วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                เดือนตุลาคมกำลังจะผ่านพ้นไปอีกไม่นานนัก พ่อเชื่อว่าตลอดเดือนนี้พี่น้องคงได้มีโอกาสสวดลูกประคำกันมากขึ้น สายประคำนำชีวิต การสวดสายประคำจะช่วยให้เรามีใจผูกพันกับพระเจ้ามากขึ้นโดยอาศัยความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารีย์ เพราะทุกทศของสายประคำเราจะมีโอกาสได้รำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกประการต่างๆขององค์พระเยซูเจ้า อย่างใกล้ชิด นั่นหมายความว่า ชีวิตของพระองค์อยู่ต่อหน้าเราตลอดเวลา ทั้งในการมาบังเกิด ทั้งในการเจริญวัยของพระองค์ ทั้งในช่วงเวลาของการเทศน์สอนประชาชนของพระองค์ ทั้งในการรับทนทรมานการสิ้นพระชนม์ และ การกลับคืนชีพขององค์พระเยซูเจ้า ดังนั้นเมื่อเราสวดสายประคำ นอกเหนือจากการที่เราจะฝากชีวิตของเราไว้ในความคุ้มครองของแม่พระแล้ว ชีวิตของเรายังผูกพันแนบชิดกับพระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้ไถ่ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งลงมาเพื่อประทานความรอดพ้นอันเป็นชีวิตนิรันดรให้กับเราทุกคนด้วย เพราะฉะนั้นขอเชิญชวนพี่น้องได้สวดสายประคำเสมอไม่เพียงแต่ในเดือนตุลาคมนี้ แต่เรื่อยๆไปในชีวิตของความเป็นคริสตชนของเราทุกคน
                นอกจากนี้วันสุดท้ายของเดือนคือ วันที่ 31 ตุลาคม พ่ออยากเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาร่วมกันเทิดเกียรติพระนางมารีย์แม่พระของเราเป็นพิเศษสักครั้งในรอบปี เพราะวันนั้นเป็นวันปิดเดือนแม่พระแห่งลูกประคำ ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันจันทร์ แม้ว่าพี่น้องหลายท่านจะต้องไปทำงาน เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน แต่ถ้าพี่น้องรักแม่พระด้วยหัวใจ พ่อคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะจัดเวลาให้กับพระนางมารีย์ ความตั้งใจของเราคือจัดพิธีการแห่แหนพระรูปของพระนางมารีย์รอบวัดของเรา ถ้าฝนฟ้าไม่ตก ถ้าถนนหนทางเป็นใจ เราคงได้มีโอกาสเดินตามพระรูปพระแม่มารีย์รอบวัดของเรา เป็นประดุจว่าเส้นทางชีวิตของเรามีพระนางมารีย์คอยนำทางเราเสมอ พ่อเชื่อว่าพี่น้องคงมาร่วมในพิธีดังกล่าวกันมากหน้าหลายตาครับ พิธีจะเริ่มเวลา 19.00 . ด้วยการสวดสายประคำ หลังจากนั้นจะเป็นพิธีบูชาขอบพระคุณ ตามด้วยพิธีแห่
                อีกวันหนึ่งที่พ่ออยากเชิญชวนเป็นพิเศษคือ วันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ ซึ่งในปีนี้เป็นพิเศษเราจะอุทิศถวายคำภาวนาเป็นพิเศษเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ของเรา นอกจากนี้เราจะภาวนารำลึกถึงดวงวิญญาณของญาติพี่น้องของเราที่ล่วงลับไปแล้วด้วย พี่น้องสามารถนำรูปของญาติพี่น้องผู้ล่วงลับมาวางไว้บริเวณหน้าพระแท่นด้วย พิธีจะเริ่มเวลา 19.00 . เช่นกันครับ สัปดาห์ดังกล่าวเราคงได้มาวัดกันหลายครั้งหน่อยครับ
                พ่อรีบออกมาประกาศเชิญชวนกันแต่เนิ่นๆ เพื่อว่าพี่น้องจะได้ลงหมายนัดกับแม่พระของเราไว้แต่เนิ่นๆเช่นกัน ธุระปะปังอื่นๆ ขอหลีกทางให้กับนัดหมายสำคัญสองวันนี้ก่อนนะครับ

พ่อสุพจน์
................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
                ในสมัยพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสีเป็นคนศรัทธาในศาสนามาก พวกเขาเป็นผู้มีความเชื่อที่ปฏิบัติศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอและถือตามบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด บ่อยครั้งพวกเขาทำ มากกว่าข้อเรียกร้องของบทบัญญัติเสียอีก พวกเขาจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน คือวันจันทร์และวันพฤหัสบดี แม้บทบัญญัติเรียกร้องให้ประชาชนจำศีลอดอาหารเพียงปีละหนึ่งวันเท่านั้นคือในวันชดเชยบาปพวกเขายังถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดแด่พระเจ้าอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
                ในอุปมาวันนี้ชาวฟาริสีไม่ได้ล้อเล่น เมื่อเขาพูดว่า ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวันและถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า” (ลก 18:11-12) เราจะเห็นว่าชาวฟาริสีมีมาตรฐานทางศีลธรรมค่อนข้างสูง ส่วนคนเก็บภาษีถูกมองว่าเป็นคนที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมต่ำ เพราะพวกเขาทำงานให้กับรัฐบาลชาวโรมัน ซึ่งเป็นคนต่างชาติยอมก้มหัวให้กับผู้รุกราน แสวงหาผลประโยชน์และทรยศต่อเพื่อนร่วมชาติ โดยเรียกเก็บภาษีเกินพิกัดเพื่อเข้ากระเป๋าตนเอง ในสายตาของชาวยิวพวกเขาจึงถูกถือว่าเป็นคนบาปที่ต้องตกนรกอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คนเก็บภาษีทั้งหลายรู้ดีว่าเสียงของประชาชนไม่ใช่เสียงของพระเจ้าเสมอไป พวกเขายังคงหวังที่จะได้รับความรอดพ้นเหมือนคนอื่น แม้ไม่ใช่โดยทางความครบครันด้านชีวิตฝ่ายจิตของตนเอง แต่โดยทางพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้า อันที่จริงการเชื่อในพระเจ้าอย่างเดียวไม่ช่วยใครให้รอดพ้น
                นักบุญยากอบบอกเราว่า แม้พวกปีศาจก็เชื่อเช่นนั้นและยังกลัวจนตัวสั่นด้วย” (ยก 2:19) สิ่งสำคัญคือ เราเชื่ออะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเพราะว่าความเชื่อนั้นจะมีผลกระทบต่อตัวเราเอง ชาวฟาริสีเชื่อว่า พระเจ้ารักคนดีและเกลียดชังคนชั่วดังนั้น พวกเขาจึงประพฤติตนตามที่ตัวเองเชื่อ คือพวกเขาจะรักเฉพาะคนดีตามแบบฉบับของพวกเขาเท่านั้นและดูถูกเหยียดหยามคนชั่วและคนบาปเหมือนคนเก็บภาษี พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้ชาวฟาริสีฟังเพราะพวกเขา ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่น” (ลก 18:9)
                อีกด้านหนึ่ง คนเก็บภาษีไม่ได้วางใจในตนเองหรือในสิ่งที่พวกเขาได้ทำ แต่ไว้วางใจในพระเมตตาของพระเจ้า เมื่ออยู่ในพระวิหาร เขา ยืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้าโปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” (ลก 18:13) นี่แหละคือคนที่กลับไปบ้านด้วยความสุขใจในความรักของพระเจ้า ไม่ใช่ชาวฟาริสีที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ชอบธรรม วันนี้เราเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้า เพื่อนมัสการและอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ เมื่อพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้สิ้นสุดลง เราหวังที่จะกลับไปบ้านด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยสันติสุขในพระองค์ ให้เราเรียนรู้เคล็ดลับการนมัสการและการอธิษฐานภาวนาที่สบพระทัยของพระเจ้าจากคนเก็บภาษี ให้เรามั่นใจในความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ ไม่มีบาปใดที่พระองค์อภัยให้เราไม่ได้
                ในเวลาเดียวกันเราต้องตระหนักถึงความผิดบาปของเราและมอบตนเองไว้ในพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์ อย่าดูหมิ่นเพื่อนพี่น้องที่เป็นคนบาปของเรา แต่พยายามช่วยพวกเขาให้พบพระเจ้า เหมือนคนเก็บภาษีช่วยเราให้ค้นพบความรักและพระเมตตาของพระองค์ในวันนี้ จำคำของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ให้ดี ผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” (ลก 18:14)

คุณพ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น