วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2013


พี่น้องที่รัก
            สัปดาห์ที่แล้ว มีพี่น้องสัตบุรุษคนหนึ่งแสดงความรู้สึกกับพ่อว่า เขารู้สึกมีความอิ่มเอิบใจในเวลาที่มาร่วมพิธีมิสซาที่วัดแห่งนี้ เพราะบรรยากาศของพิธีกรรม และ ผู้มาร่วมพิธีกรรม รวมไปถึงการขับร้องบทเพลงประกอบพิธีกรรม ช่วยให้เขาสามารถยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้าได้ ทำให้การมาร่วมพิธีมิสซาในวันอาทิตย์นั้นสำหรับเขาเป็นวันของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ความจริงความรู้สึกเช่นนี้คงเกิดขึ้นกับพี่น้องสัตบุรุษหลายๆคน เพราะพิธีกรรมคือการแสดงออกซึ่งความเชื่อความศรัทธาของเราคริสตชนนั่นเอง แต่พ่อเองก็เชื่อว่ายังมีพี่น้องอีกหลายคนเช่นกัน ยังไม่เข้าถึงความรู้สึกอิ่มเอิบใจเช่นนี้ในขณะมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในวันอาทิตย์ เพราะอาจมีปัจจัยหลายอย่างที่ยังไม่เอื้ออำนวยให้เป็นเช่นนั้น วันนี้พ่อขอกล่าวถึงปัจจัยบางอย่างที่อาจทำให้เรายังไม่เข้าถึงความสงบ ความอิ่มเอิบใจ ในพิธีบูชาขอบพระคุณ นั่นคือ ประการแรก ความเร่งรีบ พ่อหมายถึง ความเร่งรีบที่มักเกิดขึ้นเสมอในชีวิตของเราในทุกเรื่อง เพราะเรามีโปรแกรมมากมายที่จะต้องทำในแต่ละวัน แต่บางครั้งความล่าช้าอันเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ ก็ยิ่งทำให้เราต้องเร่งรีบมากขึ้น และหลายครั้งรีบแล้วก็ยังไม่ทันการณ์ จึงทำให้เกิดความยุ่งเหยิง สับสน วุ่นวายด้วย แล้วใจของเราก็ขาดความสงบ เพราะมีโปรแกรมอื่นๆรอคอยเราอยู่อีก พ่อขอเสนอว่า ให้เราพยายามจัดเวลาสำหรับการเตรียมตัวมาวัด การเดินทางจากบ้านมาที่วัดให้เพียงพอ เพื่อเราจะมีเวลาพอสมควรที่จะสงบจิตสงบใจ ก่อนพิธีจะเริ่ม ประการที่สอง ที่พ่อสังเกตนั่นคือ หลายคนมาวัดแต่ตัว แต่ใจอยู่นอกวัด หรือซ้ำร้ายกว่านั้น นอกจากตัวไม่ได้อยู่ในวัดแล้ว ใจก็ยังอยู่ห่างออกไปจากวัดอีกด้วย เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นวัตถุที่แย่งสมาธิของผู้คนไปเสียจากความสงบในการสวดภาวนา จนกล่าวได้ว่า โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางที่ปีศาจคอยล่อลวงเราให้เสียสมาธิไปจากการฟังพระวาจาของพระเจ้า และ การสวดภาวนา มีคำกล่าวว่าผู้คนสมัยนี้อยู่ในวัฒนธรรมก้มหน้า นั่นคือมัวแต่ก้มหน้ามองหน้าจอมือถือนั่นเอง พ่อคิดว่าเมื่อเราตั้งใจมาวัดร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณพระเจ้าในวันอาทิตย์แล้ว ถ้าเราจะวางตัวของเราให้พ้นจากอุปสรรคต่างๆที่มาแย่งเวลาของเราไปจากพระเจ้าได้ ก็เท่ากับว่าเราเตรียมพร้อมที่จะสัมผัสความอิ่มเอิบใจ และ ความสุขสงบที่จิตวิญญาณของเราปรารถนาจะได้รับจากการมาร่วมพิธีในวันอาทิตย์ ซึ่งพระเจ้าจะประทานให้กับเราทุกคนอย่างแน่นอน
คุณพ่อ สุพจน์
....................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมเราจึงเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว

เราเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว เพราะตามหลักฐานในพระคัมภีร์ มีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น “เราคือพระเจ้า และไม่มีพระอื่นใดนอกจากเรา” (อสย.45:22) และตามกฎของตรรกวิทยา หากว่ามีพระเจ้าสององค์ พระเจ้าองค์หนึ่งย่อมจะกลายเป็นข้อจำกัดของพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง กลายเป็นว่าไม่มีพระเจ้าองค์ใดที่ไร้ขอบเขต และสมบูรณ์สูงสุด ดังนั้น หากมีพระเจ้าสององค์จึงย่อมไม่อาจเรียกว่าพระเจ้าได้
พระเจ้าไม่ได้ทรงต้องการให้เป็นที่ยำเกรงในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง หากแต่ทรงต้องการให้มนุษย์รู้จักพระองค์ และได้รับเรียกเหมือนบุคคลที่เป็นอยู่จริง พระองค์ทรงเผยแสดงพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้แก่โมเสส เพียงเพื่อให้ประชากรของพระองค์สามารถพูดกับพระองค์ได้  การที่คริสตชนเชื่อในเรื่องพระตรีเอกภาพ ไม่ได้หมายความว่าคริสตชนนมัสการพระเจ้าสามพระองค์ที่แตกต่างกัน หากแต่เป็นพระเจ้าพระองค์เดียวที่มีสามพระบุคคลเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่เรารู้ว่าพระเจ้ามิได้ทรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะพระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์ว่า “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน.10:30)
 เฉพาะผู้ที่มีความไว้ใจในพระองค์ จึงจะสามารถค้นพบพระองค์ และมีประสบการณ์ถึงพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นความจริง และความจริงก็คือพระองค์ ดังที่พระเยซูเจ้ากล่าวว่า “เรามาในโลกนี้ เพื่อเป็นพยานถึงความจริง” (ยน.18:37)
สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ การรู้จักพระเจ้านั้นหมายถึง การรู้ว่าพระองค์ทรงสร้างเรามา เอาพระทัยใส่เราด้วยความรักทุกขณะ ยังคอยประทานพระพรให้กับชีวิตของเรา และทรงปรารถนาให้เราได้พำนักอยู่กับพระองค์ตลอดไป ดังนั้น คนที่ได้รู้จักพระเจ้าของตนแล้ว ก็ต้องให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งในชีวิตของตนด้วย 
“หลังจากที่ข้าพเจ้าค้นพบว่ามีพระเจ้า จึงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าพเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว”
         บุญราศีชาร์ล เดอ ฟูโกด์ (1858-1916)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น