วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2014

พี่น้องที่รัก
            เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย จัดพิธีบูชาขอบพระคุณโอกาสครบรอบ 1 ปีของพระสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ที่วัดเซนต์หลุยส์ของเรา ซึ่งต้องนับว่าเป็นเกียรติพิเศษจริงๆสำหรับวัดของเราที่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ในการจัดงานครั้งนี้ ในพิธีนี้มีทั้งพระคาร์ดินัล พระสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย บรรดาพระสังฆราชจากสังฆมณฑลต่างๆ และ พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง ตัวแทนองค์กรฆราวาสทุกองค์กร คณะทูตานุทูตและครอบครัว รวมถึงพี่น้องสัตบุรุษจำนวนมากที่มาร่วมพิธี ทำให้พื้นที่แทบจะทุกตารางนิ้วในวัดของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของความเชื่อความศรัทธาที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อภาวนาวอนขอพระเจ้าเพื่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปา บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นที่รักของเราคริสตชนคาทอลิกทั่วโลก
            พระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ผู้เป็นประธานในพิธี ในฐานะประธานสภาประมุขบาทหลวงคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้เทศน์ให้ข้อคิดเกี่ยวกับ พระบุคคลิกภาพ และ ความกระตือรือร้น ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสว่า พระองค์ท่านไม่ติดอยู่กับความหรูหรา พระองค์ใช้ชีวิตเรียบง่าย ทั้งในการกินการอยู่ การทำงาน การเดินทาง พระองค์คิดถึงผู้คนที่อยู่ชายขอบของสังคม ผู้ตกทุกข์ได้ยาก คนยากจนเสมอ ความเป็นคนยิ้มง่ายและไม่ถือพระองค์นี้ทำให้พระองค์เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั่วโลก สื่อหลายสำนัก ต่างยกย่องพระองค์ให้เป็น "บุคคลแห่งปี" เป็นการตอกย้ำถึงการยอมรับของสถานะของพระสันตะปาปาที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อผู้คนในสังคมโลก พระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดของคาทอลิก ที่มีแนวทางในการเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระศาสนจักรคาทอลิกไปสู่ความเรียบง่าย และ ให้ความสนใจกับปัญหาความยากจนของผู้คนในสังคมอย่างชัดเจนที่สุดพระองค์หนึ่ง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาในพระสมณสมัยของพระองค์ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจจนบรรลุผลเป็นประจักษ์แก่สายตาของผู้คนในสังคมโลก
            พี่น้องที่รักเทศกาลมหาพรตดำเนินมาถึงช่วงปลายของเทศกาลแล้ว จิตตารมณ์ของเทศกาลนี้ท้าทายเราแต่ละคนให้มุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราเช่นกันด้วยการบำเพ็ญกุศลกรรมในชีวิตของเราให้มากขึ้น โดยการทำกิจพลีกรรมใช้โทษบาป ถือศีลอดอาหาร สวดภาวนา ทำบุญให้ทาน ทำกิจเมตตา ขอให้ช่วงเวลาที่เหลือในเทศกาลนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เราแต่ละคนจะบำเพ็ญตนให้เข้มข้นขึ้น เพื่อผลักดันนำพาชีวิตของเราก้าวไปสู่ความดีงามที่สมบูรณ์มากขึ้น กว่าที่เราเคยเป็น เรามีตัวอย่างที่ดีงามของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสซึ่งเป็นผู้นำจิตวิญญาณของเราแล้ว ให้เราแต่ละคนมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับพระองค์ ออกก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงเรียกเราเถิด
คุณพ่อสุพจน์
...........................................................................
เราเชื่ออะไร
ศีลศักดิ์สิทธิ์ใดบ้างที่รับได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต

            ในจำนวนศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 7 ประการของพระศาสนจักร ศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลบวช ถือเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่มีการประทับตราซึ่งลบล้างมิได้ในวิญญาณของคริสตชน จึงถือเป็น 3 ศีลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคริสตชนจะรับแค่เพียงครั้งเดียวในชีวิต
            เช่นเดียวกับที่คนเราเป็นลูก ก็ย่อมเป็นลูกของพ่อแม่ตลอดไป ศีลล้างบาป และศีลกำลังก็เช่นเดียวกัน ทำให้บุคคลหนึ่งกลายเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นเหมือนพระคริสตเจ้าตลอดไป เช่นเดียวกัน ศีลบวชก็มิใช่เป็น “อาชีพ” ที่ชายผู้หนึ่งกระทำจนเกษียณอายุ แต่ศีลบวชเป็นพระพรแห่งพระหรรษทานที่ลบล้างมิได้ เพราะความรักของพระเจ้าไม่มีวันเสื่อมคลาย เมื่อเราได้รับการเจิมและถูกประทับตราว่าเป็นดังของพระองค์แล้ว ผลของศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ก็จะดำรงอยู่ตลอดไป ด้วยเหตุนี้ ศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามประการนี้จึงไม่สามารถมาขอรับซ้ำได้อีก


            เหตุที่เราจำเป็นต้องได้รับศีลศักดิ์สิทธิ์ ก็เพื่อชีวิตมนุษย์ที่ต่ำต้อยของเราจะได้เติบโตขึ้น และค่อยๆคล้ายคลึงกับพระเยซูเจ้า กลายเป็นดังบุตรที่รักของพระเจ้า และเข้มแข็งเติบโตขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากพระหรรษทานของพระองค์ ศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพรของพระเจ้าที่ทรงมอบแก่พระศาสนจักร มีไว้เพื่อพระศาสนจักร และโดยทางพระศาสนจักรเท่านั้นที่มีหน้าที่ให้บริการ และปกป้องมิให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด มนุษย์เราจึงมิอาจใช้ศีลศักดิ์สิทธิ์ตามความต้องการ หรือตามอำเภอใจได้
  “โดยทางศีลล้างบาป เด็กแต่ละคนได้รับการต้อนรับในความรัก และมิตรภาพ ซึ่งไม่มีวันแตกหัก ไม่ว่าจะในชีวิตหรือความตาย”
                    สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 (8 มกราคม 2006

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น