วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            วันคริสต์มาสก็ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ความรู้สึกแห่งความชื่นชมยินดียังมิจางหาย เพราะเทศกาลนี้คือเทศกาลแห่งความสุข บรรยากาศ แสงไฟประดับ กล่องของขวัญ เสียงเพลงไพเราะ คำอวยพร ช่างผสมกลมกลืนเข้ากันอย่างลงตัว นำพาให้หัวใจพองโต เพิ่มพลังให้กับชีวิตพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอีกปีหนึ่ง ระหว่างช่วงคริสต์มาส พ่อกับคุณพ่อปลัดทั้งสอง ซิสเตอร์ มาเซอร์และ บรรดานักขับร้อง พลมารี ได้มีโอกาส นำพระกุมารออกไปอวยพรและ ร้องเพลงคริสต์มาสแครอล ตามบ้านสัตบุรุษที่อยู่ไม่ไกลจากวัด พ่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อ ผสมผสานกับความชื่นชมยินดีของเจ้าบ้านที่มีโอกาสได้รับพรจากพระกุมาร เป็นประดุจของขวัญที่มีค่าที่สุด ยากจะหาสิ่งใดมาเทียบเคียงได้ เพราะ พระเยซูกุมาร เจ้าชายแห่งสันติ นำสันติสุข ความยินดี ความรัก และแสงสว่างจากพระเจ้ามาประทานให้ เทศกาลนี้ เราแต่ละคนคงได้รับของขวัญ จากเพื่อนฝูง ญาติสนิท มิตรสหายบ้าง ตามสมควร แต่พ่อมั่นใจว่า ของขวัญที่ประเสริฐสุดที่พระเจ้าประทานให้กับเรามนุษย์ คือ องค์พระกุมารเยซูที่มาบังเกิดท่ามกลางชาวเรา เพราะพระองค์ไม่ได้ให้สิ่งของที่จะเสื่อมสลายไปได้ แต่พระองค์ประทานชีวิตที่ไม่รู้จักตายให้กับเรา เป็นชีวิตที่จีรังยั่งยืน เป็นนิรันดร สำหรับเราทุกคน นี่แหละคือของขวัญล้ำค่าที่สุดของเรา
            อีกไม่กี่วันก็จะถึงปีหน้าฟ้าใหม่แล้ว แต่ละปีก็ผ่านไปรวดเร็ว ถ้าเราหันมาทบทวนดูช่วงเวลาตลอด 1 ปีที่ผ่านมาอย่างพินิจพิเคราะห์ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า พระเจ้าประทานพระพรให้กับเรา และ ครอบครัวของเรามากมาย เราจึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะต้องขอบพระคุณพระเจ้าเสมอมิได้ขาด รวมทั้งวอนขอพระพรสำหรับวันเวลาที่จะมาถึงในช่วงปีใหม่อีกด้วยครับ พ่อขอถือโอกาสนี้ ส่งความสุข ความปรารถนาดีในปีใหม่นี้มายังพี่น้องทุกท่านด้วย ขอให้พี่น้อง ได้รับพรที่พี่น้องปรารถนา มีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน คิดหวังสิ่งใดให้สมปรารถนาทุกประการเทอญ
            สวัสดีปีใหม่ พ.. 2557 ครับ


คุณพ่อ สุพจน์
..........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมเรียกพระนางมารีย์ว่า “มารดาพระเจ้า”

แม้ว่าจะมีการค้นพบเอกสารอันเก่าแก่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 3 ซึ่งในนั้นบันทึกบทภาวนา “โอ้พระชนนีของพระเจ้า” เอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าคำสอนเรื่องความเป็นพระเจ้าแท้ของพระเยซูเจ้านั้นเป็นที่ถกเถียงกันในพระศาสนจักรยุคแรกอย่างมาก โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 3-4 ที่มีปัญหา และมีการต่อสู้กันอย่างหนักเพื่อจะรักษาความเชื่อเกี่ยวกับรหัสธรรมแห่งพระบุคคลของพระเยซู คริสตเจ้าไว้ว่าพระองค์มีความเป็นพระเจ้าแท้จริง เหมือนและเท่าเสมอกับพระบิดาของพระองค์ และทรงเป็นมนุษย์แท้ในเวลาเดียวกันด้วย
หนึ่งในบุคคลที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญคนหนึ่งที่ออกมาปกป้องคำสอนเรื่องนี้ก็คือ นักบุญ ซีริล แห่งเมืองอเล็กซานเดรีย ท่านไม่พอใจที่มีผู้มาสอนว่า พระนางมารีย์สามารถเป็นมารดาของพระเยซูในฐานะที่เป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ไม่อาจเป็นมารดาของพระองค์ในฐานะเป็นพระเจ้าได้ ที่สุดในปี 431 เพื่อยุติข้อโต้แย้ง และคำสอนที่ผิดหลงนี้ นำมาซึ่งสังคายนาแห่งเมืองเอเฟซัส เพื่อยืนยันว่า พระนางมารีย์ทรงถือเป็นดังพระมารดาของพระเจ้า (Theotokos) พระนางมิได้เพียงแค่ให้กำเนิดชายผู้หนึ่ง ซึ่งภายหลังการเกิดได้กลายเป็นพระเจ้า แต่ พระเยซูนั้นทรงเป็นพระบุตรแท้ของพระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของพระนางแล้ว
แน่นอนว่าพระนางมารีย์ทรงเป็นมนุษย์ และเป็นดังลูกหลานของอาดัม เอวา พระนางจึงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ต้องการความรอดของการไถ่กู้จากองค์พระคริสตเจ้าด้วย พระนางจึงถือเป็นสมาชิกคนหนึ่ง และเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดของพระศาสนจักร จึงสมควรที่พระศาสนจักรจะได้ให้เกียรติ์แด่พระนางในฐานะทรงเป็นมารดาที่น่ารักยิ่งของสมาชิกทุกคน และได้กำหนดให้ทุกวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เป็นวันฉลองพระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้า เพื่อยืนยันความเป็นพระเจ้าแท้ มนุษย์แท้ของพระเยซูเจ้า
“ผู้ใดก็ตามที่เรียกพระนางมารีย์ว่าเป็นมารดาพระเจ้า เขาก็ยืนยันว่าพระบุตรของพระนางเป็นพระเจ้าด้วย”
                                           นักบุญซีริล แห่งอเล็กซานเดรีย (370-444

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            มีเรื่องน่ายินดีที่จะเล่าสู่กันฟัง คือเมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นิตยสารไทม์แมกกาซีน ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อสังคมอย่างสูงฉบับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้รับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปี ประจำปี ค.. 2013 ของนิตยสารฉบับดังกล่าว เหตุผลที่นิตยสารฉบับดังกล่าวให้ไว้คือ "พระองค์เป็นพระสันตะปาปาที่ติดดิน พระองค์นำองค์กรพระศาสนจักรที่ใหญ่ที่สุดนี้ให้อุทิศตนด้วยการเผชิญกับปมปัญหาต่างๆบนพื้นฐานของความเมตตาเพื่อรักษาดุลยภาพในการอยู่ร่วมกันไว้บรรณาธิการบริหารของนิตยสารฉบับนี้ ให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า "พระองค์เลือกนามของนักบุญฟรังซิส ซึ่งเป็นนักบุญที่สุภาพถ่อมตนมาเป็นพระนามของพระองค์ และ ประกาศว่าพระศาสนจักรมีหน้าที่ในการเยียวยารักษาบาดแผลเรื้อรังต่างๆ"
            วาติกัน ดูเหมือนจะไม่ตื่นเต้นนักกับข่าวใหญ่นี้ คุณพ่อ เฟเดริโก ลอมบาร์ดี โฆษกของสำนักวาติกันกล่าวว่า "พระสันตะปาปาไม่ได้ปรารถนาจะได้รับการยกย่องให้เกียรติเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพราะพระองค์ไม่ได้ต้องการเป็นผู้มีชื่อเสียงด้วยการยกย่องให้เกียรติเหล่านี้ แต่ถ้าการได้รับการเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีจะเป็นหนทางช่วยให้การประกาศข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าเผยแผ่ไปยังทุกๆคนในโลกได้ พระสันตะปาปาก็คงจะทรงพอพระทัยเกี่ยวกับเรื่องนี้"
            ด้วยเวลาเพียง 9 เดือนเท่านั้น ที่พระสันตะปาปาฟรังซิส ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้นำพระศาสนจักรคาทอลิก  พระองค์ทำอะไรเล่าถึงได้รับการยอมรับจากผู้คนพ่อเชื่อว่า เหตุผลต่างๆต่อไปนี้คงจะพอช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้พระองค์ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปี
            1. พระองค์อาจเป็นพระสันตะปาปาที่ทันสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ใช้ทวิตเตอร์ในการแสดงสถานะของพระองค์เอง ด้วยการโพสต์ภาพถ่ายของพระองค์ และมีผู้ติดตามมากมาย นอกจากนี้พระองค์ยังไม่ทิ้งวิธีการสื่อสารแบบเดิมๆด้วยการโทรศัพท์ไปหาบุคคลบางคนด้วยพระองค์เอง
            2. พระองค์สื่อสารถึงมุสลิมทั่วโลก เมื่อจบเทศกาลถือศีลอดของชาวอิสลาม พระองค์ทรงมีสาส์นถึงชาวมุสลิมเพื่อร้องขอให้ชาวมุสลิมและชาวคริสต์ร่วมมือกันช่วยกันสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกันโดยผ่านทางการศึกษาอบรม
            3. พระองค์ ให้เกียรติและทรงฟังความเห็นของบุคคลที่แม้แต่จะต่อต้านเรื่องความเชื่อในพระเจ้า
            4. พระองค์แสดงจุดยืนของพระศาสนจักรในเรื่องกลุ่มคนรักร่วมเพศว่า ถ้ามีใครสักคนที่เป็นเกย์ แต่เขายังเชื่อในพระเจ้าและเป็นคนดี ข้าพเจ้าเป็นใครที่จะไปตัดสินคนเหล่านี้เล่า
            5. พระสันตะปาปาเป็นผู้สมถะ ดำรงชีวิตเรียบง่าย ไม่ถือพระองค์ ปฏิเสธที่จะพำนักในพระราชวังวาติกัน พระองค์พำนักอยู่ในห้องที่แสนจะธรรมดา ที่บ้านพักรวมของพระสงฆ์ที่ชื่อว่า ซานตามาร์เธ ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัล ก็ไม่ได้เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถยนต์ใหญ่โต แต่ ใช้รถเมล์ รถใต้ดิน และ รถยนต์เรโนลต์เก่าๆที่มีพระสงฆ์องค์หนึ่งยกให้
            คงมีเหตุผลอีกมากมายที่สามารถจะยกมากล่าวถึงความเหมาะสมว่าทำไม นิตยสารไทม์แมกกาซีนถึงได้เลือกที่จะยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับพระสันตะปาปา เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พระสันตะปาปาพระองค์นี้มีบุคคลิกภาพที่น่ารัก เข้าถึงง่าย และเป็นมิตรกับผู้คนทุกเพศทุกวัย และ มีปฏิภาณไหวพริบต่อปัญหาท้าทายพระศาสนจักรที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันรวดเร็ว ขอบพระคุณพระเจ้าที่โปรดทรงประทานพระสันตะปาปาที่น่ารักเช่นนี้ให้มาเป็นผู้นำพระศาสนจักรของพระองค์


คุณพ่อ สุพจน์
................................................................................................
เราเชื่ออะไร
พระนางมารีย์มีบุตรคนอื่นๆ นอกจากพระเยซูเจ้าหรือไม่

แม้พระศาสนจักรตั้งแต่สมัยแรกถูกเย้ยหยันในเรื่องความเชื่อที่ว่า พระนางมารีย์เป็นพรหมจารี แต่พระศาสนจักรยังคงเชื่ออยู่เสมอว่า ความเป็นพรหมจารีของพระนางเป็นความจริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเทพ หรือนิยายชวนศรัทธา แต่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงบังเกิดจากสตรีผู้หนึ่งที่เป็นมนุษย์ แต่ต้องไม่ใช่จากบิดาที่เป็นมนุษย์ นักบุญมัทธิวเริ่มต้นพระวรสารของตนด้วยการลำดับเชื้อพระวงศ์ของพระเยซูเจ้า เพียงเพราะต้องการเรียงเรื่องกำเนิดของพระเยซูเจ้าไว้ให้ถูกที่ เพราะผ่านทางนักบุญยอแซฟ บิดาทางนิตินัยนี้ พระเยซูเจ้าจึงทรงเป็นสมาชิกของราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด แต่พระองค์ทรงมาจากเบื้องบน จากการปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า จึงมิได้ทรงบังเกิดจากบุรุษคนใดคนหนึ่ง
ความเป็นพรหมจรรย์ตลอดกาลของพระนางมารีย์นี้ ได้รับการยอมรับกันมาตั้งแต่สมัยพระศาสนจักรยุคแรกแล้ว ซึ่งเป็นการตัดเรื่องความเป็นไปได้ที่ว่า พระเยซูทรงมีพี่น้องชายหญิงที่เกิดจากมารดาเดียวกันออกไป ภาษาอาราเมอิคซึ่งถือเป็นภาษาแม่ของพระเยซูเจ้าในขณะนั้น คำว่า “พี่น้อง” และคำว่า “ลูกพี่ลูกน้อง” ใช้คำเดียวกัน ดังนั้น เมื่อพระวรสารของนักบุญมาร์โก กล่าวถึงพี่น้องชายหญิงของพระเยซูเจ้า พวกเขาได้หมายถึงญาติใกล้ชิดของพระองค์
นักบุญมัทธิวเล่าว่า ชาวนาซาเร็ธในศาลาธรรมได้กล่าวถึงพระเยซูเจ้าว่า “เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่น้องของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ” (มธ 13: 55) แต่ในพระวรสารอีกตอนหนึ่ง นักบุญมัทธิวก็เล่าด้วยว่า ในบรรดาสตรีที่อยู่เชิงไม้กางเขนเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์นั้น “มีมารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของยากอบและของโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี” (มธ 27: 56) ถ้ามารีย์มารดาของยากอบและของโยเซฟในที่นี้เป็นคนคนเดียวกันกับพระมารดามารีย์ คงเป็นเรื่องแปลกที่ผู้เขียนกลับไม่ได้เรียกสตรีคนนี้อย่างชัดเจนว่า “พระมารดาของพระเยซูเจ้า” นี่แสดงชัดเจนว่ามารีย์ในที่นี้ย่อมเป็นคนละคนกัน
“เมื่อความเชื่อในพระมารดาของพระเจ้าลดน้อยลง ความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าก็จะลดน้อยลงด้วยเช่นกัน”
  Ludwig Feuerbach (1804-1872)

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            เดือนธันวาคมนี้มีวันสำคัญหลายวันที่พระศาสนจักรเตือนใจเราให้รำลึกถึงครับ นอกเหนือจากการตระเตรียมฉลองคริสต์มาสกันแล้ว วันวันนี้พ่ออยากนำเสนอให้พี่น้องได้รำลึกถึง บรรดาผู้ทำหน้าที่สอนคำสอนอีกด้วย เพราะนอกเหนือจากพระสงฆ์ และ นักบวชชายหญิง จะเป็นผู้สอนคำสอนของพระเจ้าโดยตรงแล้ว ยังมีบรรดาครูสอนคำสอนที่เป็นคริสตชนฆราวาส ซึ่งมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการสอนคำสอนในท้องที่ต่างๆอีกด้วย พ่ออยากย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.. 2532 หรือ ปี ค.. 1989 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงประกาศแต่งตั้ง บุญราศีทั้ง 7 แห่งประเทศไทย และ ในจำนวนนั้น มีบุญราศีท่านหนึ่งมีนามว่า ฟีลิป สีฟอง อ่อนพิทักษ์ ซึ่งเป็นครูสอนคำสอน ได้ถวายชีวิตของท่านถึงแก่ความตาย เป็นพยานยืนยันถึงองค์พระคริสตเจ้า พระศาสนจักรไทย จึงกำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคมเป็นวันครูคำสอนไทยอีกด้วย
            อย่างที่พ่อเคยกล่าวไปแล้วว่า เราคริสตชนทุกคนได้รับการเรียกให้ประกาศพระนามของพระเจ้า ทั้งโดยทางตรง และ โดยทางอ้อม การสอนคำสอนให้กับผู้อื่นจึงถือได้ว่าเป็นการตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้าได้อย่างดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราพบว่ามีน้อยคนนักที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ถ้ามีคนที่ไม่มีความรู้ทางศาสนาคริสต์มาถามเราให้ช่วยอธิบาย หลักธรรม ข้อคำสอน และ วิถีปฏิบัติ ของชาวคริสต์ให้กับเขาได้ฟัง เพื่อช่วยเขาให้สามารถมองเห็นถึงแก่นแท้ของศาสนาคริสต์ที่เขาปรารถนาอยากจะเรียนรู้ และ ถ้าเป็นไปได้เขาเองก็อยากทราบเช่นกันว่า ศาสนาคริสต์เมื่อมีคนสมัครใจเข้ามานับถือแล้วเขาจะพบกับสันติสุขได้อย่างไร เราคงเหนียมอายไม่กล้าตอบ หรือ ถ้าจะตอบก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราจะพูดออกไปนั้นมันถูกต้องเป็นจริงแค่ไหน เพราะเราคริสตชนแม้จะได้เรียนคำสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ไม่ได้รับการศึกษาอบรม ฝึกฝนมาโดยตรงเพื่อจะสอนคำสอนแบบจริงจังในบทบาทและฐานะเยี่ยงครูคำสอน ตรงนี้เองที่พ่ออยากให้พี่น้องได้มองเห็นถึงความสำคัญประการหนึ่งว่า ครูคำสอนเป็นบุคคลากรที่ทรงคุณค่าของพระศาสนจักร เพราะครูคำสอนคือผู้ประกาศสอนถึงความเชื่อในพระเจ้าโดยตรงให้กับบุคคลที่สนใจจะเรียนรู้และเข้าถึงหลักธรรมของศาสนาคาทอลิกของเรา
            การให้การศึกษาอบรม เพื่อจะสร้างครูคำสอนจึงเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะครูคำสอนเป็นผู้ช่วยพระสงฆ์อย่างดีที่สุดในการสอนคำสอน ให้กับเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเขตมิสซังที่มีพื้นที่ยากลำบากแก่การเข้าถึง และ ขาดแคลนพระสงฆ์ ครูคำสอนเป็นประดุจกองกำลังแนวหน้าที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าเข้าถึงหัวใจของผู้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า
            วันนี้พ่อจึงเชิญชวนให้พี่น้องภาวนาเป็นพิเศษเพื่อครูคำสอนทุกๆคน และ เพื่อให้เป้าหมายของพระศาสนจักรในการสร้างครูคำสอนที่ทำงานเต็มเวลาในด้านการสอนคำสอนนี้ประสบความสำเร็จ เพราะพระศาสนจักรคงจะไม่สามารถทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงได้โดยเร็วถ้าปราศจากครูคำสอน พ่อขอเชิญชวนพี่น้องโปรดร่วมใจกันบริจาคเพื่อส่งเสริมให้งานด้านการสร้างครูคำสอนที่กำลังดำเนินอยู่ สามารถสร้างผลิตผลที่ได้ครูคำสอนที่มีประสิทธิภาพที่พร้อมสมบูรณ์ทุกด้านในการออกมาเป็นผู้เปิดพื้นที่แห่งความรักของพระเจ้าในหัวใจของผู้คนอีกมากมายที่โหยหาความรักจากพระองค์


คุณพ่อ สุพจน์
.........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเยซูเจ้าจึงทรงกระทำอัศจรรย์

อัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าไม่ใช่การแสดงอำนาจของพระองค์ด้วยการแสดงมายากล หากแต่พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระอานุภาพแห่งการเยียวยารักษา อาศัยความรักและพระเมตตาจากพระเจ้า  และโดยทางการอัศจรรย์นี้ พระองค์ก็ได้ทรงแสดงว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่มนุษย์เฝ้ารอคอย  ซึ่งบัดนี้พระอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้เริ่มขึ้นแล้วในพระองค์ พระอาณาจักรที่ผู้คนจะเป็นอิสระจากความหิวโหย จากความอยุติธรรม ความเจ็บป่วย ความตาย และด้วยอาศัยการขับไล่ปีศาจ พระองค์ได้ทรงแสดงชัยชนะที่จะมีเหนือซาตาน เจ้านายแห่งโลกนี้ด้วย
เนื่องจากชาวยิวที่ปาเลสไตน์ในสมัยของพระเยซูเจ้าคิดว่า โรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดเป็นผลมาจากอำนาจของปีศาจ และเป็นผลของบาป ดังนั้น การที่พระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปีศาจ และทรงรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ก็ย่อมแสดงว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงแล้ว เพราะเท่ากับอำนาจชั่วร้ายที่ครอบงำมนุษย์ได้ถูกทำลายลงแล้ว อันเป็นการยืนยันคำเทศน์สอนของพระองค์ที่ว่า “ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงท่านแล้ว” (มธ 12 : 28)
อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้ามิได้ทรงนำเอาความทุกข์ และความชั่วร้ายทั้งหมดออกไปจากโลกนี้ หากสิ่งที่พระองค์มุ่งมั่นประการแรกคือ การช่วยให้มนุษย์พ้นจากการเป็นทาสของบาป รวมทั้งการมีความไว้วางใจในพระองค์ และนั่นก็คือ “ความเชื่อ” ซึ่งพระองค์ทรงเรียกร้องแทบทุกครั้งเมื่อพระองค์ทรงทำอัศจรรย์
“อัศจรรย์มิได้เกิดขึ้นขัดกับธรรมชาติ แต่ขัดกับความรู้ของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ”
 นักบุญออกัสติน (354-430)

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            วันอาทิตย์สัปดาห์ที่สองในเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เป็นวันพระคัมภีร์ การที่พระศาสนจักรกำหนดวันวันนี้ให้เป็นวันพระคัมภีร์ ก็เพื่อรณรงค์ให้คริสตชนทุกคนให้ความสำคัญกับหนังสือพระคัมภีร์ วันนี้พ่อจึงอยากจะถือโอกาสนี้เรียนกับพี่น้อง เกี่ยวกับเรื่องของพระคัมภีร์สักหน่อยครับ ในพระศาสนจักรคาทอลิกของเรานั้น พระคัมภีร์ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตคริสตชน เพราะ พระคัมภีร์คือหนังสือที่บันทึกพระวาจาของพระเจ้า ที่ทรงเผยแสดงพระธรรมล้ำลึกของพระองค์ให้กับมวลมนุษย์ ดังนั้นหนังสือพระคัมภีร์จึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการที่เรามนุษย์จะสามารถเรียนรู้ถึง ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีที่พระเจ้าทรงมีต่อเรามนุษย์ หนังสือพระคัมภีร์จึงเป็นเสมือนหัวใจของพระศาสนจักร เพราะระเบียบ ข้อปฏิบัติ และ แนวทางในการดำเนินชีวิตของเราคริสตชน ก็มีที่มาจากหนังสือพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ปราศจากเสียซึ่งหนังสือพระคัมภีร์เสียแล้ว เราคริสตชนก็คงไม่มีแก่นสารใดๆที่จะทำให้เราเรียนรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลย วันวันนี้จึงเป็นวันที่พระศาสนจักรทั่วโลกรณรงค์ให้เราคริสตชนทุกคน หันมาให้ความสำคัญกับหนังสือพระคัมภีร์ ซึ่งพ่อคิดว่าในทางปฏิบัติแล้ว เราทุกคนควรที่จะสนใจในการอ่านหนังสือพระคัมภีร์ทุกๆวัน เพราะนี่คือหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นประดุจลายแทงขุมทรัพย์ที่ช่วยเราแต่ละคนให้พบกับ ทรัพย์สมบัติที่มีคุณค่ามหาศาล ที่ไม่รู้จักเสื่อมสลาย ใครก็ตามที่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัตินี้ เขาจะเป็นผู้มั่งคั่งมั่งมี ด้วยทรัพย์ศฤงคารที่ช่วยให้เราค้นพบกับความสุขที่อิ่มเอมเปรมใจชนิดที่ว่า เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
            ด้วยเหตุนี้พ่อจึงขอเชิญชวนให้เราคริสตชนคาทอลิกทุกคนได้เปิดหนังสือพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านทุกวัน พี่น้องอาจจะเริ่มต้นจากการอ่านไบเบิ้ลไดอารี่ก็ได้ เพราะเป็นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด แต่กระนั้น เราก็ควรที่จะอ่านพระคัมภีร์ให้จบ อย่างน้อย 1 จบ ทั้งภาคพันธสัญญาเดิม และ ภาคพันธสัญญาใหม่ เพราะนี่คือสาระที่มีคุณค่ากับชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราอย่างแท้จริง ถ้าเราละเลย ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่สนใจใยดี แล้วเราจะตอบพระเจ้าได้อย่างไรว่า เรารู้จักพระองค์ รักพระองค์ ในเวลาสุดท้ายที่พระองค์จะถามเรา เพราะในระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ เราไม่เคยให้เวลา อ่านถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่ได้สื่อความถึงเรามนุษย์โดยผ่านทางพระคัมภีร์เลย วันนี้พ่ออยากเชิญชวนให้พี่น้องร่วมกันบริจาคเพื่อการทำงานด้านการแปล การจัดพิมพ์หนังสือพระคัมภีร์ และการรณรงค์เพื่อให้เราคริสตชนค้นหาแก่นแท้ของการดำเนินชีวิตโดยยึดพระคัมภีร์เป็นหลักในการดำเนินชีวิตของเราครับ


คุณพ่อ สุพจน์
..........................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเยซูต้องมารับพิธีล้างบาปจากยอห์น

บรรดาคนบาป หญิงโสเภณี คนเก็บภาษีออกไปหาประกาศกยอห์นเพื่อรับพิธีล้าง เพราะพวกเขาใฝ่หาเครื่องหมายของการเป็นทุกข์กลับใจ เพื่อจะได้รับการอภัยบาป การรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าจึงดูจะเป็นปัญหาสำหรับคริสตชนสมัยแรก เพราะพิธีนี้เรียกร้องการสารภาพบาปของตน รวมทั้งความพยายามละทิ้งชีวิตเก่าที่ไม่ดีเพื่อมาดำเนินชีวิตในหนทางใหม่กับพระเจ้า คริสตชนจึงตั้งคำถามว่าพระเยซูเจ้าจะทรงเคยทำบาป และนำมาสารภาพในพิธีล้างได้อย่างไร กล่าวได้อีกอย่างคือ พระเยซูไม่จำเป็นต้องรับพิธีล้างนี้เลย เพราะพระองค์ย่อมไม่มีบาป
ความจริงคือพระเยซูเจ้าทรงยอมรับพิธีล้างนี้ เพื่อแสดงให้เราเห็นสองอย่างคือ พระองค์ยินดีรับบาปของเรามนุษย์ทั้งหมดไว้ในพระองค์ ทรงเริ่มภารกิจแรกของพระองค์ด้วยการยืนยันที่จะรับบาปของมนุษย์ไว้บนบ่าของพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์ทรงเข้าใจดีว่าการรับพิธีล้างของพระองค์ เป็นการบ่งบอกล่วงหน้าถึงพระทรมาน การยอมรับความตายเพราะเห็นแก่บาปของมนุษยชาติ และที่สุดคือการกระทำล่วงหน้าของการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ด้วย ผ่านทางศีลล้าง อันหมายถึงการทรงถูกจุ่มลงรับความตายในน้ำ และกลับขึ้นมาจากความตาย ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ
ภาพของท้องฟ้าที่เปิดออกเหนือพระเยซูเจ้า และเสียงจากสวรรค์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ที่มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้า ผู้ทรงปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาอย่างสมบูรณ์ เสียงนั้นไม่ได้เปิดเผยว่าพระเยซูเจ้าทรงได้ทำอะไร แต่ประกาศยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด “บุตรที่รัก และที่โปรดปรานของเรา” (ลก 3: 22)
“ในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงรับโฉมหน้าของมนุษย์ เพื่อกลายมาเป็นเพื่อน และพี่น้องของเรา”
    โจเซฟ รัตซิงเกอร์

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            เราก้าวเข้ามาสู่เดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี พ.ศ. 2556 แล้ว ถ้าจะพูดให้มองเรื่องของเวลา เราเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียวปี พ.ศ. 2556 ก็จะผ่านพ้นไปแล้ว เดือนนี้จึงเป็นเดือนสำคัญของการปิดโฉมหน้ากิจกรรมต่างๆที่ได้จัดทำตามเป้าหมายของแต่ละหน่วยงาน องค์กร บริษัท ห้างร้าน ฯลฯ ที่ได้วางแผนงานเอาไว้ และ หลังจากนี้คงเป็นเรื่องของการประเมินผลงานและกิจกรรมต่างๆว่าบรรลุผลตามเป้าหมายมากน้อยอย่างไร
            ในส่วนของปีพิธีกรรม วันวันนี้เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า นั่นหมายความว่า วันคริสต์มาสอยู่ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่แล้ว กิจกรรมต่างๆในค่ำคืนวันคริสต์มาส ซึ่งตรงกับวันที่ 24 ธันวาคม ของทุกปี ก็คงมีเช่นปีที่ผ่านๆมา ในปีนี้ทางวัดจะพยายามจัดเตรียมเรื่องการตกแต่งสถานที่ และ การจัดไฟความสว่างให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในค่ำคืนวันคริสต์มาสให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น ในปีนี้เรามีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ที่ได้รับบริจาคมาจากผู้มีน้ำใจดี มาติดตั้งบริเวณหน้าวัด และ จะมีการจัดเตรียมเวทีขนาดย่อมๆสำหรับการจัดการประกวดถ้ำพระกุมาร  เพื่อให้ดูงดงามเหมาะสมกับวันฉลองสำคัญนี้ซึ่งปีหนึ่งมีเพียงครั้งเดียว นอกนั้น เรื่องของการสอยดาว การเล่นบิงโก การเล่นเกมส์ และ บ้านลม ก็ยังมีไว้สำหรับความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับทุกๆคนที่มาร่วมงาน ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความชื่นชมยินดี ความรัก และ การแบ่งปัน อันเป็นความหมายสำคัญของวันคริสต์มาสนั่นเอง
            พ่อขอถือโอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องที่ได้ร่วมกันคนละไม้คนละมือในการบริจาคของรางวัล และ ปัจจัยสำหรับการจัดงานคริสต์มาสในปีนี้ ขอขอบคุณเช่นกันสำหรับพี่น้องอีกหลายๆท่านที่มีส่วนร่วมในการช่วยกันจัดงานนี้ขึ้น โดยมีส่วนร่วมในการเตรียมการต่างๆในทุกๆด้าน พ่อเชื่อมั่นว่าพลังของความร่วมมือกันของเราทุกคน จะยังผลให้เกิดสิ่งที่ดีงามและมีคุณค่าสำหรับทุกคนครับ


คุณพ่อ สุพจน์
......................................................................................................
เราเชื่ออะไร
พระเยซู เป็นทั้งพระเจ้าแท้ และมนุษย์แท้ หมายความว่าอะไร

                พระศาสนจักรต่อสู้มาเป็นเวลานานกับปัญหาการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นพระเจ้า และความเป็นมนุษย์ในพระเยซูคริสตเจ้า ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าเพียงบางส่วน และเป็นมนุษย์บางส่วนอย่างที่มีหลายคนหลายกลุ่มเข้าใจ ในปี ค.ศ.325 สภาสังคายนาที่เมืองนิเซีย ได้ประกาศข้อความเชื่อของพระศาสนจักรว่า “พระเจ้ามีแต่พระองค์เดียว ส่วนพระคริสตเจ้าทรงเป็นพระบุตรแต่พระองค์เดียวของพระเจ้า ซึ่งมีพระธรรมชาติเช่นเดียวกับพระบิดา” (นั่นหมายความว่า ทรงมีพระธรรมชาติเป็นพระเจ้าเหมือนกับพระบิดา  และเท่ากับพระบิดาทุกประการ กล่าวคือ ทรงเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับพระบิดาด้วย) พระบุตรมิได้ทรงถูกสร้าง  แต่กลับเป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน (คำสอนนี้ลบล้างความคิดของอารีอุสที่สอนว่า พระบุตรทรงถูกสร้างจากความว่างเปล่า และเพื่อยืนยันว่า พระบุตรทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้)
            มาในปี ค.ศ.451 สภาสังคายนาที่คาลเซดอน ได้ยืนยันอีกว่า “พระคริสตเจ้าทรงเป็นพระเจ้าทั้งครบและมนุษย์ทั้งครบ ทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ พระองค์ทรงร่วมสาระเดียวกับพระบิดาในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้า และร่วมธรรมชาติเดียวกับเราในฐานะเป็นมนุษย์  จึงทรงเป็นเหมือนเรามนุษย์ทุกอย่าง ยกเว้นบาป ในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้า จึงทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา  และในฐานะที่พระองค์เป็นมนุษย์ ทรงบังเกิดจากพระนางมารีย์ พระองค์จึงมี 2 ธรรมชาติ ที่ไม่มีการผสมผสานหรือเปลี่ยนแปลง ทั้งสองธรรมชาตินี้ ไม่ได้สูญไป คุณลักษณะของแต่ละธรรมชาติยังคงอยู่ และรวมเป็นหนึ่งในพระบุคคลเดียว
            ด้วยเหตุนี้จึงมี 2 น้ำพระทัย และ 2 การทำงานอยู่ในพระคริสตเจ้า โดยปราศจาก การแบ่งแยก เปลี่ยนแปลง หรือผสมปนเปกัน ยิ่งกว่านั้น ทั้งสองน้ำพระทัยนี้ไม่มีความขัดแย้งกัน กล่าวคือ น้ำใจแบบมนุษย์ จะนอบน้อมและไม่ต่อต้านน้ำพระทัยแบบพระเจ้า ส่วนความเป็นพระเจ้าของพระคริสตเจ้า ก็ไม่ได้จำกัดน้ำใจมนุษย์ของพระองค์ แต่ยังคงรักษา และส่งเสริมความเป็นมนุษย์แท้ของพระองค์ให้สมบูรณ์ขึ้น 
“ไม่มีแห่งใดในโลกที่มีอัศจรรย์ยิ่งใหญ่สุดเท่าที่คอกสัตว์ในเมืองเบธเลเฮม   เพราะที่แห่งนั้น พระเจ้าและมนุษย์ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน”
Thomas Kempis (1380-1471)

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2013

สวัสดีครับพี่น้องทุกท่าน
            สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของปีพิธีกรรม เราสมโภชพระคริสตเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล วันนี้เป็นวันที่เราจะภาวนาเป็นพิเศษเพื่อพระกระแสเรียก โดยเฉพาะกระแสเรียกในการเป็น พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวเกี่ยวกับนโยบายใหม่ของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ที่อนุญาตให้ครอบครัวชาวจีนสามารถมีลูกได้ ครอบครัวละ 2 คนแล้ว ตามที่เราพอทราบกันมาแต่นานแล้วว่า ประเทศจีนมีจำนวนประชากรเยอะที่สุดในโลกถึงประมาณ 1200 ล้านคน ผู้ปกครองประเทศจีนเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน กลัวว่าชาวจีนจะมีจำนวนประชากรมากเกินไป จึงพยายามหาทางควบคุมประชากรเอาไว้ด้วยการออกนโยบายให้ครอบครัวแต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียงครอบครัวละ 1 คน นโยบายนี้มีข้อดีในแง่ที่ว่าสามารถควบคุมอัตราการเจริญเติบโตของจำนวนประชากรชาวจีนไว้ให้อยู่ภายในขีดจำกัดได้ แต่ตอนนี้ผู้ปกครองประเทศจีนเริ่มมองเห็นแล้วว่า ในอนาคตประเทศจีนซึ่งกำลังมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดของโลกในขณะนี้ อาจจะตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนแรงงานในอนาคตได้ จึงเปลี่ยนนโยบายเรื่องการมีบุตรเพื่อให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอนาคต ที่พ่อนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อจะนำมาบอกเล่ากับพี่น้อง เพื่อจูงเข้าสู่เรื่องของกระแสเรียกของการสมัครใจเข้ามาเป็นพระสงฆ์ นักบวชชาย หญิง เราทั้งหลายคงไม่ปฏิเสธว่า พระสงฆ์  มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในพระศาสนจักร เพราะมีหน้าที่โดยตรงในการเทศน์สอน โปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ ถวายบูชาขอบพระคุณ อีกทั้งมีบทบาทในการสืบสาน คำสอน ธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร ส่วนนักบวชชาย หญิง ก็มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับพระศาสนจักร ในการเจริญชีวิตด้วยความรักในหมู่คณะอันเป็นคำสอนประการสำคัญของพระเยซูเจ้า และ เป็นผู้ประกอบภารกิจแห่งความรักที่แต่ละคณะมีจิตตารมณ์เฉพาะของตัวเอง ในการเผยแผ่ข่าวดีและเสริมสร้างอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกอย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มที่น่าเป็นห่วงก็คือ จำนวนของผู้สมัครใจตอบรับกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์นักบวชในปัจจุบันมีน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคงมีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ แต่สิ่งที่พ่ออยากสื่อความกับพี่น้องในวันนี้ก็คือ ถ้าเราปล่อยให้แนวโน้มนี้เป็นอย่างนี้เรื่อยไปใครจะไปรู้ว่า อีกหน่อยพระศาสนจักรในประเทศไทยของเราคงต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนพระสงฆ์ นักบวช เข้าสักวันก็ได้ ดังนั้นให้เราพยายามอย่างยิ่งในการสนับสนุนด้วยวิธีการต่างๆเพื่อให้มีเยาวชนหญิงชายตัดสินใจตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้าเพื่อดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระองค์ ด้วยการอุทิศตนมาเป็นพระสงฆ์ นักบวช เพื่อพระศาสนจักรจะมีผู้สืบทอดภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้ต่อไปในอนาคต  "ข้าวที่จะเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยจงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด


คุณพ่อ สุพจน์
..................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมจึงเรียกพระวรสารว่า “ข่าวดี”

มนุษย์เราทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ่อนแอ และหลงผิดอย่างง่ายดาย แต่พระเจ้ามิได้พอพระทัยเฝ้าดูมนุษย์ค่อย ๆ ทำลายตนเอง และโลกรอบตัวเขา อันเนื่องมาจากปฏิกริยาลูกโซ่ของบาป พระองค์ได้ทรงส่งพระเยซูเจ้ามาช่วยเรามนุษย์ ช่วงชิงเราออกจากอำนาจของบาปและความตาย ดังนั้น แม้ว่าผลของบาปคือความตาย แต่ก็ทำให้มีผลอีกประการหนึ่งของบาป คือการที่พระเจ้าได้เสด็จลงมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรามนุษย์ด้วย บาปกำเนิดนี้จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น Felix culpa (ความผิดที่โชคดี)
พระวรสาร หรือการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า จึงถือเป็นข่าวดีที่สุดในโลก ถ้าไม่มีพระวรสาร เราก็จะไม่ทราบได้เลยว่าพระเจ้านั้นรักมนุษย์มาก ถึงขนาดทรงส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อให้มนุษย์รู้ความจริงที่สมบูรณ์ และได้รับความรอดพ้น พระนาม “เยซู” นี้ในหนังสือกิจการอัครสาวกยังกล่าวไว้ด้วยว่า “ใต้ฟ้านี้ พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์ นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้” (กจ 4: 12) นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดของข่าวสารที่บรรดาธรรมทูตนำไปให้แก่ปวงชน นอกจากนี้ภาษากรีกคำว่า “Christos” และภาษาฮีบรู คำว่า “Messiah” ทั้งสองคำนี้มีความหมายว่า “ผู้ได้รับเจิม” ซึ่งในประเทศอิสราเอลผู้ที่จะได้รับการเจิมคือ กษัตริย์ พระสงฆ์ และประกาศก บรรดาอัครสาวกได้เรียนรู้ว่า พระเยซูเจ้าทรงได้รับการเจิมด้วยพระจิต พระองค์ทรงเป็นมากกว่ามนุษย์คนหนึ่ง และอยู่ในความสัมพันธ์หนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดาของพระองค์ เหตุนี้ บรรดาคริสตชนในสมัยแรกจึงเชื่อ และพูดถึงพระเยซูของพวกเขาว่าเป็น “องค์พระเจ้า” และพวกเขาจะไม่ยอมย่อเข่าลงต่ออำนาจอื่นใดอีกต่อไป
“เมื่อพระหัตถ์ของพระคริสตเจ้าถูกตะปูตรึงอยู่บนกางเขน พระองค์ก็ทรงตอกตรึงบาปของเราไว้บนกางเขนนั้นด้วย”
นักบุญ เบอร์นาร์ด แห่งแคลร์โวซ์ (1090-1153)


วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2013

พี่น้องที่รัก
            ตามที่เราได้ทราบแล้วเกี่ยวกับเรื่องพายุไต้ฝุ่น ไห่เยียนที่ถาโถมเข้าสู่ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการสูญเสียใหญ่หลวง ประชาชนนับหมื่นคนต้องเสียชีวิต และ คนหลายแสนคนไร้ที่อยู่อาศัย เราคงนิ่งเฉยดูดายไม่ได้ ต่อหายนะที่เกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านของเรา ให้เราร่วมใจกันส่งความช่วยเหลือไปยังผู้ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้โดยด่วน และ ภาวนาเพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากมหาวาตภัยในครั้งนี้ด้วยครับ
            พ่อขอนำจดหมายของสังฆมณฑลที่ส่งมาตามวัด มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

คุณพ่อ สุพจน์

......................................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมมนุษย์มีความทุกข์และความตาย

มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนมีต้นกำเนิดเดียวกัน คือถูกสร้างด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ไม่เคยทรงปรารถนาให้มนุษย์คนใดต้องทนทุกข์และตาย ความคิดแรกของพระเจ้าสำหรับมนุษย์คือ สวรรค์ และสันติสุขนิรันดรกับพระองค์
บ่อยครั้งที่เราอาจรู้สึกว่าชีวิตน่าจะเป็นเช่นนั้น และเราควรจะเป็นเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริง เรากลับไม่พบว่าตัวเองมีสันติสุขอันแท้จริงเลย หลายต่อหลายครั้งในการดำเนินชีวิต ที่เราแสดงออกด้วยความหวาดกลัว ความกังวล และการควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เพราะมนุษย์ได้สูญเสียความสอดคล้องกลมกลืนแรกเริ่มที่มนุษย์เคยมีกับโลก และต่อพระเจ้าแบบที่เคยเป็น พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความขัดแย้งนี้ในเรื่องราวของการตกในบาปครั้งแรกของมนุษย์ มนุษย์ตัดสินใจที่จะเลือกทำในสิ่งที่รู้ดีว่าไม่ควรทำ จนเป็นเหตุให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้อยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์อีก ด้วยเหตุนี้ ความเหน็ดเหนื่อยจากการงาน ความทุกข์ทรมาน และการถูกประจญให้กระทำบาป จึงเป็นเครื่องหมายของการสูญเสียสวรรค์นั่นเอง บาปดังกล่าวนี้ นอกจากจะเป็นการปฏิเสธการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว ยังเท่ากับเป็นการแยกทางออกจากแหล่งกำเนิดของชีวิตอีกด้วย  ด้วยเหตุนี้ความตายจึงเป็นผลที่ตามมาอีกประการหนึ่งของบาป
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 เคยเปรียบเทียบว่า “เราทุกคนรับยาพิษหยดหนึ่งไว้ในตัวเรา นั่นคือ ยาพิษของวิธีการคิด (ที่แสดงเป็นภาพลักษณ์ในหนังสือปฐมกาล) ...มนุษย์ไม่ไว้วางใจพระเจ้า เมื่อถูกปีศาจล่อลวง เขาเกิดความสงสัยว่าพระเจ้าหวงอำนาจ และจำกัดเสรีภาพของเขา และเราจะเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มที่หากเราไล่พระองค์ออกไปจากที่เราอยู่ มนุษย์ไม่ต้องการรับการดำรงอยู่ของพระองค์อีกต่อไป ซึ่งในการกระทำเช่นนี้เอง เท่ากับว่ามนุษย์เลือกที่จะไม่ยอมรับความจริงของชีวิตอีกต่อไปด้วย และนั่นทำให้เขาต้องตกอยู่ในความตาย และความไม่มีอะไรอีกเลย”
“การหันหนีไปจากพระองค์ คือการหกล้ม
 การหันกลับมาหาพระองค์ คือการลุกขึ้น
 การดำรงอยู่ในพระองค์ คือความปลอดภัย”

นักบุญ ออกัสติน (354-430)

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2013

พี่น้องที่รัก
            เดือนพฤศจิกายนปีนี้มีวันสำคัญอยู่หลายวัน นอกเหนือจากวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลายแล้ว วันที่ 2 พฤศจิกายน ถัดมา ก็เป็นวันระลึกถึงดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ โดยเฉพาะดวงวิญญาณในไฟชำระ ซึ่งการที่พระศาสนจักรเตือนใจเราให้จัดวันระลึกถึงนักบุญทั้งหลาย และ ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ก็เพราะว่า เราทุกคนต่างก็รวมอยู่ในสหพันธ์นักบุญ หรือ ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างใกล้ชิด เราจึงมีการวิงวอนขอพระเจ้าเพื่อกันและกัน นั่นคือ เราวิงวอนพระเจ้าเพื่อดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับที่ยังอยู่ในไฟชำระ ดวงวิญญาณเหล่านี้ยังมีมลทินบาป และต้องรอการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์เสียก่อนจึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ส่วนบรรดานักบุญทั้งหลายนั้น ได้แก่ดวงวิญญาณต่างๆที่บรรลุถึงเมืองสวรรค์แล้ว และ นักบุญเหล่านี้สามารถวิงวอนพระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย ที่ยังอยู่ในโลก ซึ่งกำลังเผชิญกับอุปสรรค  ความยากลำบาก ต้องเผชิญกับการประจญล่อลวงของปีศาจ แต่เราก็หวังที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ด้วย นี่ก็เป็นคำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องสหพันธ์นักบุญ ซึ่งเรามาเน้นที่จะย้ำเตือนกล่าวถึงกันในระหว่างเดือนพฤศจิกายนครับ
            พ่อขอถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานปิดปีแห่งความเชื่อ ซึ่งสังฆมณฑลของเราจะจัดขึ้นที่วัดนักบุญยอแซฟอยุธยา วันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องที่สนใจอยากเดินทางไปร่วมงานฉลองดังกล่าว ทางวัดจะจัดรถบัส 1 คัน ความจุ 40 ที่นั่งให้กับพี่น้องที่สนใจอยากเดินทางไปร่วมงานฉลองดังกล่าว โดยขอเก็บค่าใช้จ่าย คนละ 100 บาท เพื่อสมทบทุนค่าน้ำมันและค่าตอบแทนพนักงานขับรถ พี่น้องท่านใดสนใจโปรดลงชื่อเพื่อสำรองที่นั่งนะครับ

คุณพ่อ สุพจน์
........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเจ้าสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง

พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก และเป็นแบบอย่างของความเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง เพื่อให้ทั้งสองเป็นภาพลักษณ์พระธรรมชาติแห่งพระตรีเอกภาพของพระองค์ การเป็นชายและหญิงของมนุษย์นี้ ทำให้พวกเขามีความปรารถนาที่จะเติมเต็มกันและกันให้สมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ ในความรักของชายหญิงโดยเฉพาะในการแต่งงาน พวกเขาจะกลายเป็น “เนื้อเดียวกัน” (ปฐก 2: 24) พวกเขาได้รับอภิสิทธิ์ที่จะสัมผัสถึงความสุขของการเป็นหนึ่งเดียวกัน และพบความสมบูรณ์สูงสุดของเขาในพระองค์

พระศาสนจักรเชื่อว่า ในแบบแผนของการสร้างนั้น ชายและหญิงถูกสร้างขึ้นมาให้จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อความสมบูรณ์ และเพื่อให้กำเนิดบุตร ด้วยเหตุนี้ พระศาสนจักรจึงมิอาจยอมรับการประพฤติปฏิบัติของคนรักร่วมเพศ แต่อย่างไรก็ตาม คริสตชนต้องเคารพและรักทุกคน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีรสนิยมทางเพศเป็นเช่นไร เพราะพระเจ้าทรงรักลูกๆ ของพระองค์ทุกคนเสมอ

พระเจ้ามิใช่ชายหรือหญิง ทรงแสดงพระองค์เป็นทั้งดังบิดา และมารดา ที่เต็มไปด้วยความรักอย่างซื่อสัตย์ที่มีต่อมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนจึงมีความเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนมีต้นกำเนิดเดียวกัน คือถูกสร้างด้วยความรักของพระเจ้า ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงควรต่อต้านการเหยียดผิว เหยียดเพศ และการแบ่งชนชั้นฐานะ เพราะเราทุกคนต่างก็มีพระผู้ช่วยให้รอดองค์เดียวกันทั้งนั้น คือพระเยซูคริสต
“ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีพระตรีเอกภาพ คือ
ผู้ที่รัก ผู้ที่ถูกรัก และต้นธารแห่งความรัก”

นักบุญ ออกัสติน (354-430)

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2013

พี่น้องที่รัก
            วันนี้เป็นวันฉลองนักบุญทั้งหลาย พ่ออยากถือโอกาสนี้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยครับ คำว่า “นักบุญ” มีความหมายอย่างไร?  ถ้าจะพูดกว้างๆแล้ว นักบุญ คือบุคคลที่เชื่อและกราบไหว้ในองค์พระเยซูคริสต์ และ ดำเนินชีวิตของเขาตามคำสอนของพระเยซู ในศาสนาคาทอลิกของเรา ใช้คำๆนี้เพื่อหมายถึง บุคคลพิเศษที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหญิงและชาย เขาเหล่านี้มีคุณธรรมสูงส่ง และ บัดนี้เขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว
            คำว่า “นักบุญ” หมายถึง “ผู้เต็มเปี่ยมด้วยบุญ” หรือ “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” ในพระคัมภีร์พระธรรมใหม่ “นักบุญ” ได้แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และ ถือตามคำสอนของพระองค์ นักบุญเปาโล มักจะใช้คำๆนี้ในคำทักทายเริ่มต้นจดหมายของท่านเสมอ เช่นใน อฟ. 1:1 กล่าวว่า “จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซู ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ถึงบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความเชื่อในพระนามพระคริสตเยซู”
            ต่อมา ความหมายของคำนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่กลุ่มคริสตชนเริ่มเติบโตขึ้น เป็นเรื่องชัดเจนว่า คริสตชนบางคนดำเนินชีวิตมีคุณธรรมสูงส่ง ในขณะที่คริสตชนบางคนได้พยายามอย่างยิ่งยวดในการถือตามคำสอนของพระคริสตเจ้า บุคคลเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการมีระดับศีลธรรมในขั้นสูง และ เขาสามารถถือปฏิบัติในคุณธรรมความเชื่อ ความหวัง และ การแบ่งปันได้อย่างง่ายดาย
            คำว่า “นักบุญ” จึงค่อยๆมีความหมายถึงบุคคลเหล่านี้  ที่ได้รับการยกย่อง กราบไหว้ ภายหลังจากสิ้นชีวิตลงแล้ว ในฐานะเป็น “นักบุญ” ซึ่งความเคารพยกย่อง และ ความศรัทธานี้เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่อยู่ในพระศาสนจักรท้องถิ่นก่อน เพราะเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงขจรขจายในคุณงามความดี ต่อมาภายหลัง พระศาสนจักรคาทอลิก จึงได้กำหนดขั้นตอน และ หลักเกณฑ์ ที่เรียกว่า “พิธีสถาปนานักบุญ” ขึ้น เพื่อที่จะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้รับทราบ ว่าบุคคลที่น่าเคารพยกย่องเหล่านี้ เป็น “นักบุญ” เพื่อให้คริสตชนในทุกหนทุกแห่งได้ทราบ และ มีโอกาสจะได้แสดงความศรัทธาต่อท่านเหล่านั้นบ้าง
            ด้วยเหตุนี้ นักบุญส่วนใหญ่ที่เรารู้จัก ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาเพื่อสถาปนาเป็นนักบุญมาแล้วทั้งนั้น เช่นนักบุญ เทเรซา นักบุญ อันตน แต่ก็มีบ้างที่เป็นนักบุญโดยการยอมรับนับถือของคนทั่วไปในโลก ที่ถือว่าท่านเหล่านี้บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ขั้นนักบุญแล้ว เช่น นักบุญเปโตร นักบุญเปาโล
            เราคาทอลิกเชื่อว่า นักบุญทั้งสองประเภท ต่างก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องมีอัศจรรย์เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการสวดวอนขอผ่านทางท่านนักบุญองค์นั้นเป็นเรื่องราวประกอบ สำหรับการพิจารณาแต่งตั้งใครเป็นนักบุญสักองค์หนึ่ง
            การฉลองนักบุญทั้งหลาย เป็นการฉลองเพื่อให้เราคริสตชนที่ยังคลุกคลีอยู่กับชีวิตในโลกปัจจุบัน ได้เห็นแบบอย่างที่น่าสรรเสริญของเหล่านักบุญ และ ดำเนินชีวิตเลียนแบบอย่างของท่านนั่นเอง

คุณพ่อ สุพจน์
........................................................................................
เราเชื่ออะไร
มนุษย์ได้รับวิญญาณมาจากไหน

วิญญาณ คือสิ่งที่ทำให้บุคคลแต่ละคนมีความเป็นมนุษย์ คือเป็นชีวิตที่มีจิตวิญญาณ หรือชีวิตภายใน มนุษย์จึงเป็นสิ่งสร้างที่สามารถกล่าวถึงตัวเองว่า “ฉัน” ได้ ในฐานะเป็นบุคคลเพื่อจะไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แม้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งสร้างที่มีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ แต่จิตใจของมนุษย์นี้ก็มิได้เป็นเพียงกลไกหนึ่งของร่างกาย และไม่อาจอธิบายได้ว่าเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของร่างกายมนุษย์เท่านั้น สติปัญญาของเราบอกเราว่า เรามีส่วนของจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย โดยที่มิได้เหมือนร่างกาย ซึ่งเราเรียกส่วนนี้ว่า “วิญญาณ” แม้การมีอยู่ของวิญญาณนี้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม
วิญญาณนี้มิใช่เป็น “ผลผลิต” จากความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด หรือผลผลิตมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติแต่อย่างใด หากแต่เป็นพระเจ้าที่ทรงสร้างวิญญาณนี้ของมนุษย์เราแต่ละคนโดยตรง พระศาสนจักรกล่าวถึงความเร้นลับนี้โดยอธิบายว่า พระเจ้าประทานวิญญาณที่ไม่รู้จักตายให้แก่มนุษย์แต่ละคน แม้บุคคลผู้นั้นจะสูญเสียสิ่งที่เป็นร่างกายไปเพราะความตาย แต่เขาก็จะพบวิญญาณนั้นอีกเมื่อกลับคืนชีพอีกครั้ง การกล่าวว่า “ฉันมีวิญญาณ” จึงหมายความว่า ฉันมิใช่เป็นเพียงสิ่งสร้างหนึ่งของพระเจ้าเท่านั้น หากแต่พระองค์สร้างให้ฉันเป็นบุคคลที่จะมีความสัมพันธ์ไปกับพระองค์ตลอดกาล
สักวันหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า ร่างกายและวิญญาณของเราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์
“พระองค์ทรงเป็นในสิ่งที่เราเป็น เพื่อว่า พระองค์จะได้ทรงกระทำให้เราเป็น ในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น”
นักบุญ อาทานาซีอุส (295-373)

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้อธิบายเกี่ยวกับการสวดภาวนาเอาไว้น่าฟังว่า “กุญแจที่สามารถไขประตูไปสู่ความเชื่อได้คือ การภาวนา” พระองค์กล่าวเตือนว่า “คริสตชนที่ละทิ้งการภาวนา ก็ตั้งตนอยู่ในความเสี่ยงของการเป็นผู้ยโส หลงตนเอง ขาดความอ่อนน้อม มุ่งสนใจแต่ความต้องการส่วนตนเท่านั้น” พระองค์ยังกล่าวเน้นถึงการภาวนาว่า “สำหรับคริสตชนที่ฝึกปฏิบัติ ในการภาวนา เขาก็ไม่อยู่ห่างไกลจากความเชื่อ เพราะเขารู้จักสนทนากับพระเยซู” พระองค์เน้นว่า “การภาวนา ไม่ใช่การท่องบ่นบทภาวนา เพราะในสมัยของพระเยซู มีพวกคัมภีราจารย์มากมายที่ท่องบ่นบทภาวนาเยอะแยะ เพื่อให้คนอื่นเห็น” พระเยซูจึงสอนว่า “เมื่อท่านภาวนา จงเข้าไปในห้อง และภาวนาต่อพระบิดาในที่ลับ จากใจถึงใจ” ดังนั้น การภาวนา กับการท่องบ่นบทภาวนาจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
            พ่อคิดว่า คำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ให้ความกระจ่างกับเรามากมายทีเดียวในเรื่องนี้ ดังนั้นการภาวนาจึงเป็นวัตรปฏิบัติสำคัญที่ขาดเสียไม่ได้ของคริสตชนทุกคน หลายครั้งเราก็มักคิดว่า การภาวนาคือ การท่องบทสวดที่พระศาสนจักรเรียบเรียงขึ้นเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว บทภาวนาต่างๆเป็นเพียงแนวทางที่ช่วยให้ผู้ที่ยังไม่รู้จะเริ่มภาวนาอย่างไรได้เริ่มต้นก้าวแรกในการภาวนาต่างหาก ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การท่องบทสวดแต่ปาก แต่ใจล่องลอยไปตามความคิดในเรื่องต่างๆ ก็ยิ่งทำให้ห่างไกลไปจากเนื้อแท้แห่งการภาวนาที่แท้จริงออกไปอีก ซึ่งคนทั่วไปมักใช้คำว่า “วักแวก” มาสื่อถึง การภาวนาที่ปากกับใจไม่ตรงกันนี้ อย่างไรก็ดีตามที่พ่อได้กล่าวไว้ว่า การภาวนาต้องเป็นวัตรปฏิบัติของเราคริสตชนนั้น หมายความว่า เราต้องรู้จักหาเวลาสำหรับการภาวนาในชีวิตประจำวันนั่นเอง
            มาถึงตรงนี้พ่อก็ขอประชาสัมพันธ์กับพี่น้องว่า ในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน เราจะจัดให้มีการฝึกปฏิบัติ “จิตภาวนา” เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกจะสามารถฝึกฝนการภาวนาด้วยจิต เพื่อเข้าถึงความสงบ สมาธิ และ ค้นพบลมปราณของพระเจ้าในตัวเรา เป็นการภาวนาอีกรูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้เราภาวนาด้วยใจ มากกว่าที่จะภาวนาด้วยสมอง ใครที่ต้องการเข้ารับการฝึกอบรมครั้งนี้จะจัดขึ้นสำหรับ 30 ท่านเท่านั้น ผู้ใดสนใจจะเข้ารับการอบรมฝึกปฏิบัติ สามารถจองที่ด้วยการลงชื่อไว้ล่วงหน้าได้ ที่บริเวณทางเข้าออกวัดฝั่งประตูตู้ศีล โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ถ้ามีผู้สนใจจำนวนมาก ก็จะจัดเป็นรุ่นๆ ในโอกาสต่อไป กิจกรรมครั้งนี้ดำเนินการโดย สภาภิบาลวัดเซนต์หลุยส์ วิทยากรผู้อบรมคือ คุณอำนวยพร สิริวรนาค
คุณพ่อ สุพจน์
....................................................................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
สวรรค์คือสถานที่ใด

สวรรค์เป็นสถานที่พำนักของบรรดาทูตสวรรค์และผู้ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นจุดหมายปลายทางของสิ่งสร้าง สวรรค์มิใช่สถานที่แห่งหนึ่งในจักรวาล แต่เป็นสภาพของชีวิตหน้า สักวันหนึ่งด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า เราจะไปยังสวรรค์ และได้รับพระพรในอย่างที่ชีวิตเราไม่สามารถพบได้ในโลกนี้ “สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน และจิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์” (1 คร.2:9)

ทูตสวรรค์  เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้าที่มีสติปัญญาและเจตจำนง เพราะพวกเขาเป็นสิ่งสร้างที่เป็นจิต จึงไม่มีร่างกาย ไม่สามารถมองเห็นได้ และไม่รู้จักตาย ทูตสวรรค์ นอกจากจะเป็นผู้นำพระประสงค์ของพระเจ้ามาสู่มนุษย์แล้ว ยังมอบการปกปักรักษาของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ด้วย พวกเขาเหล่านี้เต็มไปด้วยไฟแห่งความรักที่จะคอยรับใช้พระเจ้าทั้งวันทั้งคืน ทูตสวรรค์สามารถปรากฎออกมา แล้วให้มนุษย์สามารถมองเห็นพวกเขาอย่างที่พวกเขาอยากให้เห็นได้ในบางครั้ง ในฐานะเป็นผู้ส่งสารจากพระเจ้า หรือผู้ชี้แนวทางดำเนินชีวิตให้แก่เรา

นักบุญบาซิล ปิตาจารย์ของพระศาสนจักรสอนว่า “ข้างกายของผู้มีความเชื่อ มีทูตสวรรค์อยู่เคียงข้าง เป็นผู้พิทักษ์ และอภิบาลเพื่อนำทางผู้นั้นไปสู่ชีวิตนิรันดร” มนุษย์ทุกคนจึงมีอารักขเทวดาที่พระเจ้าประทานให้ จึงเป็นสิ่งดี และสมควรที่จะสวดภาวนาขอความคุ้มครองดูแลจากพวกท่านเพื่อตัวเรา และสำหรับผู้อื่นเสมอ
“ก้าวเดินบนแผ่นดิน แต่ใจถวิลสู่สวรรค์”
นักบุญ ยอห์น บอสโก (1815-1888)

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2013

พี่น้องที่รัก
วันอาทิตย์นี้เป็นวันแพร่ธรรมสากล สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงมอบสารวันอาทิตย์แพร่ธรรมสากลไว้ให้กับเรา โดยทรงเน้นย้ำว่าการเผยแพร่ความเชื่อเป็นหน้าที่ที่จำเป็น ที่คริสตชนทุกคนต้องกระทำสังคายนาวาติกันที่สองได้เน้นถึงลักษณะพิเศษของงานธรรมทูตว่าการขยายขอบเขตของความเชื่อเป็นของทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเป็นของชุมชนคริสตชนทุกแห่ง พระองค์ยังทรงกล่าวอีกว่าบ่อยครั้งที่งานการประกาศข่าวดีมักจะพบกับอุปสรรคต่างๆไม่เพียงแต่อุปสรรคภายนอกเท่านั้นแต่จากภายในชุมชนพระศาสนจักรเองด้วย”  “บางครั้งขาดความร้อนรน ความยินดี ความกล้าและความหวังในการประกาศสารของพระคริสตเจ้าให้กับทุกคนและในการให้ความช่วยเหลือกับผู้คนในสมัยของเราให้ได้พบปะกับพระองค์พระองค์ทรงให้ความหนักแน่นกับความต้องการพลังในงานแพร่ธรรม อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงยืนยันว่าการประกาศข่าวดีไม่ควรใช้แรงกดดันหรือการบังคับ การประกาศข่าวดีเป็นงานของพระศาสนจักรที่ต้องอาศัยความร่วมมือกัน สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสอีกว่าการประกาศข่าวดีไม่ใช่กิจการที่โดดเดี่ยวของแต่ละบุคคลหรือส่วนบุคคล  แต่เป็นของพระศาสนจักรเสมอ สารของสมเด็จพระสันตะปาปายังได้ให้คำอธิบายอย่างง่ายๆถึงความต้องการในการประกาศข่าวดีขึ้นใหม่ว่ามากยิ่งกว่านั้นอีกในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เป็นภูมิภาคของธรรมประเพณีคริสตชนจำนวนของคนแปลกหน้าทางความเชื่อหรือผู้ไม่แยแสในมิติทางศาสนาหรือความเคลื่อนไหวของผู้มีความเชื่ออื่นๆมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นบ่อยครั้งที่ผู้ได้รับศีลล้างบาปแล้วเลือกวิถีการดำเนินชีวิตที่นำพวกเขาให้ออกห่างจากความเชื่อจึงทำให้พวกเขาต้องการ การประกาศข่าวดีขึ้นใหม่
ในขณะที่ การประกาศข่าวดีขึ้นใหม่ นั้นดำเนินไปในพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งมีคาทอลิกอยู่เป็นจำนวนมากสมเด็จพระสันตะปาปาทรงเตือนเราอีกด้วยว่ายังมีส่วนต่างๆอีกมากมายในโลก ที่ยังไม่เคยได้ยินสารของข่าวดีของพระเจ้า พวกเขาก็เช่นเดียวกันที่ต้องการการประกาศข่าวดีเช่นเดียวกับพระศาสนจักรที่ยังเยาว์ที่ซึ่งความเชื่อพึ่งจะหยั่งรากลงไปไม่นานนัก สมเด็จพระสันตะปาปายังทรงให้ข้อสังเกตในหลายๆกรณีว่าพระศาสนจักรที่ยังเยาว์เหล่านี้ก็ต้องมีส่วนร่วมอย่างไม่เห็นแก่ตัวในการส่งธรรมทูตไปยังพระศาสนจักรที่อยู่ในความยากลำบากซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนักกับพระศาสนจักรที่เป็นคริสตชนดั้งเดิม... และให้นำความสดใหม่และความกระตือรือร้นไปสู่ชีวิตความเชื่อของพวกเขาก่อนจบสารวันอาทิตย์แพร่ธรรมสากลสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ทรงนำเราให้มุ่งความสนใจไปยังบรรดาพี่น้องคริสตชนผู้มีชีวิตอยู่ในสังคมที่ถูกจำกัดในเรื่องของเสรีภาพในการนับถือศาสนาและบ่อยครั้งต้องได้รับความทุกข์ยากเพราะความเชื่อของพวกเขาพวกเขาเป็นพี่น้องชาย-หญิงของเราเป็นประจักษ์พยานที่กล้าหาญ... แม้กระทั่งมีมรณสักขีมากขึ้นกว่าในศตวรรษแรกๆ... เป็นผู้ที่อดทนในการทำงานแพร่ธรรมกับรูปแบบต่างๆของการถูกเบียดเบียนในปัจจุบัน
ประโยคสำคัญจากสารวันอาทิตย์แพร่ธรรมสากล 2013         
 • “ความเชื่อเป็นพระพรอันประเสริฐของพระเจ้าซึ่งเปิดจิตใจของเราให้รู้จักและรักพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเข้าสู่ความสัมพันธ์กับเราและทรงยอมให้เรามีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์เพื่อที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความหมายมากขึ้น ดีขึ้นและงดงามมากขึ้นพระเจ้าทรงรักเรา”         
 • “ความเชื่อเป็นพระพรที่ไม่ได้สงวนไว้สำหรับคนไม่กี่คนแต่ต้องมอบออกไปด้วยความใจกว้าง ทุกคนควรได้รับประสบการณ์ของความชื่นชมยินดีในการได้รับความรักจากพระเจ้า ความชื่นชมยินดีแห่งการช่วยให้รอดพ้น ความเชื่อเป็นพระพรที่ไม่มีผู้ใดสามารถเก็บไว้สำหรับตนเองแต่เพียงผู้เดียวแต่ต้องได้รับการแบ่งปันออกไป”          
• “จำเป็นที่จะต้องประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้าด้วยความกล้าหาญในความเป็นจริงทั้งหมด ซึ่งเป็นสารแห่งความหวัง การคืนดีความเป็นหนึ่งเดียวกันและการประกาศความใกล้ชิดของพระเจ้า ของพระเมตตาของพระองค์ และการช่วยให้รอดพ้นของพระองค์ประกาศว่าอำนาจความรักของพระเจ้าสามารถเอาชนะความมืดของความชั่วร้าย และนำเราไปสู่หนทางแห่งคุณความดี มนุษยชาติในสมัยของเรามีความต้องการความสว่างที่เชื่อถือได้เพื่อส่องสว่างหนทางแห่งความเชื่อ และเฉพาะในการพบปะกับพระคริสตเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้ได้ ให้เรานำไปให้โลกโดยผ่านทางการเป็นประจักษ์พยานของเราด้วยความรักความเชื่อที่ให้ความหวัง

คุณพ่อ สุพจน์
..............................................................................................
เราเชื่ออะไร
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาทำไม

มนุษย์ แตกต่างจากสิ่งสร้างอื่นๆ ที่มีชีวิตทั้งหมด เพราะมนุษย์เป็นบุคคลที่มีจิตวิญญาณ คุณลักษณะนี้ทำให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มากกว่าสิ่งสร้างอื่นๆ ที่มองเห็นได้ มนุษย์สามารถมองมนุษย์ด้วยกันว่าเป็นบุคคล เช่นเดียวกับที่มองว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบุคคล ด้วยเหตุนี้ ในบรรดาสิ่งสร้างที่มองเห็นได้ จึงมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถรู้จัก และรักพระผู้สร้างของตนได้
พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งมาก็เพื่อมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อได้รับการอวยพร และให้ได้รับความรักของพระองค์ และเจริญชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ ดังนั้น จุดมุ่งหมายของมนุษย์คือ การดำเนินชีวิตอยู่ในมิตรภาพกับพระองค์ กตัญญูรู้คุณต่อพระผู้สร้างของตน ยอมเป็นเครื่องมือแห่งความรักของพระเจ้า
ตลอดชีวิตของคุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา ท่านพยายามคิดในแนวทางนี้คือ “ฉันเป็นเพียงดินสอแท่งเล็กๆ ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์อาจจะเหลาดินสอแท่งนี้ เพื่อจะใช้เขียนหรือวาดสิ่งใดก็ได้ในเวลาที่พระองค์ปรารถนา หากผลงานการเขียน หรือวาดรูปออกมาดูดี เราไม่ได้ยกย่องดินสอหรือวัสดุที่ใช้ แต่ยกย่องชื่นชมผู้ที่ใช้มัน”  
“พระเจ้าผู้สร้างท่าน ย่อมทรงทราบว่า พระองค์ทรงต้องการทำสิ่งใดกับตัวท่าน”

                                             นักบุญออกัสติน (354-430)

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2013


พี่น้องที่รัก
            สัปดาห์ที่ผ่านมา วัดของเรามีโอกาสได้ต้อนรับวงดนตรี International Mosel Valley Concert Band จากประเทศเยอรมันนี ที่เดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองไทย และ ถือโอกาสนี้แสดงดนตรีหลายแห่ง วัดเซนต์หลุยส์ของเราก็ได้รับเกียรติให้เป็นสถานที่หนึ่งในการบรรเลงเพลงประกอบพิธีมิสซาด้วย นักดนตรีคณะนี้เป็นการรวมตัวของผู้มีความสนใจในทางดนตรีประเภทเครื่องเป่า ประมาณ 40 คน ร่วมฝึกซ้อมบรรเลงเพลงกันมานานพอสมควรแล้ว และมีโอกาสแสดงดนตรีในโอกาสสำคัญๆหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มายังประเทศไทย พวกเขาถือโอกาสนี้มาเยี่ยมเยียนสถานที่สวยงามของประเทศไทย และ มาเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทยด้วย พี่น้องหลายท่านที่ได้มาร่วมพิธีมิสซาในรอบเที่ยงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คงได้รับความประทับใจจากความไพเราะของดนตรีที่ช่วยส่งเสริมให้พิธีกรรมเกิดความสง่างาม และ ช่วยยกจิตใจของเราขึ้นหาพระเจ้าได้โดยง่ายอีกด้วย หลายคนมาบอกกับพ่อว่า น่าจะมีบ่อยๆนะ พ่อก็คิดอย่างนั้นถ้ามีโอกาสอีก วัดเซนต์หลุยส์ของเราก็ยินดีครับ ถัดมาอีกสองสามวันคือวันพุธ พ่อได้ไปร่วมพิธีมิสซาในโอกาสครบรอบ 17 ปี ของการก่อตั้งกลุ่ม ธิดาศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้ที่มีจิตศรัทธาต่อศีลมหาสนิท และ พระนางมารีย์ มาร่วมกันประกอบกิจศรัทธาเช่นนี้สัปดาห์ละครั้งที่วัดพระจิต ในพิธีมิสซาครั้งนี้ และ คิดว่าทุกๆครั้ง เพลงที่ใช้ร้องประกอบในพิธีกรรมทั้งหมดเป็นเพลงละติน รวมถึงพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีก็ขับร้องบทภาวนาก่อนบทเสกศีลเป็นภาษาละตินอีกด้วย เรียกว่าเป็นมิสซาที่มีกลิ่นอายของพิธีกรรมดั้งเดิมของพระศาสนจักรตั้งแต่ก่อนสมัยสังคายนาวาติกันครั้งที่สองโน่นทีเดียว ผู้มีจิตศรัทธาจากวัดต่างๆมาร่วมพิธีกันคับคั่งเลยครับ พ่อได้ข้อคิดว่า ในพระศาสนจักรคาทอลิกนั้นแม้จะมีความแตกต่างในกิจกรรมที่หลากหลาย แต่ความเป็นพระศาสนจักรสากลที่ยึดมั่นในความเชื่อเดียวกันนั้นทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ อย่างคำภาษาละตินที่ว่า Utunumsint ซึ่งมีความหมายว่า “เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน” นั่นเอง เหตุการณ์ที่พ่อกล่าวมานี้ ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญอีกหน้าหนึ่งของวัดเซนต์หลุยส์ของเราครับ

คุณพ่อ สุพจน์
......................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ใครสร้างโลก

โลกมิได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ หรือเป็นผลที่มาจากพลังที่ไร้จุดมุ่งหมายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเข้าใจ หากมีพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ผู้ซึ่งอยู่เหนือกาลเวลาและสถานที่ ได้ทรงสร้างโลกและจักรวาลขึ้นมาจากความว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่จึงขึ้นอยู่กับพระองค์ และคงเป็นอยู่แบบนี้ตลอดไป อาจกล่าวได้อีกว่า การสร้างโลก ตลอดจนระบบต่างๆ ตามธรรมชาติ ล้วนเป็นผลงานร่วมกันของพระเจ้าพระตรีเอกภาพ “ทุกสิ่งถูกเนรมิตขึ้นโดยพระองค์ และเพื่อพระองค์” (คส.1:16)

ภาพสัญลักษณ์การทำงานหกวันต่อสัปดาห์ สามารถโยงไปถึงหลักการสำคัญคือ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเอง โดยที่พระผู้สร้างมิได้ทรงกำหนด และทุกสิ่งสร้างนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดี และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งหมด การพักผ่อนจากการทำงานของพระเจ้า ชี้ให้เห็นถึงความเสร็จสมบูรณ์ของสิ่งสร้าง และที่สำคัญที่สุด ไม่มีเหตุผลใดในการสร้างโลกนอกจากความรัก และพระเกียรติมงคลของพระเจ้าจะได้ปรากฏอยู่ในสิ่งสร้าง
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีภาพลักษณ์ของพระองค์  ให้มนุษย์มีความโดดเด่นอย่างชัดเจนจากสิ่งสร้างอื่นๆ ที่มีชีวิต ให้มีความเข้าใจ และเจตจำนงที่จะตัดสินใจเลือกทำ หรือไม่เลือกทำอะไร  มนุษย์จึงถือได้ว่าเป็นดังจุดสูงสุดของการสร้าง ที่ควรให้เกียรติพระผู้สร้างในการปฏิบัติต่อสิ่งสร้างอื่นๆ อย่างใส่ใจ และรับผิดชอบ คอยร่วมมือกับพระผู้สร้างในอันที่จะทำให้สิ่งสร้างทั้งหมดไปสู่ความสมบูรณ์
 “พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า คือ มนุษย์ที่มีชีวิต และมากยิ่งกว่านั้น ชีวิตมนุษย์ คือ การได้แลเห็นพระเจ้า”
นักบุญ อิเรเนอุส แห่งลีออง (135-202)

    




วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2013


พี่น้องที่รัก
            สัปดาห์ที่แล้ว มีพี่น้องสัตบุรุษคนหนึ่งแสดงความรู้สึกกับพ่อว่า เขารู้สึกมีความอิ่มเอิบใจในเวลาที่มาร่วมพิธีมิสซาที่วัดแห่งนี้ เพราะบรรยากาศของพิธีกรรม และ ผู้มาร่วมพิธีกรรม รวมไปถึงการขับร้องบทเพลงประกอบพิธีกรรม ช่วยให้เขาสามารถยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้าได้ ทำให้การมาร่วมพิธีมิสซาในวันอาทิตย์นั้นสำหรับเขาเป็นวันของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ความจริงความรู้สึกเช่นนี้คงเกิดขึ้นกับพี่น้องสัตบุรุษหลายๆคน เพราะพิธีกรรมคือการแสดงออกซึ่งความเชื่อความศรัทธาของเราคริสตชนนั่นเอง แต่พ่อเองก็เชื่อว่ายังมีพี่น้องอีกหลายคนเช่นกัน ยังไม่เข้าถึงความรู้สึกอิ่มเอิบใจเช่นนี้ในขณะมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในวันอาทิตย์ เพราะอาจมีปัจจัยหลายอย่างที่ยังไม่เอื้ออำนวยให้เป็นเช่นนั้น วันนี้พ่อขอกล่าวถึงปัจจัยบางอย่างที่อาจทำให้เรายังไม่เข้าถึงความสงบ ความอิ่มเอิบใจ ในพิธีบูชาขอบพระคุณ นั่นคือ ประการแรก ความเร่งรีบ พ่อหมายถึง ความเร่งรีบที่มักเกิดขึ้นเสมอในชีวิตของเราในทุกเรื่อง เพราะเรามีโปรแกรมมากมายที่จะต้องทำในแต่ละวัน แต่บางครั้งความล่าช้าอันเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ ก็ยิ่งทำให้เราต้องเร่งรีบมากขึ้น และหลายครั้งรีบแล้วก็ยังไม่ทันการณ์ จึงทำให้เกิดความยุ่งเหยิง สับสน วุ่นวายด้วย แล้วใจของเราก็ขาดความสงบ เพราะมีโปรแกรมอื่นๆรอคอยเราอยู่อีก พ่อขอเสนอว่า ให้เราพยายามจัดเวลาสำหรับการเตรียมตัวมาวัด การเดินทางจากบ้านมาที่วัดให้เพียงพอ เพื่อเราจะมีเวลาพอสมควรที่จะสงบจิตสงบใจ ก่อนพิธีจะเริ่ม ประการที่สอง ที่พ่อสังเกตนั่นคือ หลายคนมาวัดแต่ตัว แต่ใจอยู่นอกวัด หรือซ้ำร้ายกว่านั้น นอกจากตัวไม่ได้อยู่ในวัดแล้ว ใจก็ยังอยู่ห่างออกไปจากวัดอีกด้วย เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นวัตถุที่แย่งสมาธิของผู้คนไปเสียจากความสงบในการสวดภาวนา จนกล่าวได้ว่า โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางที่ปีศาจคอยล่อลวงเราให้เสียสมาธิไปจากการฟังพระวาจาของพระเจ้า และ การสวดภาวนา มีคำกล่าวว่าผู้คนสมัยนี้อยู่ในวัฒนธรรมก้มหน้า นั่นคือมัวแต่ก้มหน้ามองหน้าจอมือถือนั่นเอง พ่อคิดว่าเมื่อเราตั้งใจมาวัดร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณพระเจ้าในวันอาทิตย์แล้ว ถ้าเราจะวางตัวของเราให้พ้นจากอุปสรรคต่างๆที่มาแย่งเวลาของเราไปจากพระเจ้าได้ ก็เท่ากับว่าเราเตรียมพร้อมที่จะสัมผัสความอิ่มเอิบใจ และ ความสุขสงบที่จิตวิญญาณของเราปรารถนาจะได้รับจากการมาร่วมพิธีในวันอาทิตย์ ซึ่งพระเจ้าจะประทานให้กับเราทุกคนอย่างแน่นอน
คุณพ่อ สุพจน์
....................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมเราจึงเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว

เราเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว เพราะตามหลักฐานในพระคัมภีร์ มีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น “เราคือพระเจ้า และไม่มีพระอื่นใดนอกจากเรา” (อสย.45:22) และตามกฎของตรรกวิทยา หากว่ามีพระเจ้าสององค์ พระเจ้าองค์หนึ่งย่อมจะกลายเป็นข้อจำกัดของพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง กลายเป็นว่าไม่มีพระเจ้าองค์ใดที่ไร้ขอบเขต และสมบูรณ์สูงสุด ดังนั้น หากมีพระเจ้าสององค์จึงย่อมไม่อาจเรียกว่าพระเจ้าได้
พระเจ้าไม่ได้ทรงต้องการให้เป็นที่ยำเกรงในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง หากแต่ทรงต้องการให้มนุษย์รู้จักพระองค์ และได้รับเรียกเหมือนบุคคลที่เป็นอยู่จริง พระองค์ทรงเผยแสดงพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้แก่โมเสส เพียงเพื่อให้ประชากรของพระองค์สามารถพูดกับพระองค์ได้  การที่คริสตชนเชื่อในเรื่องพระตรีเอกภาพ ไม่ได้หมายความว่าคริสตชนนมัสการพระเจ้าสามพระองค์ที่แตกต่างกัน หากแต่เป็นพระเจ้าพระองค์เดียวที่มีสามพระบุคคลเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่เรารู้ว่าพระเจ้ามิได้ทรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะพระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์ว่า “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน.10:30)
 เฉพาะผู้ที่มีความไว้ใจในพระองค์ จึงจะสามารถค้นพบพระองค์ และมีประสบการณ์ถึงพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นความจริง และความจริงก็คือพระองค์ ดังที่พระเยซูเจ้ากล่าวว่า “เรามาในโลกนี้ เพื่อเป็นพยานถึงความจริง” (ยน.18:37)
สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ การรู้จักพระเจ้านั้นหมายถึง การรู้ว่าพระองค์ทรงสร้างเรามา เอาพระทัยใส่เราด้วยความรักทุกขณะ ยังคอยประทานพระพรให้กับชีวิตของเรา และทรงปรารถนาให้เราได้พำนักอยู่กับพระองค์ตลอดไป ดังนั้น คนที่ได้รู้จักพระเจ้าของตนแล้ว ก็ต้องให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งในชีวิตของตนด้วย 
“หลังจากที่ข้าพเจ้าค้นพบว่ามีพระเจ้า จึงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าพเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว”
         บุญราศีชาร์ล เดอ ฟูโกด์ (1858-1916)