พี่น้องที่รัก
สัปดาห์ที่ผ่านมา
วัดของเรามีโอกาสได้ต้อนรับวงดนตรี International Mosel Valley Concert
Band จากประเทศเยอรมันนี ที่เดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองไทย และ
ถือโอกาสนี้แสดงดนตรีหลายแห่ง
วัดเซนต์หลุยส์ของเราก็ได้รับเกียรติให้เป็นสถานที่หนึ่งในการบรรเลงเพลงประกอบพิธีมิสซาด้วย
นักดนตรีคณะนี้เป็นการรวมตัวของผู้มีความสนใจในทางดนตรีประเภทเครื่องเป่า ประมาณ
40 คน ร่วมฝึกซ้อมบรรเลงเพลงกันมานานพอสมควรแล้ว
และมีโอกาสแสดงดนตรีในโอกาสสำคัญๆหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มายังประเทศไทย
พวกเขาถือโอกาสนี้มาเยี่ยมเยียนสถานที่สวยงามของประเทศไทย และ
มาเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของไทยด้วย พี่น้องหลายท่านที่ได้มาร่วมพิธีมิสซาในรอบเที่ยงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
คงได้รับความประทับใจจากความไพเราะของดนตรีที่ช่วยส่งเสริมให้พิธีกรรมเกิดความสง่างาม
และ ช่วยยกจิตใจของเราขึ้นหาพระเจ้าได้โดยง่ายอีกด้วย หลายคนมาบอกกับพ่อว่า
น่าจะมีบ่อยๆนะ พ่อก็คิดอย่างนั้นถ้ามีโอกาสอีก วัดเซนต์หลุยส์ของเราก็ยินดีครับ
ถัดมาอีกสองสามวันคือวันพุธ พ่อได้ไปร่วมพิธีมิสซาในโอกาสครบรอบ 17 ปี
ของการก่อตั้งกลุ่ม ธิดาศีลมหาสนิท
ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของผู้ที่มีจิตศรัทธาต่อศีลมหาสนิท และ พระนางมารีย์
มาร่วมกันประกอบกิจศรัทธาเช่นนี้สัปดาห์ละครั้งที่วัดพระจิต ในพิธีมิสซาครั้งนี้
และ คิดว่าทุกๆครั้ง เพลงที่ใช้ร้องประกอบในพิธีกรรมทั้งหมดเป็นเพลงละติน
รวมถึงพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีก็ขับร้องบทภาวนาก่อนบทเสกศีลเป็นภาษาละตินอีกด้วย
เรียกว่าเป็นมิสซาที่มีกลิ่นอายของพิธีกรรมดั้งเดิมของพระศาสนจักรตั้งแต่ก่อนสมัยสังคายนาวาติกันครั้งที่สองโน่นทีเดียว
ผู้มีจิตศรัทธาจากวัดต่างๆมาร่วมพิธีกันคับคั่งเลยครับ พ่อได้ข้อคิดว่า
ในพระศาสนจักรคาทอลิกนั้นแม้จะมีความแตกต่างในกิจกรรมที่หลากหลาย
แต่ความเป็นพระศาสนจักรสากลที่ยึดมั่นในความเชื่อเดียวกันนั้นทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ
อย่างคำภาษาละตินที่ว่า Utunumsint ซึ่งมีความหมายว่า
“เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน” นั่นเอง เหตุการณ์ที่พ่อกล่าวมานี้
ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญอีกหน้าหนึ่งของวัดเซนต์หลุยส์ของเราครับ
คุณพ่อ สุพจน์
......................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ใครสร้างโลก
โลกมิได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ
หรือเป็นผลที่มาจากพลังที่ไร้จุดมุ่งหมายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเข้าใจ
หากมีพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ผู้ซึ่งอยู่เหนือกาลเวลาและสถานที่
ได้ทรงสร้างโลกและจักรวาลขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่จึงขึ้นอยู่กับพระองค์ และคงเป็นอยู่แบบนี้ตลอดไป
อาจกล่าวได้อีกว่า การสร้างโลก ตลอดจนระบบต่างๆ ตามธรรมชาติ
ล้วนเป็นผลงานร่วมกันของพระเจ้าพระตรีเอกภาพ “ทุกสิ่งถูกเนรมิตขึ้นโดยพระองค์
และเพื่อพระองค์” (คส.1:16)
ภาพสัญลักษณ์การทำงานหกวันต่อสัปดาห์
สามารถโยงไปถึงหลักการสำคัญคือ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเอง
โดยที่พระผู้สร้างมิได้ทรงกำหนด และทุกสิ่งสร้างนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดี
และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทั้งหมด การพักผ่อนจากการทำงานของพระเจ้า
ชี้ให้เห็นถึงความเสร็จสมบูรณ์ของสิ่งสร้าง และที่สำคัญที่สุด
ไม่มีเหตุผลใดในการสร้างโลกนอกจากความรัก และพระเกียรติมงคลของพระเจ้าจะได้ปรากฏอยู่ในสิ่งสร้าง
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีภาพลักษณ์ของพระองค์
ให้มนุษย์มีความโดดเด่นอย่างชัดเจนจากสิ่งสร้างอื่นๆ
ที่มีชีวิต ให้มีความเข้าใจ และเจตจำนงที่จะตัดสินใจเลือกทำ
หรือไม่เลือกทำอะไร
มนุษย์จึงถือได้ว่าเป็นดังจุดสูงสุดของการสร้าง
ที่ควรให้เกียรติพระผู้สร้างในการปฏิบัติต่อสิ่งสร้างอื่นๆ อย่างใส่ใจ
และรับผิดชอบ
คอยร่วมมือกับพระผู้สร้างในอันที่จะทำให้สิ่งสร้างทั้งหมดไปสู่ความสมบูรณ์
“พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
คือ มนุษย์ที่มีชีวิต และมากยิ่งกว่านั้น ชีวิตมนุษย์ คือ การได้แลเห็นพระเจ้า”
นักบุญ อิเรเนอุส แห่งลีออง
(135-202)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น