูงอายุซึ่งมากับรถก่อน สำหรับสัตบุรุษทั่วไปให้เดินมาจูบ หลังจบพิธีอวยพรภาวนารับศีลมหาสนิทแล้วอย่างสงบและเรียบร้อย ไม้กางเขนใหญ่คงตั้งไว้จนถึงเที่ยงของวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำตามแนะนำให้สัตบุรุษรำพึงถึงความตายของพระเยซูเจ้าเพื่อการไถ่บาปของชาวเรา
เวลา 18.30 น. ของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มเดินรูป 14 ภาค ส่งท้ายมหาพรตปีนี้

พ่อเจ้าวัดเซนต์หลุยส์
.......................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง  

                  ชาวกรีกมีนิสัยชอบท่องเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อทำการค้าขายและแสวงหาสิ่งใหม่ๆ  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม ระหว่างเทศกาลปัสกาอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ นอกจากชอบแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ แล้ว ชาวกรีกยังชอบแสวงหาความจริงเป็นชีวิตจิตใจ  พวกเขาชอบศึกษาลัทธิปรัชญา และศาสนาต่าง ๆ  และมักเปลี่ยนอาจารย์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ความจริงที่น่าพอใจ  ชาวยิว กลุ่มนี้คงได้เข้าไปในพระวิหารที่ลานชั้นนอกสำหรับคนต่างศาสนา และมีโอกาสเห็นพระเยซูเจ้าชำระพระวิหาร จนเกิดแรงบันดาลใจให้อยากรู้จักพระองค์พวกเขาไปหาฟิลิป อาจเป็นเพราะชื่อฟิลิปเป็นภาษากรีก แต่ฟิลิปไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาจึงไปปรึกษาอันดรูว์ซึ่งเคยพาเปโตร และเด็กชายเล็ก ๆ พร้อมกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัวไปพบพระเยซูเจ้า แล้วอันดรูว์รู้ดีว่าไม่มีใครน่ารำคาญหรือน่าเบื่อหน่ายสำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ไม่เคยขับไล่ไสส่งคนที่มีหัวใจแสวงหาพระองค์ให้กลับไปมือเปล่า เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้วคำพูดของพระเยซูเจ้าประโยคนี้คงทำให้ผู้ฟังพากันกั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาคาดหวังนั้นช่างต่างกับสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการหมายถึงราวหน้ามือกับหลังมือ คำ บุตรแห่งมนุษย์มีที่มาจากหนังสือประกาศกดาเนียลบทที่ 7 ข้อ 13-14 ที่ว่า ดูเถิด มีท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์มาพร้อมกับบรรดาเมฆของสวรรค์ และท่านมาหาผู้เจริญด้วยวัยวุฒินั้น เขานำท่านมาเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์  ราชอำนาจ ศักดิ์ศรี กับราชอาณาจักร เขานำมามอบไว้กับท่าน เพื่อบรรดาชนชาติ ประชาชาติทั้งปวง และภาษาทั้งหลายจะปรนนิบัติท่าน ราชอาณาจักรของท่านเป็นราชอาณาจักรนิรันดร์ เบื้องหลังของคำทำนายนี้คือ โลกในยุคของดาเนียลตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรใหญ่สี่แห่งอันได้แก่ อัสซีเรีย บาบิโลน มีเดีย และเปอร์เซีย  ผู้คนของทั้งสี่อาณาจักรล้วนมีจิตใจโหดร้ายเหมือนสัตว์ป่าซึ่งดาเนียลเปรียบตัวแรกเป็นสิงโตมีปีกนกอินทรี  ตัวที่สองเหมือนหมีที่มีกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ระหว่างฟัน  ตัวที่สามเป็นเสือดาวสี่หัวพร้อมกับปีกนกสี่ปีก  และตัวสุดท้ายเป็นสัตว์ร้ายพร้อมฟันเหล็กมหึมาที่น่ากลัวที่สุดจึงเป็นความใฝ่ฝันของชาวยิวที่จะเห็นอำนาจใหม่และอาณาจักรใหม่ ที่ผู้คนมีจิตใจอ่อนโยนเหมือน บุตรมนุษย์ไม่ใช่ดุร้ายเหมือน ลูกสัตว์ป่า
            แต่ยุคทองแห่งอำนาจใหม่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อชาวยิวเป็นเพียงชนชาติเล็ก ๆ และอ่อนแอ  หนทางเดียวที่จะเป็นไปได้คืออาศัย พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า
            บุคคลที่มีจิตใจเหมือน บุตรมนุษย์ในภาพนิมิตของดาเนียล จึงถูกนำมาใช้เพื่อหมายถึง บุตรแห่งมนุษย์ที่พระเจ้าจะส่งมาเพื่อนำพาชาวยิวไปสู่ยุคใหม่แห่งอำนาจและสถาปนาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เที่ยงแท้ถาวร เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่า เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้วย่อมหมายความว่าปี่กลองรบได้ลั่นแล้ว  ขบวนการกู้ชาติได้เริ่มต้นแล้ว
            แต่ พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าไม่ได้หมายถึงอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ทางโลก ตรงกันข้าม พระองค์หมายถึง กางเขนน่าเสียดายที่ชาวยิวไม่เข้าใจคำสอนของพระองค์ อีกทั้งไม่พยายามที่จะเข้าใจอีกด้วย นอกจากจะสอนว่า กางเขนเป็นหนทางสู่ พระสิริรุ่งโรจน์แล้ว พระองค์ยังได้ประทานคำสอนอันเป็นอมตะแก่เราอีก 3 ประการด้วยกัน
    1. ความตายก่อให้เกิดชีวิต  เมล็ดข้าวสาลีจะไม่บังเกิดผลเลยหากมันถูกเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยและมั่นคง ต่อเมื่อมันถูกโยนและจมลงบนพื้นดินที่เย็นชุ่มดุจดังหลุมศพนั่นแหละ มันจึงจะเจริญงอกงามและบังเกิดผลในอดีต ไม่ใช่เป็นเพราะโลหิตของบรรดามรณสักขีดอกหรือที่ทำให้พระศาสนจักรเจริญเติบโตดังเช่นปัจจุบัน สำหรับตัวเราก็เช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่เราฝังความต้องการและความทะเยอทะยานส่วนตัว เมื่อนั้นเราจะกลายเป็นข้ารับใช้ที่มีประโยชน์ยิ่งสำหรับพระเจ้า
    2.การสละชีวิตจะรักษาชีวิตไว้  ผู้ที่รักชีวิตของตนมักมีสาเหตุ 2 ประการคือ เห็นแก่ตัว และต้องการความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ให้เราลองจินตนาการดูว่าโลกของเราจะสูญเสียอะไรบ้าง หากไม่มีผู้ใดพร้อมจะสละความเห็นแก่ตัวหรือความมั่นคงในชีวิตของตน เพื่องานพัฒนาวิจัยด้านต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยอันตรายและเสี่ยงภัย  โลกของเราเป็นหนี้บุญคุณผู้ที่พลีแรงกายและแรงใจอุทิศตนแด่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์มากมายมหาศาลจริง ๆ พระเยซูเจ้าจึงตรัสย้ำหลายครั้งหลายโอกาสว่า ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ย่อมจะรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร” (มก 8:35; มธ16:25; 10:39; ลก 9:24; 17:33)
    3.  การรับใช้นำมาซึ่งเกียรติอันยิ่งใหญ่  บุคคลที่โลกจดจำด้วยความรักคือผู้ที่อุทิศตนรับใช้ผู้อื่น แต่น่าเสียดายที่โลกยุคใหม่รู้จักการรับใช้น้อยลงทุกที สิ่งที่พวกเขาสนใจคือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งแม้จะทำให้เขาร่ำรวยเป็นเศรษฐีหมื่นล้านได้ แต่จะไม่มีผู้ใดรักเขา บังเอิญว่า ความรักคือ ความมั่งคั่งที่แท้จริงของชีวิต ยิ่งเป็นการรับใช้พระเยซูเจ้าด้วยแล้ว เกียรติที่ได้รับนั้นช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ เพราะพระองค์ตรัสว่า ผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา”“บัดนี้ ใจของเราหวั่นไหว...บัดนี้ เจ้านายแห่งโลกนี้กำลังจะถูกขับไล่ออกไป” (ข้อ 27,31)ยอห์นไม่ได้เล่าเรื่องความทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนีเหมือนผู้เขียนพระวรสารคนอื่น  แต่ท่านเล่าตอนนี้ว่าพระองค์พยายามหลีกหนีกางเขนเช่นกัน ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้” (ข้อ 27) แน่นอน ไม่มีใครอยากตายขณะอายุ 33 ปี  ยิ่งเป็นความตายบนไม้กางเขนด้วยแล้วยิ่งไม่มีใครต้องการ  พระเยซูเจ้าก็กลัวและไม่ต้องการเช่นเดียวกันเพราะกลัว คุณค่าแห่งความนบนอบที่พระองค์มีต่อพระบิดาจึงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง  หากพระองค์นบนอบได้ง่าย ๆ แล้วจะมีคุณค่าได้อย่างไร เพราะ ความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ ไม่กลัวแต่อยู่ที่ แม้กลัวจนตัวสั่นก็ยัง ทำในสิ่งที่ควรทำ ทั้ง ๆ ที่กลัวและเครียด พระเยซูเจ้าก็ยังมีความบรรเทาใจ เพราะทรงมองเห็นชัยชนะรออยู่เบื้องหน้า หากพระองค์นบนอบพระบิดาและยอมรับไม้กางเขน ผลที่จะตามมาคือ เจ้านายแห่งโลกนี้ (ซาตาน) จะถูกขับไล่ออกไปนอกจากอำนาจของซาตานจะถูกทำลายแล้ว พระองค์ยังมองเห็นภาพที่พระองค์ถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน สามารถดึงดูดมนุษย์ทุกคนให้มาหาพระองค์เมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน เราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา” (ข้อ 32)พระองค์ตระหนักดีว่า หนทางสู่ชัยชนะขั้นสูงสุดอยู่ที่ พลังดึงดูดของไม้กางเขนและประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์เป็นฝ่ายถูกพลังรักไม่มีวันตาย  ส่วน พลังอำนาจตายหมด แต่อาณาจักรของพระคริสตเจ้าซึ่งมีรากฐานอยู่ที่ ไม้กางเขนยังคงอยู่ และกำลังแผ่ขยายออกไปทุกวัน แต่พระองค์เลือกเป็นกษัตริย์แห่งความรักที่มีบัลลังก์จารึกอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคนชั่วกัลปวสานอาณาจักรของพระองค์มีพื้นฐานอันมั่นคงอย่างยิ่งนั่นคือ ความรักอันเสียสละ” !
คพ.พงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น