พี่น้องที่รัก
เดือนธันวาคมนี้มีวันสำคัญหลายวันที่พระศาสนจักรเตือนใจเราให้รำลึกถึงครับ
นอกเหนือจากการตระเตรียมฉลองคริสต์มาสกันแล้ว
วันวันนี้พ่ออยากนำเสนอให้พี่น้องได้รำลึกถึง บรรดาผู้ทำหน้าที่สอนคำสอนอีกด้วย
เพราะนอกเหนือจากพระสงฆ์ และ นักบวชชายหญิง จะเป็นผู้สอนคำสอนของพระเจ้าโดยตรงแล้ว
ยังมีบรรดาครูสอนคำสอนที่เป็นคริสตชนฆราวาส
ซึ่งมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการสอนคำสอนในท้องที่ต่างๆอีกด้วย
พ่ออยากย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2532 หรือ ปี ค.ศ.
1989 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงประกาศแต่งตั้ง
บุญราศีทั้ง 7 แห่งประเทศไทย และ ในจำนวนนั้น มีบุญราศีท่านหนึ่งมีนามว่า
ฟีลิป สีฟอง อ่อนพิทักษ์ ซึ่งเป็นครูสอนคำสอน ได้ถวายชีวิตของท่านถึงแก่ความตาย
เป็นพยานยืนยันถึงองค์พระคริสตเจ้า พระศาสนจักรไทย จึงกำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคมเป็นวันครูคำสอนไทยอีกด้วย
อย่างที่พ่อเคยกล่าวไปแล้วว่า
เราคริสตชนทุกคนได้รับการเรียกให้ประกาศพระนามของพระเจ้า ทั้งโดยทางตรง และ
โดยทางอ้อม
การสอนคำสอนให้กับผู้อื่นจึงถือได้ว่าเป็นการตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้าได้อย่างดีที่สุด
แต่ในความเป็นจริงเราพบว่ามีน้อยคนนักที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง
ถ้ามีคนที่ไม่มีความรู้ทางศาสนาคริสต์มาถามเราให้ช่วยอธิบาย หลักธรรม ข้อคำสอน และ
วิถีปฏิบัติ ของชาวคริสต์ให้กับเขาได้ฟัง
เพื่อช่วยเขาให้สามารถมองเห็นถึงแก่นแท้ของศาสนาคริสต์ที่เขาปรารถนาอยากจะเรียนรู้
และ ถ้าเป็นไปได้เขาเองก็อยากทราบเช่นกันว่า ศาสนาคริสต์เมื่อมีคนสมัครใจเข้ามานับถือแล้วเขาจะพบกับสันติสุขได้อย่างไร
เราคงเหนียมอายไม่กล้าตอบ หรือ
ถ้าจะตอบก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราจะพูดออกไปนั้นมันถูกต้องเป็นจริงแค่ไหน
เพราะเราคริสตชนแม้จะได้เรียนคำสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ไม่ได้รับการศึกษาอบรม
ฝึกฝนมาโดยตรงเพื่อจะสอนคำสอนแบบจริงจังในบทบาทและฐานะเยี่ยงครูคำสอน
ตรงนี้เองที่พ่ออยากให้พี่น้องได้มองเห็นถึงความสำคัญประการหนึ่งว่า
ครูคำสอนเป็นบุคคลากรที่ทรงคุณค่าของพระศาสนจักร
เพราะครูคำสอนคือผู้ประกาศสอนถึงความเชื่อในพระเจ้าโดยตรงให้กับบุคคลที่สนใจจะเรียนรู้และเข้าถึงหลักธรรมของศาสนาคาทอลิกของเรา
การให้การศึกษาอบรม
เพื่อจะสร้างครูคำสอนจึงเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เพราะครูคำสอนเป็นผู้ช่วยพระสงฆ์อย่างดีที่สุดในการสอนคำสอน ให้กับเด็ก เยาวชน
ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเขตมิสซังที่มีพื้นที่ยากลำบากแก่การเข้าถึง และ ขาดแคลนพระสงฆ์
ครูคำสอนเป็นประดุจกองกำลังแนวหน้าที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าเข้าถึงหัวใจของผู้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า
วันนี้พ่อจึงเชิญชวนให้พี่น้องภาวนาเป็นพิเศษเพื่อครูคำสอนทุกๆคน และ
เพื่อให้เป้าหมายของพระศาสนจักรในการสร้างครูคำสอนที่ทำงานเต็มเวลาในด้านการสอนคำสอนนี้ประสบความสำเร็จ
เพราะพระศาสนจักรคงจะไม่สามารถทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงได้โดยเร็วถ้าปราศจากครูคำสอน
พ่อขอเชิญชวนพี่น้องโปรดร่วมใจกันบริจาคเพื่อส่งเสริมให้งานด้านการสร้างครูคำสอนที่กำลังดำเนินอยู่
สามารถสร้างผลิตผลที่ได้ครูคำสอนที่มีประสิทธิภาพที่พร้อมสมบูรณ์ทุกด้านในการออกมาเป็นผู้เปิดพื้นที่แห่งความรักของพระเจ้าในหัวใจของผู้คนอีกมากมายที่โหยหาความรักจากพระองค์
คุณพ่อ สุพจน์
.........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเยซูเจ้าจึงทรงกระทำอัศจรรย์
อัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าไม่ใช่การแสดงอำนาจของพระองค์ด้วยการแสดงมายากล
หากแต่พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระอานุภาพแห่งการเยียวยารักษา
อาศัยความรักและพระเมตตาจากพระเจ้า
และโดยทางการอัศจรรย์นี้
พระองค์ก็ได้ทรงแสดงว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่มนุษย์เฝ้ารอคอย ซึ่งบัดนี้พระอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้เริ่มขึ้นแล้วในพระองค์
พระอาณาจักรที่ผู้คนจะเป็นอิสระจากความหิวโหย จากความอยุติธรรม ความเจ็บป่วย
ความตาย และด้วยอาศัยการขับไล่ปีศาจ พระองค์ได้ทรงแสดงชัยชนะที่จะมีเหนือซาตาน
เจ้านายแห่งโลกนี้ด้วย
เนื่องจากชาวยิวที่ปาเลสไตน์ในสมัยของพระเยซูเจ้าคิดว่า
โรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดเป็นผลมาจากอำนาจของปีศาจ และเป็นผลของบาป ดังนั้น
การที่พระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปีศาจ
และทรงรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ก็ย่อมแสดงว่า
พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงแล้ว
เพราะเท่ากับอำนาจชั่วร้ายที่ครอบงำมนุษย์ได้ถูกทำลายลงแล้ว อันเป็นการยืนยันคำเทศน์สอนของพระองค์ที่ว่า
“ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่า
พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงท่านแล้ว” (มธ 12 :
28)
อย่างไรก็ตาม
พระเยซูเจ้ามิได้ทรงนำเอาความทุกข์ และความชั่วร้ายทั้งหมดออกไปจากโลกนี้
หากสิ่งที่พระองค์มุ่งมั่นประการแรกคือ การช่วยให้มนุษย์พ้นจากการเป็นทาสของบาป
รวมทั้งการมีความไว้วางใจในพระองค์ และนั่นก็คือ “ความเชื่อ”
ซึ่งพระองค์ทรงเรียกร้องแทบทุกครั้งเมื่อพระองค์ทรงทำอัศจรรย์
“อัศจรรย์มิได้เกิดขึ้นขัดกับธรรมชาติ
แต่ขัดกับความรู้ของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ”
นักบุญออกัสติน
(354-430)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น