วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017

พี่น้องที่รัก

            เคยมีคนถามคุรุเทพรพินทรนาถ ฐากุร นักปรัชญาของอินเดีย 3 คำถามว่า

            ข้อที่ 1 ในโลกนี้สิ่งใดที่ง่ายที่สุด?

            ข้อที่ 2 ในโลกนี้สิ่งใดที่ยากที่สุด?

            ข้อที่ 3 ในโลกนี้สิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สุด?

            คุรุเทพรพินทรนาถ ฐากุรตอบเขาว่า

            ตำหนิคนอื่นง่ายที่สุด

            รู้จักตัวเองยากที่สุด

            ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด

            เรื่องข้างต้นนี้ยืนยันอีกครั้งว่า ความรักเป็นสิ่งที่มีค่ามาก คำสอนของพระเยซูเรื่องความรัก จึงเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเราไม่สามารถประเมินค่าความรักออกมาเป็นตัวเงินได้เลย เพราะมันจะมีตัวเลขที่ประมาณค่าไม่ได้ การที่มนุษย์มอบความรักให้กับกันและกัน จึงเป็นการมอบคุณค่าที่มีราคามหาศาลให้กับผู้อื่น เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วให้เรามามอบความรักให้กับกันและกันเถิด เพราะความรักนั้นไม่ต้องซื้อหา แถมยังให้ความรักกันได้ไม่รู้จักหมด เพราะความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งให้ยิ่งมี ยิ่งให้ยิ่งได้รับกลับคืน

พ่อสุพจน์
.........................................................................................................


อาทิตย์ที่ 12 ก.พ60
            พระเยซูทรงปรับปรุงให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ แต่ไม่ได้ทรงลบล้างนั้น หมายความว่าอะไร?
อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีด ๆ หนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรง "ลบล้าง" ธรรมบัญญัติแล้ว มันก็ยังคงเป็นพันธะผูกพันอยู่ ถ้าเช่นนั้น เรื่องอื่นๆ ที่ประกอบดังเช่น การยึดถือวันสะบาโตต้องยังคงปฏิบัติอยู่ บางทีพร้อมกับเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในธรรมบัญญัติของโมเสส สมมติฐานนี้เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดคำสอนและเจตนาของพระธรรมตอนนี้ ตรงนี้พระคริสต์ไม่ได้ทรงแนะนำให้การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสสให้มีผลคงอยู่ตลอดไป มุมมองดังกล่าวจะขัดแย้งกับทุกสิ่งที่เราเรียนจากความสมดุลในพันธสัญญาใหม่ (โรม 10:4)  เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม (กาลาเทีย3:23-25)ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว(เอเฟซัส2:15) คือการเป็นปฏิปักษ์กันโดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละจึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
            ความสำคัญพิเศษในการศึกษาเรื่องนี้คือ เพื่อชี้แจงให้เข้าใจคำว่า "ลบล้าง" มันแปลจากคำภาษากรีกkataluoหมายความตามตัวอักษร "ปล่อยวางลง" เราพบคำนี้สิบเจ็ดครั้งในพันธสัญญาใหม่ ตัวอย่างคำนี้ถูกใช้ตอนที่ชาวโรมันทำลายล้างพระวิหารของชาวยิว (มัทธิว26:61) ว่า คนนี้ได้ว่าเขาสามารถจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และจะสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน (มัทธิว27:40) ว่า เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าจงลงมาจากกางเขนเถิด (กิจการ 6:14)เพราะเราได้ยินเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธจะทำลายสถานที่นี้ และจะเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสให้ไว้แก่เราคำนี้ใช้เมื่อเวลาทำให้ร่างกายมนุษย์ยุบสลายไปเมื่อตายแล้ว(2โครินธ์5:1)เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์พระเยซูไม่ได้เสด็จมาในโลกนี้เพื่อพระประสงค์จะกระทำการเป็นปฏิปักษ์กับธรรมบัญญัติ พระประสงค์ของพระองค์ไม่ใช่เพื่อปกป้องการทำให้สมบูรณ์ แต่พระองค์ทรงยกย่องนับถือ ผู้มีใจรัก เชื่อฟัง และเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ ทรงกระทำให้คำพยากรณ์ตามธรรมบัญญัติที่เกี่ยวกับพระองค์เองสำเร็จสมบูรณ์ พระเยซูทรงทำให้พิธีการถวายเครื่องบูชาสำเร็จครบถ้วน ทรงทำให้ธรรมบัญญัติด้านอื่นสมบูรณ์ไปด้วย ความตายของพระเยซูแทนความหมายการทำพิธีถวายบูชา นั่นก็ยังหมายถึงด้านอื่น ๆ ของธรรมบัญญัติด้วยชีวิตแห่งการเป็นพยานความจริง

     พ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น