สวัสดีครับพี่น้องทุกท่าน
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของปีพิธีกรรม
เราสมโภชพระคริสตเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
วันนี้เป็นวันที่เราจะภาวนาเป็นพิเศษเพื่อพระกระแสเรียก
โดยเฉพาะกระแสเรียกในการเป็น พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง
เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวเกี่ยวกับนโยบายใหม่ของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
ที่อนุญาตให้ครอบครัวชาวจีนสามารถมีลูกได้ ครอบครัวละ 2 คนแล้ว ตามที่เราพอทราบกันมาแต่นานแล้วว่า
ประเทศจีนมีจำนวนประชากรเยอะที่สุดในโลกถึงประมาณ 1200 ล้านคน
ผู้ปกครองประเทศจีนเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน กลัวว่าชาวจีนจะมีจำนวนประชากรมากเกินไป
จึงพยายามหาทางควบคุมประชากรเอาไว้ด้วยการออกนโยบายให้ครอบครัวแต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียงครอบครัวละ
1 คน
นโยบายนี้มีข้อดีในแง่ที่ว่าสามารถควบคุมอัตราการเจริญเติบโตของจำนวนประชากรชาวจีนไว้ให้อยู่ภายในขีดจำกัดได้
แต่ตอนนี้ผู้ปกครองประเทศจีนเริ่มมองเห็นแล้วว่า
ในอนาคตประเทศจีนซึ่งกำลังมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดของโลกในขณะนี้
อาจจะตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนแรงงานในอนาคตได้
จึงเปลี่ยนนโยบายเรื่องการมีบุตรเพื่อให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอนาคต
ที่พ่อนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อจะนำมาบอกเล่ากับพี่น้อง
เพื่อจูงเข้าสู่เรื่องของกระแสเรียกของการสมัครใจเข้ามาเป็นพระสงฆ์ นักบวชชาย หญิง
เราทั้งหลายคงไม่ปฏิเสธว่า พระสงฆ์
มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในพระศาสนจักร เพราะมีหน้าที่โดยตรงในการเทศน์สอน
โปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ ถวายบูชาขอบพระคุณ อีกทั้งมีบทบาทในการสืบสาน คำสอน
ธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร ส่วนนักบวชชาย หญิง ก็มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับพระศาสนจักร
ในการเจริญชีวิตด้วยความรักในหมู่คณะอันเป็นคำสอนประการสำคัญของพระเยซูเจ้า และ
เป็นผู้ประกอบภารกิจแห่งความรักที่แต่ละคณะมีจิตตารมณ์เฉพาะของตัวเอง
ในการเผยแผ่ข่าวดีและเสริมสร้างอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกอย่างเป็นรูปธรรม
แนวโน้มที่น่าเป็นห่วงก็คือ จำนวนของผู้สมัครใจตอบรับกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์นักบวชในปัจจุบันมีน้อยลงอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคงมีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ แต่สิ่งที่พ่ออยากสื่อความกับพี่น้องในวันนี้ก็คือ
ถ้าเราปล่อยให้แนวโน้มนี้เป็นอย่างนี้เรื่อยไปใครจะไปรู้ว่า
อีกหน่อยพระศาสนจักรในประเทศไทยของเราคงต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนพระสงฆ์ นักบวช
เข้าสักวันก็ได้ ดังนั้นให้เราพยายามอย่างยิ่งในการสนับสนุนด้วยวิธีการต่างๆเพื่อให้มีเยาวชนหญิงชายตัดสินใจตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้าเพื่อดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระองค์
ด้วยการอุทิศตนมาเป็นพระสงฆ์ นักบวช เพื่อพระศาสนจักรจะมีผู้สืบทอดภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้ต่อไปในอนาคต "ข้าวที่จะเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยจงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”
คุณพ่อ สุพจน์
เราเชื่ออะไร
ทำไมจึงเรียกพระวรสารว่า “ข่าวดี”
มนุษย์เราทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ่อนแอ
และหลงผิดอย่างง่ายดาย แต่พระเจ้ามิได้พอพระทัยเฝ้าดูมนุษย์ค่อย ๆ ทำลายตนเอง
และโลกรอบตัวเขา อันเนื่องมาจากปฏิกริยาลูกโซ่ของบาป
พระองค์ได้ทรงส่งพระเยซูเจ้ามาช่วยเรามนุษย์
ช่วงชิงเราออกจากอำนาจของบาปและความตาย ดังนั้น แม้ว่าผลของบาปคือความตาย
แต่ก็ทำให้มีผลอีกประการหนึ่งของบาป คือการที่พระเจ้าได้เสด็จลงมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรามนุษย์ด้วย
บาปกำเนิดนี้จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น Felix culpa
(ความผิดที่โชคดี)
พระวรสาร
หรือการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต การสิ้นพระชนม์
และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า จึงถือเป็นข่าวดีที่สุดในโลก
ถ้าไม่มีพระวรสาร เราก็จะไม่ทราบได้เลยว่าพระเจ้านั้นรักมนุษย์มาก
ถึงขนาดทรงส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ลงมา
เพื่อให้มนุษย์รู้ความจริงที่สมบูรณ์ และได้รับความรอดพ้น พระนาม “เยซู”
นี้ในหนังสือกิจการอัครสาวกยังกล่าวไว้ด้วยว่า “ใต้ฟ้านี้
พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์ นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้” (กจ 4: 12)
นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดของข่าวสารที่บรรดาธรรมทูตนำไปให้แก่ปวงชน นอกจากนี้ภาษากรีกคำว่า
“Christos” และภาษาฮีบรู คำว่า “Messiah” ทั้งสองคำนี้มีความหมายว่า “ผู้ได้รับเจิม”
ซึ่งในประเทศอิสราเอลผู้ที่จะได้รับการเจิมคือ กษัตริย์ พระสงฆ์ และประกาศก
บรรดาอัครสาวกได้เรียนรู้ว่า พระเยซูเจ้าทรงได้รับการเจิมด้วยพระจิต
พระองค์ทรงเป็นมากกว่ามนุษย์คนหนึ่ง
และอยู่ในความสัมพันธ์หนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดาของพระองค์ เหตุนี้
บรรดาคริสตชนในสมัยแรกจึงเชื่อ และพูดถึงพระเยซูของพวกเขาว่าเป็น “องค์พระเจ้า”
และพวกเขาจะไม่ยอมย่อเข่าลงต่ออำนาจอื่นใดอีกต่อไป
“เมื่อพระหัตถ์ของพระคริสตเจ้าถูกตะปูตรึงอยู่บนกางเขน
พระองค์ก็ทรงตอกตรึงบาปของเราไว้บนกางเขนนั้นด้วย”
นักบุญ เบอร์นาร์ด
แห่งแคลร์โวซ์ (1090-1153)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น