พี่น้องที่รัก
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วนะครับ ช่วงเวลา 5 ปีเต็มที่พ่อได้รับมอบหมายให้มาทำงานที่วัดเซนต์หลุยส์โบยบินลับไปแบบฟาสต์ฟอร์เวิร์ด
จนมาถึงช่วงเวลาสุดท้ายของการทำหน้าที่ของพ่อที่นี่แล้ว
ยังนึกถึงวันแรกๆที่มาทำงานที่วัดนี้
พ่อรู้สึกว่าที่แห่งนี้มีอะไรที่ยิ่งใหญ่งดงามแฝงอยู่มากมาย ในด้านสถานที่ภายนอก
วัดแห่งนี้แม้ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางอะไร แต่สถาปัตยกรรมรูปทรงของตัววัดซึ่งเป็นพระวิหารของพระเจ้า
งดงามลงตัวเป็นเอกลักษณ์อย่างที่ไม่มีที่ไหนในเมืองไทยเสมอเหมือน พ่อค่อยๆ เรียนรู้ทีละเล็กละน้อย
ทีละวัน ผ่านทางการทำงานกับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน พ่อพบว่า
ความงดงามที่นอกเหนือจากสิ่งก่อสร้างและวัตถุที่มองเห็นได้ภายนอกก็คือความงดงามในจิตใจของพี่น้องสัตบุรุษที่วัดเซนต์หลุยส์นี่แหละ
ที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ ความศรัทธาเลื่อมใสในพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้านี้เอง ที่ได้รับการสืบสานส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
วัดนี้เป็นวัดที่มีบรรยากาศความมีชีวิตชีวาในการร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์สูงมาก
พ่อเห็นครอบครัวที่พากันมาวัดวันอาทิตย์
ประกอบไปด้วยคนรุ่นตารุ่นยายมาวัดพร้อมกันกับรุ่นพ่อรุ่นแม่และลูกหลานเป็นครอบครัวใหญ่
ทุกคนมีความสุขที่จะได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อนมัสการสรรเสริญพระเจ้า
พ่อสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์แนบแน่นของความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้อย่างชัดเจนในวัดของเรา
สิ่งที่สำคัญที่จะเป็นความทรงจำของพ่อตลอดไปก็คือ
ความร่วมมือร่วมใจที่พี่น้องกรุณามอบให้กับพระสงฆ์ที่ทำงานที่วัดแห่งนี้เรื่อยมา
และคิดว่าพี่น้องก็คงจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ
พี่น้องคงสังเกตว่าพ่อให้ความสำคัญกับเด็กๆ
เพราะพ่อเชื่อว่าการปลูกฝังเด็กๆให้มีความเชื่อความรักในพระเจ้า
ความประทับใจในการมาวัดปฏิบัติศาสนกิจเป็นเรื่องที่จะต้องเริ่มตั้งแต่เขายังเล็ก
วัดและครอบครัวต้องร่วมมือกันส่งผ่านความเชื่อในพระเจ้าให้กับลูกหลานของเราอย่างเข้มแข็ง
ภาพของเด็กที่กล้าวิ่งเข้ามาหาพระสงฆ์ ภาพของเด็กช่วยมิสซาจำนวนมากบนพระแท่น
สื่อถึงอนาคตที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวังของพระศาสนจักรท้องถิ่นในวัดของเรา
พ่อถือโอกาสนี้ขอแสดงความขอบคุณมายังพี่น้องทุกๆท่าน
ที่มีส่วนทำให้วันเวลาของพ่อในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้มีความสุขทุกวัน
แม้เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เป็นความทรงจำที่ดีของพ่อ
ที่มีโอกาสได้รับใช้พี่น้องในด้านต่างๆ เท่าที่ความสามารถและศักยภาพที่พระเจ้าประทานให้จะเอื้ออำนวย
แม้ว่าพ่อจะยังไม่อยากให้วาระการทำงานที่วัดแห่งนี้สิ้นสุดลง
แต่กาลเวลานั้นก็ต้องมาถึงไม่ว่าจะช้าหรือเร็วจนได้
พ่อคิดว่าเราต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันในชีวิต นั่นก็คือ
การตอบสนองต่อน้ำพระทัยพระเจ้า และสิ่งนี้ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด
พ่อเชื่อว่าพี่น้องทุกท่านต่างก็กำลังก้าวไปบนเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน
น่าดีใจที่บางช่วงบางเวลาของการไปสู่เป้าหมายของชีวิตดังกล่าวเรามีโอกาสได้เดินเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลใกล้ชิดกัน
และแม้ว่าในอนาคตข้างหน้าเส้นทางของแต่ละชีวิตอาจต้องดำเนินเหินห่างจากกันบ้าง
แต่ท้ายที่สุดแล้วเราต่างก็มีเป้าหมายสุดท้ายที่เดียวกันครับ
พ่อจะอยู่ที่วัดนี้จนถึงวันที่ 11 พฤษภาคมครับ
หมายความว่าในอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคมสัปดาห์หน้าเรายังคงได้พบปะเจอะเจอกันอยู่
ซึ่งคณะกรรมการสภาภิบาลกำหนดว่าจะมีการกล่าวอำลาในมิสซารอบ 8 นาฬิกา ครับ ส่วนคุณพ่อชาญชัย
ทิวไผ่งาม
เจ้าอาวาสองค์ใหม่จะเข้ามาปฏิบัติงานที่วัดเซนต์หลุยส์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 13
พฤษภาคมครับ ระหว่างนี้พ่อก็จะมอบหมายงานต่างๆ ที่ยังต้องสานต่อโดยเฉพาะเรื่องการเตรียมฉลอง
60 ปีวัดเซนต์หลุยส์
และการก่อสร้างซึ่งยังไม่แล้วเสร็จกับคุณพ่อชาญชัยต่อไปครับ
พ่อจะภาวนาเพื่อพี่น้องเสมอในพิธีบูชาขอบพระคุณครับ
พ่อสุพจน์
..............................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
การประจักษ์จากสวรรค์แต่ละครั้งเป็นการตำหนิโลกที่ยังเอาแต่เศร้าโศก
โลกเชื่อว่ามีเหตุผลต้องเศร้า แต่สวรรค์มีเหตุผลให้ต้องเริงร่า
ในขณะที่สวรรค์มีความรัก ความยินดีและชัยชนะของพระเจ้าเหนือความตายต่อโลกมีแต่การเสียสละ
มีความหวาดหวั่น ในขณะที่โลกมีบาป
สวรรค์มีแต่การให้อภัยและเต็มไปด้วยความรัก
ศิษย์สองคนเดินก้มหน้าก้มตาเพราะเชื่อว่าพวกเขาล้มเหลว “เราเคยหวังไว้ว่า”
พวกเขาหวังว่าวันหนึ่งจะมีการปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้เป็นอิสระ
ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ผิดหวัง เพียงแต่ว่าพวกเขายังไม่เข้าใจ
เพราะพวกเขามีความคาดหวังที่ต่างไปจากแผนการไถ่กู้ของพระเจ้า พวกเขายืนยันว่ามีผู้หญิงบางคนกลับมาบอกพวกเขาเกี่ยวกับเทวดาที่ประจักษ์ในพระคูหาและยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงมีชีวิตอยู่
บางคนรีบตรงไปที่พระคูหาและเห็นสิ่งที่ผู้หญิงเล่าให้ฟัง แต่พวกเขาไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
(เทียบ ลก.24,22-24) เพราะใจพวกเขาก็ยังไม่พร้อมจะยอมรับอยู่ดี
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่า
พวกเขาเห็นพระเยซูเจ้ามาร่วมเดินทางแต่กลับจำพระองค์ไม่ได้
ทำไมพระองค์จึงทรงประจักษ์แต่ทำให้พวกเขามองไม่เห็นพระองค์? ทำไมพระองค์จึงทรงกลับคืนชีพแต่ทำให้สาวกตามหาพระองค์ไม่พบ?
ถึงแม้สายตาของพวกเขาจะจำพระองค์ไม่ได้
แต่จิตใจของพวกเขาเร่าร้อนเป็นไฟเมื่อพระองค์ตรัสกับพวกเขามาตามทาง
พระองค์ทรงต่อว่าพวกเขาอย่างนุ่มนวล “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อพระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ”
(ลก 24,25-26)
พระเยซูเจ้าทรงใช้พระคัมภีร์เพื่ออธิบายให้พวกเขาเข้าใจ
พระคัมภีร์ที่พวกเขาท่องขึ้นใจและเชื่อว่าเข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว
นี่คือวิถีแห่งพระวาจาทรงชีวิต...ให้ความกระจ่าง แก้ความเข้าใจผิด เรียกร้อง...
ศิษย์ทั้งสองตรวจสอบจิตใจด้วยพระคัมภีร์และเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
ที่พวกเขาเองได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยนั้น พวกเขายังเข้าไม่ถึงอย่างแท้จริง
เลยทำให้พวกเขาเขลาและเชื่องช้าที่จะเชื่อ
พระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาแต่พวกเขากลับไม่เห็นพระองค์
พระวาจาของพระเยซูเจ้าทำให้จิตใจของศิษย์ทั้งสองเร่าร้อน
พวกเขายังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของความรู้สึกดังกล่าว แต่ก็คล้อยไปตามความรู้สึกนั้น
เมื่อถึงที่หมาย พวกเขาเชิญพระองค์ให้ค้างคืนด้วย “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด
เพราะใกล้ค่ำและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” (ลก 24,29) พระเยซูเจ้าทรงตอบรับคำเชิญและเข้าไปในบ้านเพื่อพักอยู่กับพวกเขา
นี่คือท่าทีของพระเจ้าทีทรงตอบรับคำเชื้อเชิญด้วยความเต็มใจ
พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างมนุษย์ “ขณะประทับที่โต๊ะกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงถวายพระพร
ทรงบิขนมปังและยื่นให้พวกเขา พวกเขาก็ตาสว่างและจำพระองค์ได้
แต่พระองค์หายไปจากสายตาของพวกเขา ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินมาตามทางและอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง’”
(ลก 24,30-32)บางคนอาจจะคิดว่า
เมื่อเข้าไปในบ้านและเริ่มทานอาหาร พระเยซูเจ้าคงจะเปลี่ยนโฉมหน้าของพระองค์
และทำให้ศิษย์จำพระองค์ได้
หากพระเยซูเจ้าทรงทำเช่นนั้น ศิษย์สองคนก็คงไม่เปลี่ยนแปลง
ยังคงเขลาและเชื่องช้าต่อไป เพราะพวกเขาเห็นพระองค์ทางประสาทสัมผัสเหมือนก่อน
พวกเขาคงไม่ละเอียดและอ่อนไหวพอที่จะพบพระองค์ในรูปแบบอื่น
หากพวกเขาจำพระองค์ได้เพราะเลือดเนื้อ พวกเขาก็ยังคงดำเนินชีวิตตามเลือดเนื้อต่อไป
แปลกแยกไปจากสถานภาพแห่งพระอาณาจักรโดยสิ้นเชิง
ท่าทีของพระเยซูเจ้าเมื่อทรงนั่งโต๊ะ ทรงอวยพรและแบ่งขนมปังอย่างทรงอำนาจ
ทำให้ศิษย์ทั้งสองย้อนกลับไปในสิ่งที่พวกเขาเคยได้เห็น แต่ในขณะที่พวกเขาย้อนกลับไปสู่ความทรงจำที่ผ่านมา
พระองค์ก็ทรงหายไปจากสายตา
ความทรงจำในท่าทีของพระเยซูเจ้าคือศีลศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปสู่ความจริงที่พระองค์ทรงเป็นและการประทับอยู่ของพระองค์ในจิตใจของพวกเขา
ศิษย์ทั้งสองจำพระเยซูเจ้าในศีลศักดิ์สิทธิ์ ในท่าทีแห่งความรักที่แสดงออกมาในการแบ่งปัง
พวกเขาจำพระองค์ได้ในท่าทีแห่งการมอบพระองค์ผ่านทางปังที่ทรงอวยพร ตอนแรก
พระองค์ทรงทำให้พวกเขาเชื้อเชิญพระองค์เข้าพักในบ้าน เหมือนพี่น้อง แล้วนั้นทรงทำให้พวกเขาเกิดความเคารพในพระองค์
เชื่อว่าพวกเขากำลังอยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แล้วก็กลายเป็นความไว้วางใจในพระองค์ประสบการณ์เดียวกันนี้ยังคงเกิดขึ้นกับเรา
ในบริบทแห่งชีวิตประจำวันของเรา ท่าทีแห่งการเชื้อเชิญ การเป็นพี่เป็นน้อง
ความเคารพต่อกัน การสำนึกถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าในแต่ละคนที่เราพบปะ
ทรงนำเราไปสู่การเห็นและการพบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ นั่นคือการประทับอยู่ของพระเจ้า
พระองค์ทรงทำให้การที่เราเห็น(เพื่อนพี่น้อง)แต่จำพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนเป็นการจำพระองค์(ในเพื่อนพี่น้อง)ได้
ทั้งๆ ที่ไม่เห็นพระองค์ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราจำพระองค์ได้ก็แต่ในความรัก
พระองค์ตรัสกับดวงใจเรา
ใครที่รู้จักฟังด้วยความรักก็จะได้ยินเสียงของพระองค์กระนั้นก็ดี
หลายคนก็ยังอยากจะให้พระองค์แสดงองค์ในรูปแบบที่ตนต้องการ
แถมยังเรียกร้องและท้าทายเหมือนที่หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น “จงลงมาจากไม้กางเขนบัดนี้ซิ เราจะได้เห็นและเชื่อ (มก.15,32)...ลงมาสิ อย่าอยู่เฉยๆ อย่างนั้น ลงมาอย่างสง่างาม
ลงมาด้วยฤทธิ์อำนาจ...ทุกคนจะได้เชื่อ”
บ่อยครั้ง
คำภาวนาของเราก็มีทีท่านี้แอบแฝงอยู่ ไม่มากก็น้อย
อยากจะให้พระเจ้าโปรดให้ตามที่ต้องการแล้วจึงจะเชื่อ...โปรดให้สามีเปลี่ยนแปลงตนเอง
ให้ภรรยา ให้ลูก ให้เพื่อน ให้พ่อแม่ปรับปรุงตัว ขอให้เปลี่ยนงานได้ ขอให้เปลี่ยนสภาพแวดล้อม
คนรอบข้างเป็นอย่างที่เราต้องการ แล้วลูกจะเชื่อไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าเลย
แต่เป็นความพอใจของตนเองและความเห็นแก่ตัว
คพ.พงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น