วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2015

พี่น้องที่รัก
                ช่วงนี้มีคนพูดถึงชีวิต "สะโลว์ไลฟ์" อยู่บ่อยๆ เรียกว่ากลายเป็นคำยอดฮิต "อินเทรนด์" เลยก็ว่าได้ อะไรคือความหมายของคำว่า "สะโลว์ไลฟ์" กันแน่ คำว่า "สะโลว์ไลฟ์" เป็นคำทับศัพท์ที่มาจากภาษาอังกฤษ คงจะหมายความถึง การใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ยึดติดกับกระแส ไม่มัวหลงอยู่ในวังวนของแรงดึงดูดจาก โลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งดึงเอาเวลาที่มีค่าของเราให้สูญเสียไปมากมาย ดังนั้น "สะโลว์ไลฟ์" คือภาวะของชีวิตที่ปลดตัวเองออกจาก กระแสสังคม ที่มุ่งคอยจะชักจูงและผลักดันเราให้ไหลไปตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว "สะโลว์ไลฟ์" จึงเป็นการปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับ ปัจจุบัน อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รีบจนรน ไม่เร่งร้อนจนกระวนกระวายนั่นเอง
                พ่อไปอ่านเจอ บทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเลยขอนำเอามาฝากให้อ่านกันนะครับ เผื่อจะเป็นแง่คิดของคนที่อยากปล่อยวางชีวิตให้ผ่อนคลาย จากกระแสสังคมที่มันเร่งเร้าให้เราเต้นมากเกินไปได้บ้าง

พ่อสุพจน์

            The Power of Less
                เทรนด์การใช้ชีวิตแนวใหม่ ที่กำลังมาแรงคือ Slow Life เป็นการใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ และยึดหลักพอเพียง ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ง่ายนักสำหรับโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หนึ่งในผู้บุกเบิกการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์จนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก ต้องยกให้ "ลีโอ บาบัวต้า" บล็อกเกอร์และนักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายกวม ผู้ก่อตั้งเว็บบล็อก Zen Habits ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 240000 คน และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ให้เป็นเว็บบล็อกยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก ประจำปี 2010 เขามีผลงานการเขียนหนังสือมากมายหลายเล่ม แต่เล่มที่โด่งดังติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ก็คือ The Power of Less
                การใช้ชีวิตแบบช้าแต่ชัวร์ เพื่อชีวิตแสนสุข สามารถเริ่มต้นง่ายๆด้วยบันได 9 ขั้น สตาร์ตด้วยบันไดขั้นที่หนึ่ง คือ ต้องรู้จักโฟกัสมากขึ้น และทำอะไรให้น้อยลง แทนที่จะทำอะไรหลายอย่างในเวลาพร้อมๆกัน ให้เลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว และเก็บเรื่องอื่นๆไว้ก่อน บันไดขั้นที่สองคือ แค่ทำอะไรให้ช้าลงอาจไม่เพียงพอ ต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เมื่อไหร่ที่คิดฟุ้งซ่านเรื่องโน้นเรื่องนี้ ให้ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับโมเมนต์ปัจจุบันให้เร็วที่สุด การมีสติจะทำให้ไม่คิดฟุ้งซ่านไม่คิดร้ายกับตัวเองและคนอื่น บันไดขั้นที่สาม ใช้ชีวิตแบบโลว์เทค ปิดมือถือและอุปกรณ์ไฮเทคทุกอย่างในช่วงวันหยุดแล้วโฟกัสกับสิ่งที่อยากทำจริงๆ เป็นการยากที่จะใช้ชีวิตแบบพอเพียงถ้ายังวุ่นกับการเล่นอินสตาแกรม และเช็กอีเมล์ทั้งวัน บันไดขั้นที่สี่ ใส่ใจเพื่อนฝูง ครอบครัว และคนรอบข้างให้มากขึ้น คำว่า "ใส่ใจ" ต้องขีดเส้นใต้ชัดๆ เพราะเรามักสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน ในลักษณะเจ๊าะแจ๊ะ มากกว่าจะใส่ใจกันอย่างแท้จริง หมั่นแสดงความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อคนรอบข้างด้วยความจริงใจ บันไดขั้นที่ห้า เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ หันมาชื่นชมกับความงดงามของธรรมชาติบ้าง แทนที่จะอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน นอนตากแอร์ทั้งวัน ลองออกมาเดินเล่นในสวนเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่นการเดิน ว่ายน้ำ และขี่จักรยาน เพื่อให้ร่างกายได้สัมผัสกับสายลมแสงแดด และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ บันไดขั้นที่หก การรับประทานอาหารให้ช้าลง โดยค่อยๆเคียวเพื่อรับรู้รส สัมผัสความอร่อยของอาหารแต่ละเมนู จะสร้างความรื่นรมย์ให้ชีวิตมากกว่าการทานเร็วๆเพื่อให้อิ่ม บันไดขั้นที่เจ็ด ขับรถให้ช้าลง นอกจากจะทำให้เครียดน้อยลง ยังลดการเกิดอุบัติเหตุด้วย แทนที่จะเครียดกับการจราจรบนท้องถนนลองเปิดเพลงคลอเบาๆเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ บันไดขั้นที่แปด มีความสุขง่ายๆ และรื่นรมย์กับทุกอย่างที่พบเจอ เรื่องนี้เชื่อมโยงกับการมีสติกับปัจจุบัน แต่เป็นก้าวที่พัฒนาไปไกลขึ้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ขอให้ทำด้วยความสุขและความเต็มใจ แม้แต่การล้างจานก็สามารถหาความรื่นรมย์ได้ เพียงเปลี่ยนมุมมองซะใหม่ จงเป็นน้ำครึ่งแก้วเสมอ บันไดขั้นที่เก้า ขจัดความเครียดด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าเร่งรีบและเหนื่อยหอบ ลองสูดหายใจเข้าลึกๆให้เต็มปอดสัก 2-3 เฮือก รับรองว่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างเหลือเชื่อ และถ้าจะให้ได้ผลยิ่งขึ้นควรมีสติกับทุกลมหายใจเข้าออก โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
...................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้อง
ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตนิรันดร ความเชื่อ เราเชื่อว่าพระรักลูกของพระองค์ทุกคนและพระองค์ได้บอกความจริงให้มนุษย์ทุกคนและมนุษย์ก็เปรียบเหมือนลูกที่ดื้อรั้นไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ดั่งชาวยิวที่บ่นกันพึมพำ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา เราเห็นหลายคนที่ในอดีตพวกเขาดื้อ ทอดทิ้ง ไม่เชื่อฟังพระ แต่แล้ววินาทีสุดท้ายของชีวิต เราได้เห็นความรัก ความเมตตาที่พระองค์ให้อภัยเขา ให้เขาได้รับพระพรแห่งความเชื่อที่ทำให้เขาได้กลับใจ จากภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ทำให้เรามีความเชื่อในพระองค์มากยิ่งขึ้น  เราต้องกินอาหารทุกๆ วัน ในทุกวันเราต้องคิดและต้องเลือกว่า จะกินอะไรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  บางอย่างกินเพราะความอร่อย บางอย่างเพราะอยาก บางอย่างเพราะชอบ อาหารเหล่านี้เป็นอาหารสำหรับร่างกาย แต่สิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตฝ่ายจิตก็คือการรับพระกายของพระองค์ ปังทรงชีวิตนี้ทำให้เรามีพลัง มีกำลัง ทำให้วิญญาณเข้มแข็ง พระเยซูทรงมอบอาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ให้กับพวกเรา และเราควรจะขอรับปังที่พระองค์ทรงมอบให้กับพวกเราทุกวันและตลอดไป
มีชีวิตทุกๆ วันเราเหมือนคนป่วย หรือบางวันป่วย ทั้งไม่สบายใจเรื่องปัญหาชีวิตประจำวันหรือเรื่องสุขภาพ เรารู้สึกท้อแท้ ไม่มีแรง ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ของเราในทุกๆ วัน แต่เมื่อเรามาวัด เรามาแก้บาป เรามารับศีล มารับองค์พระเยซูเจ้า ทำให้เราดีขึ้น  เราสบายใจขึ้น  เราหายป่วย    โดยที่เราไม่ต้องกินยาเพราะเรามีพระเยชูเจ้าเป็นยา  ที่รักษาชีวิตเราให้ดีขึ้น
ปังทรงชีวิต”  เราเชื่อในชีวิตคริสตัง   เชื่อในศีลศักดิ์สิทธิ์  ว่าศีลศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า  ซึ่งอยู่ในตัวเรา  และมีฤทธิ์เดชต่อเรามากมาย  เมื่อใดก็ตามที่เราประสบปัญหาต่างๆ  เราจะนึกถึงศีลศักดิ์สิทธิ์ว่าเรามีพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้าอยู่  เราจะกลัวอะไรกันเล่า  เราจะวิงวอนร้องขอพระเยซูเจ้าผ่านบทเพลงต่างๆ  เช่น  ขอทูลถวาย”  และอีกหลายๆ เพลงที่เราจะนำมาร้อง  มาอ่าน  เวลาที่เราท้อแท้  ผจญปัญหา  และต้องการที่พึ่งพระองค์  เราจะมีเพลง  เราได้เสพปัง”   เป็นบทเพลง  บทสวดที่เพิ่มพลังชีวิตให้เรา  อย่างไรก็ตาม  บทเพลงต่างๆ เพื่อปลุกปลอบใจตามแต่วาระที่เราถูกผจญอยู่   แล้วเราก็กล้าที่จะผจญปัญหาต่างๆ  ด้วยว่า  เรามีปังทรงชีวิตอยู่ในตัวเรานั้น  เราจะนำมาร้อง  มาเป็นบทอ่าน  เพื่อปลุกปลอบใจตามแต่วาระที่เราได้รับการผจญอยู่   แล้วเราก็กล้าที่จะผจญปัญหาต่างๆ  ด้วยว่า  เรามีปังทรงชีวิตอยู่ในตัวเราอย่างแท้จริง

คพ.พงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น