วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2014

พี่น้องที่รัก
                ตามที่พี่น้องได้เห็นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วว่า พ่อได้ดำเนินการทำสีพระรูปพระเยซูที่กางเขนใหญ่กลางวัดใหม่ จากเดิมที่เป็นสีน้ำตาลดำ เปลี่ยนมาเป็นสีทองบรอนซ์ เนื่องจากพ่อได้สังเกตเห็นว่า สีเดิมของพระรูปนั้นเริ่มมีสภาพชำรุดทรุดโทรมปูดโปนขึ้นหลายแห่งไม่ราบเรียบสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น และมีบางที่บวมหลุดลอกออกจากพื้นผิว อันเนื่องมาจากความชื้นในอากาศทำให้สนิมโลหะก่อตัวขึ้นที่พื้นผิว ถ้าไม่รีบดำเนินการซ่อมแซมก็อาจทำให้พระรูปเกิดการเสียหายมากขึ้นได้ หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับพระคุณเจ้า และกรรมการสภาภิบาลวัดแล้ว พ่อจึงได้ตัดสินใจให้ช่างมาดำเนินการซ่อมแซมด้วยการลอกสีเดิมออกขัดสนิมลงสีกันสนิมและทำสีใหม่ อย่างที่พี่น้องเห็นอยู่นี้ พ่อได้ขอให้ช่างจัดการเปลี่ยนสีจากเดิมน้ำตาลดำ เป็นสีทองบรอนซ์ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่ามีหลายคนกล่าวกับพ่อว่าพระรูปกางเขนวัดเราสีดำน่ากลัวจัง พระสงฆ์ลูกวัดเซนต์หลุยส์ของเราหลายองค์ก็กล่าวทำนองนี้ว่า "ตอนเป็นเด็กช่วยมิสซา มองกางเขนกลางวัดแล้วกลัวมาก" จริงอยู่เด็กๆอาจยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ถ้าเด็กมีความประทับใจที่ดีในเรื่องวัดวาตั้งแต่แรก ก็คงจะช่วยเขาให้อยากมาวัดมากขึ้น พ่อคิดอย่างนี้แล้วก็เลยตัดสินใจทำสีพระรูปเป็นสีทองบรอนซ์อย่างที่ปรากฏนี้แหละ 
                ถ้าจะย้อนไปดูภาพเก่าที่ช่างภาพได้ถ่ายไว้เมื่อวันเสกวัด จะพบว่าพระรูปกางเขนนั้น เป็นรูปที่มีสีตามธรรมชาติ คือมีการทำสีพระรูปเป็นสีเนื้อ มีผ้าปิดบริเวณเอวเป็นสีขาว แรกทีเดียวพ่อก็คิดจะทำเป็นสีตามแบบดั้งเดิมที่ปรากฏในภาพถ่าย แต่เมื่อมาพิจารณาดูรายละเอียดแล้ว กลับกลายเป็นว่าพระรูปกางเขนที่ปรากฏในภาพถ่ายในวันเสกวัดนั้น ไม่ใช่พระรูปกางเขนรูปเดียวกันกับที่ติดตั้งอยู่ในปัจจุบัน อาจเป็นไปได้ว่าเวลานั้นสร้างวัดเสร็จแล้ว มีกำหนดเสกวัดแน่นอนแล้ว แต่พระรูปกางเขนที่สั่งทำไว้ยังเดินทางมาถึงไม่ทันการ จึงไปขอยืมกางเขนที่วัดอื่นมาติดตั้งใช้ไปพลางก่อน ภายหลังจึงนำไปคืน และนำรูปใหม่มาติดตั้งภายหลัง เกร็ดประวัติเรื่องนี้ไม่ปรากฏอยู่ในเอกสารใดๆมาก่อนหน้านี้ แต่ที่พ่อนำมากล่าวในที่นี้ก็เป็นการตั้งสมมุติฐานของพ่อเอง จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
                หลังจากทำสีพระรูปที่กางเขนใหม่ พ่อสังเกตว่าพี่น้องหลายคนนั่งจ้องมองพระเยซูบนกางเขนเป็นเวลานานขึ้น พ่อไม่อาจคาดเดาความคิดที่เกิดขึ้นในหัวสมองของพี่น้องแต่ละคนได้ ได้แต่หวังว่าการมองพระเยซูเป็นเวลานานมากขึ้นนั้นคงจะช่วยให้คำภาวนาจากใจของเราเกิดผลลึกซึ้งมากขึ้นและเข้าใกล้ชิดความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้ามากขึ้น อีกทั้งมีความเชื่อความศรัทธาเพิ่มพูนเข้มแข็งขึ้นครับ

พ่อสุพจน์

ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
                ครั้งหนึ่งจักรพรรดิ์ ออตโต แห่งเยอรมัน เรียกประชุมหัวหน้าข้าราชการและที่ปรึกษาของพระองค์ แต่เช้าตรู่ ปรากฏว่าในคราวนั้น ท่านดุ๊กเจ้าชายแห่งโบฮีเมีย ซึ่งต้องเข้าร่วมประชุมด้วย เดินทางมาเข้าประชุมสายกว่าเวลานัด เนื่องจากพระองค์ไม่ต้องการที่จะขาดการเข้าสวดภาวนาในพิธีบูชาขอบพระคุณประจำวัน การเข้ามาถึงที่ประชุมสายครั้งนี้ทำให้จักรพรรดิ์ โกรธเคืองมาก พระองค์สั่งให้การประชุมเริ่มขึ้นโดยไม่รอคอยการมาถึงของเจ้าชายแห่งโบฮีเมีย พระองค์กล่าวกับที่ประชุมว่า ถ้าเจ้าชายเดินทางมาถึงห้องประชุม ทุกคนไม่จำเป็นต้องแสดงการคารวะให้เกียรติใดๆกับเจ้าชายแต่อย่างใด
                การประชุมเริ่มไปได้สักครู่ เจ้าชายแห่งโบฮีเมียก็เดินทางมาถึงห้องประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะ จักรพรรดิ์เอง ที่แต่แรกมีอารมณ์ขุ่นมัวไม่พอใจเป็นอย่างมาก กลับกลายเป็นผู้ที่ยืนขึ้นแสดงความคารวะต่อเจ้าชายที่พึ่งเดินทางมาถึงเป็นคนแรก และแล้วเมื่อวาระสำคัญของการประชุมจบสิ้นลง จักรพรรดิ์ออตโต ยังคงสังเกตเห็นว่าผู้เข้าร่วมประชุมที่มีทั้งเจ้านายระดับสูง และ เจ้าชายหลายพระองค์ ยังคงแสดงอาการประหลาดใจต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงของจักรพรรดิ์ ที่มีต่อ ดุ๊ก เจ้าชายแห่งโบฮีเมีย

                "ทำไมหรือ" จักรพรรดิ์กล่าว "พวกท่านไม่สังเกตเห็นหรือว่า เจ้าชายเข้ามาในห้องประชุมนี้ โดยมีเทวดาสององค์อารักขาอยู่เคียงข้างทั้งซ้ายและขวา? จนข้าพเจ้าเองยังไม่กล้าที่จะแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมาเลย"     (ยังมีต่อ)
.............................................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา
พระเยซูเจ้าตรัสว่า จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช  ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด  บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก  บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป  บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”

พี่น้องครับ อาทิตย์นี้พระเยซูเจ้าสอนเราเป็นคำอุปมา เรื่องผู้หว่าน นี่คือคำอุปมาที่พระองค์สอนจากเรื่องราวในชีวิตประจำวันของผู้คนในสมัยนั้น เพื่อเน้นถึงพลังของพระวาจาพระเจ้า ที่เราแต่ละคนจะต้องมีส่วนร่วมในการเปิดใจรับพระวาจาของพระเจ้า ซึ่งที่สุดแล้วเราแต่ละคนคือตัวแทนของดิน ดังนั้นมาดูกันว่าเราจะมีลักษณะเป็นดินประเภทไหน.

1.              ดินตามทางเดิน  คือ คนที่มีใจแข็งกระด้าง เสมือนดวงใจที่ปิดสนิท  พระวาจาและพระพรของพระเจ้าจึงไม่อาจทะลุไปถึงจิตใจของคนประเภทนี้ได้ และความหยิ่งจองหองคือตัวการที่ร้ายกาจที่สุดด้วย
2.             ดินบนพื้นหิน  คือ คนที่มีความเชื่อแบบตื้นเขิน เมล็ดเติบโตได้ แต่สุดท้ายก็จะตายไปเพราะไม่มีราก เปรียบเสมือนคริสตชนที่เป็นคริสตชนแค่ชื่อ แต่ชีวิตไม่เคยสนใจการมาวัด มาร่วมมิสซา ไม่สนใจฟังพระวาจาของพระเจ้า เมื่อปัญหาหรือความเครียดมาเยือน เขาก็จะทิ้งวัด ทิ้งความเชื่อในที่สุด
3.             ดินในกอหนาม  คือ คนที่หมกมุ่นในทรัพย์สมบัติ อำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง ไม่มีเวลาให้กับพระ     สิ่งเหล่านี้จะมาปิดบังหัวใจแห่งพระพรของพระเจ้า ทำให้เขากับพระเจ้าห่างไกลกันเหลือเกิน
4.             ดินดี  คือ คนที่มีหัวใจที่เปิดรับพระวาจา รับพระพรของพระเจ้า ฟังพระวาจาและดำเนินชีวิตอย่างดี

แล้วชีวิตของเรา คือ ดินประเภทใดเราได้ให้เวลากับพระวาจาอย่างดี ให้เวลากับพระอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง.. ถ้าเราพยายามเปิดใจของเราให้พระมาประทับอยู่ เราจะไม่ขาดสิ่งใดเลย เพราะนั่นคือไข่มุกเม็ดงามที่สุดที่เราได้รับ..

คพ.วิทยา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น