วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            เดือนธันวาคมนี้มีวันสำคัญหลายวันที่พระศาสนจักรเตือนใจเราให้รำลึกถึงครับ นอกเหนือจากการตระเตรียมฉลองคริสต์มาสกันแล้ว วันวันนี้พ่ออยากนำเสนอให้พี่น้องได้รำลึกถึง บรรดาผู้ทำหน้าที่สอนคำสอนอีกด้วย เพราะนอกเหนือจากพระสงฆ์ และ นักบวชชายหญิง จะเป็นผู้สอนคำสอนของพระเจ้าโดยตรงแล้ว ยังมีบรรดาครูสอนคำสอนที่เป็นคริสตชนฆราวาส ซึ่งมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการสอนคำสอนในท้องที่ต่างๆอีกด้วย พ่ออยากย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.. 2532 หรือ ปี ค.. 1989 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงประกาศแต่งตั้ง บุญราศีทั้ง 7 แห่งประเทศไทย และ ในจำนวนนั้น มีบุญราศีท่านหนึ่งมีนามว่า ฟีลิป สีฟอง อ่อนพิทักษ์ ซึ่งเป็นครูสอนคำสอน ได้ถวายชีวิตของท่านถึงแก่ความตาย เป็นพยานยืนยันถึงองค์พระคริสตเจ้า พระศาสนจักรไทย จึงกำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคมเป็นวันครูคำสอนไทยอีกด้วย
            อย่างที่พ่อเคยกล่าวไปแล้วว่า เราคริสตชนทุกคนได้รับการเรียกให้ประกาศพระนามของพระเจ้า ทั้งโดยทางตรง และ โดยทางอ้อม การสอนคำสอนให้กับผู้อื่นจึงถือได้ว่าเป็นการตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้าได้อย่างดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราพบว่ามีน้อยคนนักที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ถ้ามีคนที่ไม่มีความรู้ทางศาสนาคริสต์มาถามเราให้ช่วยอธิบาย หลักธรรม ข้อคำสอน และ วิถีปฏิบัติ ของชาวคริสต์ให้กับเขาได้ฟัง เพื่อช่วยเขาให้สามารถมองเห็นถึงแก่นแท้ของศาสนาคริสต์ที่เขาปรารถนาอยากจะเรียนรู้ และ ถ้าเป็นไปได้เขาเองก็อยากทราบเช่นกันว่า ศาสนาคริสต์เมื่อมีคนสมัครใจเข้ามานับถือแล้วเขาจะพบกับสันติสุขได้อย่างไร เราคงเหนียมอายไม่กล้าตอบ หรือ ถ้าจะตอบก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราจะพูดออกไปนั้นมันถูกต้องเป็นจริงแค่ไหน เพราะเราคริสตชนแม้จะได้เรียนคำสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ไม่ได้รับการศึกษาอบรม ฝึกฝนมาโดยตรงเพื่อจะสอนคำสอนแบบจริงจังในบทบาทและฐานะเยี่ยงครูคำสอน ตรงนี้เองที่พ่ออยากให้พี่น้องได้มองเห็นถึงความสำคัญประการหนึ่งว่า ครูคำสอนเป็นบุคคลากรที่ทรงคุณค่าของพระศาสนจักร เพราะครูคำสอนคือผู้ประกาศสอนถึงความเชื่อในพระเจ้าโดยตรงให้กับบุคคลที่สนใจจะเรียนรู้และเข้าถึงหลักธรรมของศาสนาคาทอลิกของเรา
            การให้การศึกษาอบรม เพื่อจะสร้างครูคำสอนจึงเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะครูคำสอนเป็นผู้ช่วยพระสงฆ์อย่างดีที่สุดในการสอนคำสอน ให้กับเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเขตมิสซังที่มีพื้นที่ยากลำบากแก่การเข้าถึง และ ขาดแคลนพระสงฆ์ ครูคำสอนเป็นประดุจกองกำลังแนวหน้าที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าเข้าถึงหัวใจของผู้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า
            วันนี้พ่อจึงเชิญชวนให้พี่น้องภาวนาเป็นพิเศษเพื่อครูคำสอนทุกๆคน และ เพื่อให้เป้าหมายของพระศาสนจักรในการสร้างครูคำสอนที่ทำงานเต็มเวลาในด้านการสอนคำสอนนี้ประสบความสำเร็จ เพราะพระศาสนจักรคงจะไม่สามารถทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงได้โดยเร็วถ้าปราศจากครูคำสอน พ่อขอเชิญชวนพี่น้องโปรดร่วมใจกันบริจาคเพื่อส่งเสริมให้งานด้านการสร้างครูคำสอนที่กำลังดำเนินอยู่ สามารถสร้างผลิตผลที่ได้ครูคำสอนที่มีประสิทธิภาพที่พร้อมสมบูรณ์ทุกด้านในการออกมาเป็นผู้เปิดพื้นที่แห่งความรักของพระเจ้าในหัวใจของผู้คนอีกมากมายที่โหยหาความรักจากพระองค์


คุณพ่อ สุพจน์
.........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเยซูเจ้าจึงทรงกระทำอัศจรรย์

อัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าไม่ใช่การแสดงอำนาจของพระองค์ด้วยการแสดงมายากล หากแต่พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระอานุภาพแห่งการเยียวยารักษา อาศัยความรักและพระเมตตาจากพระเจ้า  และโดยทางการอัศจรรย์นี้ พระองค์ก็ได้ทรงแสดงว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่มนุษย์เฝ้ารอคอย  ซึ่งบัดนี้พระอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้เริ่มขึ้นแล้วในพระองค์ พระอาณาจักรที่ผู้คนจะเป็นอิสระจากความหิวโหย จากความอยุติธรรม ความเจ็บป่วย ความตาย และด้วยอาศัยการขับไล่ปีศาจ พระองค์ได้ทรงแสดงชัยชนะที่จะมีเหนือซาตาน เจ้านายแห่งโลกนี้ด้วย
เนื่องจากชาวยิวที่ปาเลสไตน์ในสมัยของพระเยซูเจ้าคิดว่า โรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดเป็นผลมาจากอำนาจของปีศาจ และเป็นผลของบาป ดังนั้น การที่พระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปีศาจ และทรงรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ก็ย่อมแสดงว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงแล้ว เพราะเท่ากับอำนาจชั่วร้ายที่ครอบงำมนุษย์ได้ถูกทำลายลงแล้ว อันเป็นการยืนยันคำเทศน์สอนของพระองค์ที่ว่า “ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงท่านแล้ว” (มธ 12 : 28)
อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้ามิได้ทรงนำเอาความทุกข์ และความชั่วร้ายทั้งหมดออกไปจากโลกนี้ หากสิ่งที่พระองค์มุ่งมั่นประการแรกคือ การช่วยให้มนุษย์พ้นจากการเป็นทาสของบาป รวมทั้งการมีความไว้วางใจในพระองค์ และนั่นก็คือ “ความเชื่อ” ซึ่งพระองค์ทรงเรียกร้องแทบทุกครั้งเมื่อพระองค์ทรงทำอัศจรรย์
“อัศจรรย์มิได้เกิดขึ้นขัดกับธรรมชาติ แต่ขัดกับความรู้ของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ”
 นักบุญออกัสติน (354-430)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น