วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2017

พี่น้องที่รัก
            วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วนะครับ ช่วงเวลา 5 ปีเต็มที่พ่อได้รับมอบหมายให้มาทำงานที่วัดเซนต์หลุยส์โบยบินลับไปแบบฟาสต์ฟอร์เวิร์ด จนมาถึงช่วงเวลาสุดท้ายของการทำหน้าที่ของพ่อที่นี่แล้ว ยังนึกถึงวันแรกๆที่มาทำงานที่วัดนี้ พ่อรู้สึกว่าที่แห่งนี้มีอะไรที่ยิ่งใหญ่งดงามแฝงอยู่มากมาย ในด้านสถานที่ภายนอก วัดแห่งนี้แม้ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางอะไร แต่สถาปัตยกรรมรูปทรงของตัววัดซึ่งเป็นพระวิหารของพระเจ้า งดงามลงตัวเป็นเอกลักษณ์อย่างที่ไม่มีที่ไหนในเมืองไทยเสมอเหมือน พ่อค่อยๆ เรียนรู้ทีละเล็กละน้อย ทีละวัน ผ่านทางการทำงานกับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน พ่อพบว่า ความงดงามที่นอกเหนือจากสิ่งก่อสร้างและวัตถุที่มองเห็นได้ภายนอกก็คือความงดงามในจิตใจของพี่น้องสัตบุรุษที่วัดเซนต์หลุยส์นี่แหละ ที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ ความศรัทธาเลื่อมใสในพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้านี้เอง ที่ได้รับการสืบสานส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น วัดนี้เป็นวัดที่มีบรรยากาศความมีชีวิตชีวาในการร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์สูงมาก พ่อเห็นครอบครัวที่พากันมาวัดวันอาทิตย์ ประกอบไปด้วยคนรุ่นตารุ่นยายมาวัดพร้อมกันกับรุ่นพ่อรุ่นแม่และลูกหลานเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนมีความสุขที่จะได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อนมัสการสรรเสริญพระเจ้า พ่อสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์แนบแน่นของความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้อย่างชัดเจนในวัดของเรา
            สิ่งที่สำคัญที่จะเป็นความทรงจำของพ่อตลอดไปก็คือ ความร่วมมือร่วมใจที่พี่น้องกรุณามอบให้กับพระสงฆ์ที่ทำงานที่วัดแห่งนี้เรื่อยมา และคิดว่าพี่น้องก็คงจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ พี่น้องคงสังเกตว่าพ่อให้ความสำคัญกับเด็กๆ เพราะพ่อเชื่อว่าการปลูกฝังเด็กๆให้มีความเชื่อความรักในพระเจ้า ความประทับใจในการมาวัดปฏิบัติศาสนกิจเป็นเรื่องที่จะต้องเริ่มตั้งแต่เขายังเล็ก วัดและครอบครัวต้องร่วมมือกันส่งผ่านความเชื่อในพระเจ้าให้กับลูกหลานของเราอย่างเข้มแข็ง ภาพของเด็กที่กล้าวิ่งเข้ามาหาพระสงฆ์ ภาพของเด็กช่วยมิสซาจำนวนมากบนพระแท่น สื่อถึงอนาคตที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวังของพระศาสนจักรท้องถิ่นในวัดของเรา
            พ่อถือโอกาสนี้ขอแสดงความขอบคุณมายังพี่น้องทุกๆท่าน ที่มีส่วนทำให้วันเวลาของพ่อในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้มีความสุขทุกวัน แม้เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เป็นความทรงจำที่ดีของพ่อ ที่มีโอกาสได้รับใช้พี่น้องในด้านต่างๆ เท่าที่ความสามารถและศักยภาพที่พระเจ้าประทานให้จะเอื้ออำนวย แม้ว่าพ่อจะยังไม่อยากให้วาระการทำงานที่วัดแห่งนี้สิ้นสุดลง แต่กาลเวลานั้นก็ต้องมาถึงไม่ว่าจะช้าหรือเร็วจนได้ พ่อคิดว่าเราต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันในชีวิต นั่นก็คือ การตอบสนองต่อน้ำพระทัยพระเจ้า และสิ่งนี้ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด พ่อเชื่อว่าพี่น้องทุกท่านต่างก็กำลังก้าวไปบนเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน น่าดีใจที่บางช่วงบางเวลาของการไปสู่เป้าหมายของชีวิตดังกล่าวเรามีโอกาสได้เดินเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลใกล้ชิดกัน และแม้ว่าในอนาคตข้างหน้าเส้นทางของแต่ละชีวิตอาจต้องดำเนินเหินห่างจากกันบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วเราต่างก็มีเป้าหมายสุดท้ายที่เดียวกันครับ
            พ่อจะอยู่ที่วัดนี้จนถึงวันที่ 11 พฤษภาคมครับ หมายความว่าในอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคมสัปดาห์หน้าเรายังคงได้พบปะเจอะเจอกันอยู่ ซึ่งคณะกรรมการสภาภิบาลกำหนดว่าจะมีการกล่าวอำลาในมิสซารอบ 8 นาฬิกา ครับ  ส่วนคุณพ่อชาญชัย ทิวไผ่งาม เจ้าอาวาสองค์ใหม่จะเข้ามาปฏิบัติงานที่วัดเซนต์หลุยส์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคมครับ ระหว่างนี้พ่อก็จะมอบหมายงานต่างๆ ที่ยังต้องสานต่อโดยเฉพาะเรื่องการเตรียมฉลอง 60 ปีวัดเซนต์หลุยส์ และการก่อสร้างซึ่งยังไม่แล้วเสร็จกับคุณพ่อชาญชัยต่อไปครับ
            พ่อจะภาวนาเพื่อพี่น้องเสมอในพิธีบูชาขอบพระคุณครับ

พ่อสุพจน์
..............................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            การประจักษ์จากสวรรค์แต่ละครั้งเป็นการตำหนิโลกที่ยังเอาแต่เศร้าโศก โลกเชื่อว่ามีเหตุผลต้องเศร้า แต่สวรรค์มีเหตุผลให้ต้องเริงร่า ในขณะที่สวรรค์มีความรัก ความยินดีและชัยชนะของพระเจ้าเหนือความตายต่อโลกมีแต่การเสียสละ มีความหวาดหวั่น  ในขณะที่โลกมีบาป สวรรค์มีแต่การให้อภัยและเต็มไปด้วยความรัก
            ศิษย์สองคนเดินก้มหน้าก้มตาเพราะเชื่อว่าพวกเขาล้มเหลว เราเคยหวังไว้ว่าพวกเขาหวังว่าวันหนึ่งจะมีการปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้เป็นอิสระ ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ผิดหวัง เพียงแต่ว่าพวกเขายังไม่เข้าใจ เพราะพวกเขามีความคาดหวังที่ต่างไปจากแผนการไถ่กู้ของพระเจ้า  พวกเขายืนยันว่ามีผู้หญิงบางคนกลับมาบอกพวกเขาเกี่ยวกับเทวดาที่ประจักษ์ในพระคูหาและยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ บางคนรีบตรงไปที่พระคูหาและเห็นสิ่งที่ผู้หญิงเล่าให้ฟัง แต่พวกเขาไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (เทียบ ลก.24,22-24)  เพราะใจพวกเขาก็ยังไม่พร้อมจะยอมรับอยู่ดี
            เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่า พวกเขาเห็นพระเยซูเจ้ามาร่วมเดินทางแต่กลับจำพระองค์ไม่ได้ ทำไมพระองค์จึงทรงประจักษ์แต่ทำให้พวกเขามองไม่เห็นพระองค์? ทำไมพระองค์จึงทรงกลับคืนชีพแต่ทำให้สาวกตามหาพระองค์ไม่พบ?    ถึงแม้สายตาของพวกเขาจะจำพระองค์ไม่ได้ แต่จิตใจของพวกเขาเร่าร้อนเป็นไฟเมื่อพระองค์ตรัสกับพวกเขามาตามทาง พระองค์ทรงต่อว่าพวกเขาอย่างนุ่มนวล เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อพระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ” (ลก 24,25-26)  
            พระเยซูเจ้าทรงใช้พระคัมภีร์เพื่ออธิบายให้พวกเขาเข้าใจ พระคัมภีร์ที่พวกเขาท่องขึ้นใจและเชื่อว่าเข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว นี่คือวิถีแห่งพระวาจาทรงชีวิต...ให้ความกระจ่าง แก้ความเข้าใจผิด เรียกร้อง... ศิษย์ทั้งสองตรวจสอบจิตใจด้วยพระคัมภีร์และเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ที่พวกเขาเองได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยนั้น พวกเขายังเข้าไม่ถึงอย่างแท้จริง เลยทำให้พวกเขาเขลาและเชื่องช้าที่จะเชื่อ พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาแต่พวกเขากลับไม่เห็นพระองค์
            พระวาจาของพระเยซูเจ้าทำให้จิตใจของศิษย์ทั้งสองเร่าร้อน พวกเขายังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของความรู้สึกดังกล่าว แต่ก็คล้อยไปตามความรู้สึกนั้น เมื่อถึงที่หมาย พวกเขาเชิญพระองค์ให้ค้างคืนด้วย จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ค่ำและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” (ลก 24,29)  พระเยซูเจ้าทรงตอบรับคำเชิญและเข้าไปในบ้านเพื่อพักอยู่กับพวกเขา นี่คือท่าทีของพระเจ้าทีทรงตอบรับคำเชื้อเชิญด้วยความเต็มใจ พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างมนุษย์  “ขณะประทับที่โต๊ะกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและยื่นให้พวกเขา พวกเขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของพวกเขา ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินมาตามทางและอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง’” (ลก 24,30-32)บางคนอาจจะคิดว่า เมื่อเข้าไปในบ้านและเริ่มทานอาหาร พระเยซูเจ้าคงจะเปลี่ยนโฉมหน้าของพระองค์ และทำให้ศิษย์จำพระองค์ได้    หากพระเยซูเจ้าทรงทำเช่นนั้น ศิษย์สองคนก็คงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเขลาและเชื่องช้าต่อไป เพราะพวกเขาเห็นพระองค์ทางประสาทสัมผัสเหมือนก่อน พวกเขาคงไม่ละเอียดและอ่อนไหวพอที่จะพบพระองค์ในรูปแบบอื่น หากพวกเขาจำพระองค์ได้เพราะเลือดเนื้อ พวกเขาก็ยังคงดำเนินชีวิตตามเลือดเนื้อต่อไป แปลกแยกไปจากสถานภาพแห่งพระอาณาจักรโดยสิ้นเชิง ท่าทีของพระเยซูเจ้าเมื่อทรงนั่งโต๊ะ ทรงอวยพรและแบ่งขนมปังอย่างทรงอำนาจ ทำให้ศิษย์ทั้งสองย้อนกลับไปในสิ่งที่พวกเขาเคยได้เห็น แต่ในขณะที่พวกเขาย้อนกลับไปสู่ความทรงจำที่ผ่านมา พระองค์ก็ทรงหายไปจากสายตา  ความทรงจำในท่าทีของพระเยซูเจ้าคือศีลศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปสู่ความจริงที่พระองค์ทรงเป็นและการประทับอยู่ของพระองค์ในจิตใจของพวกเขา ศิษย์ทั้งสองจำพระเยซูเจ้าในศีลศักดิ์สิทธิ์ ในท่าทีแห่งความรักที่แสดงออกมาในการแบ่งปัง  พวกเขาจำพระองค์ได้ในท่าทีแห่งการมอบพระองค์ผ่านทางปังที่ทรงอวยพร  ตอนแรก พระองค์ทรงทำให้พวกเขาเชื้อเชิญพระองค์เข้าพักในบ้าน เหมือนพี่น้อง แล้วนั้นทรงทำให้พวกเขาเกิดความเคารพในพระองค์ เชื่อว่าพวกเขากำลังอยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็กลายเป็นความไว้วางใจในพระองค์ประสบการณ์เดียวกันนี้ยังคงเกิดขึ้นกับเรา ในบริบทแห่งชีวิตประจำวันของเรา ท่าทีแห่งการเชื้อเชิญ การเป็นพี่เป็นน้อง ความเคารพต่อกัน การสำนึกถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าในแต่ละคนที่เราพบปะ ทรงนำเราไปสู่การเห็นและการพบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ  นั่นคือการประทับอยู่ของพระเจ้า  พระองค์ทรงทำให้การที่เราเห็น(เพื่อนพี่น้อง)แต่จำพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนเป็นการจำพระองค์(ในเพื่อนพี่น้อง)ได้ ทั้งๆ ที่ไม่เห็นพระองค์ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราจำพระองค์ได้ก็แต่ในความรัก พระองค์ตรัสกับดวงใจเรา  ใครที่รู้จักฟังด้วยความรักก็จะได้ยินเสียงของพระองค์กระนั้นก็ดี หลายคนก็ยังอยากจะให้พระองค์แสดงองค์ในรูปแบบที่ตนต้องการ แถมยังเรียกร้องและท้าทายเหมือนที่หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น จงลงมาจากไม้กางเขนบัดนี้ซิ เราจะได้เห็นและเชื่อ (มก.15,32)...ลงมาสิ อย่าอยู่เฉยๆ อย่างนั้น ลงมาอย่างสง่างาม ลงมาด้วยฤทธิ์อำนาจ...ทุกคนจะได้เชื่อ
            บ่อยครั้ง คำภาวนาของเราก็มีทีท่านี้แอบแฝงอยู่ ไม่มากก็น้อย อยากจะให้พระเจ้าโปรดให้ตามที่ต้องการแล้วจึงจะเชื่อ...โปรดให้สามีเปลี่ยนแปลงตนเอง ให้ภรรยา ให้ลูก ให้เพื่อน ให้พ่อแม่ปรับปรุงตัว ขอให้เปลี่ยนงานได้ ขอให้เปลี่ยนสภาพแวดล้อม คนรอบข้างเป็นอย่างที่เราต้องการ แล้วลูกจะเชื่อไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าเลย แต่เป็นความพอใจของตนเองและความเห็นแก่ตัว

คพ.พงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น