พี่น้องที่รัก
พ่อได้อ่านบทความเรื่อง
Five great achievements Pope Francis first four years เขียนโดยคุณพ่อ
โทมัส รีส ท่านเป็นนักวิเคราะห์อาวุโส
และรู้เรื่องราวอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่ดำเนินไปในวาติกัน
พ่อขอนำมาถอดความถ่ายทอดให้พี่น้องได้อ่านกันในโอกาสครบรอบ 4 ปีแห่งการดำรงตำแหน่งผู้นำพระศาสนจักรของพระสันตะปาปาฟรังซิส
พระสันตะปาปาฟรังซิส
ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพระศาสนจักรคาทอลิกได้ 4 ปีแล้ว
เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าพระองค์ท่านจะไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนด้านคำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องสำคัญๆเช่น
การคุมกำเนิด การถือโสด การบวชสตรีให้เป็นพระสงฆ์ การสมรสของคนรักร่วมเพศ
แต่พระจริยวัตรของพระองค์ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพระศาสนจักรหลายด้าน
ประการแรก
พระสันตะปาปาเริ่มหนทางใหม่ในการประกาศข่าวดี
พระองค์บอกว่าคำพูดแรกของการประกาศข่าวดีจะต้องเป็นเรื่องความเมตตาของพระเจ้า ไม่ใช่รายละเอียดในเรื่องข้อความเชื่อหรือกฏระเบียบที่ต้องนำมาปฏิบัติ
พระองค์เทศน์สอนทุกวันเกี่ยวกับเรื่องความเมตตาสงสารและความรักของพระเจ้า
เราจึงสมควรที่จะต้องแสดงความเมตตาสงสารและความรักไปยังเพื่อนพี่น้องชายหญิงของเรา โดยเฉพาะผู้ยากไร้ พระองค์ไม่ได้เทศน์สอนแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังทรงปฏิบัติด้วยการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย
คนไร้บ้าน และคนป่วย
ประการที่สอง
พระสันตะปาปาฟรังซิส เปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งในพระศาสนจักรได้
พระองค์ไม่แสดงอาการไม่พอใจในยามที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป
แม้ในเรื่องสำคัญเช่นข้อคำสอน
ในอดีตที่ผ่านมามีเพียงระหว่างการสังคายนาวาติกันครั้งที่สองเท่านั้นที่พระศาสนจักรเปิดโอกาศให้มีการโต้แย้งเกิดขึ้นได้ในระหว่างการประชุม
แต่ภายหลังจากนั้นมา พระศาสนจักรควบคุมวาระการประชุมอย่างเข้มงวด
และมีการคัดกรองหัวข้อการประชุม ดังนั้นผลของการประชุมสมัชชาของพระสังฆราชที่น่าจะเป็นข้อเสนอเพื่อให้คำแนะนำพระสันตะปาปา
ก็กลายเป็นเพียงเวทีของพระสังฆราชที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อพระสันตะปาปาเท่านั้น
แต่ภายใต้การนำของพระสันตะปาปาฟรังซิส ผู้เข้าร่วมสมัชชา
ได้รับการส่งเสริมให้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเกรงว่าจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกับพระสันตะปาปา
ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ไม่เคยมีในช่วงของพระสันตะปาปาองค์ก่อนๆ
ประการที่สาม
พระสันตะปาปาให้แนวคิดแบบใหม่เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมใน สมณสาส์น Amoris
Laetitia พระองค์นำพาพระศาสนจักรจากความคิดทางด้านศีลธรรม ที่มีพื้นฐานบนกฏระเบียบที่เคร่งครัด
ไปสู่ศีลธรรมที่มีพื้นฐานบนความสุขุมรอบคอบ ซึ่งหมายความว่า ข้อเท็จจริง
สภาวะแวดล้อม และแรงจูงใจ มีส่วนสำคัญประกอบการพิจารณา บนพื้นฐานศีลธรรมเช่นนี้
แนวทางบรรทัดฐานของศีลธรรมแบบนี้ทำให้เราสามารถเข้าถึงความดีงามของชีวิตของบุคคลที่มีข้อบกพร่อง
แม้แต่ในการสมรสที่ผิดไปจากกรอบประเพณีแบบเดิมๆ
แนวคิดแบบนี้เราจะไม่มองโลกในแบบที่มีการแบ่งความดีกับความชั่วออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
แต่มองว่าเราทุกคนล้วนเป็นคนบาปที่มีบาดแผลที่ต้องชำระ
พระศาสนจักรมีหน้าที่เป็นเสมือนสถานรักษาพยาบาล คอยเอาใจใส่ผู้เจ็บป่วย
ศีลมหาสนิทคืออาหารที่ช่วยเยียวยารักษาผู้ป่วย ไม่ใช่รางวัลสำหรับผู้ดีพร้อม
ดังนั้นยุคแห่งการขู่ผู้คนให้หวาดกลัวเพื่อจะเป็นคนดีคงผ่านพ้นไปแล้ว
ประการที่สี่
พระสันตะปาปาได้ยกสถานะเรื่องสภาวะแวดล้อม
เข้ามารวมอยู่ในแก่นสำคัญเรื่องความเชื่อแล้ว พระองค์ยอมรับว่า
ภาวะโลกร้อนอาจเป็นประเด็นเรื่องศีลธรรมที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 ในพระสมณลิขิตของพระองค์ที่ชื่อว่า Laudato Si พระองค์บอกกับเราว่า
"การดำเนินชีวิตตามกระแสเรียกในการเป็นผู้พิทักษ์สิ่งสร้างของพระเจ้าถือเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยฤทธิ์กุศล
สิ่งนี้ไม่ใช่ทางเลือก และไม่ใช่เรื่องรองๆในการดำเนินชีวิตเป็นคริสตชนอีกต่อไป"
พระสมณลิขิตฉบับนี้ของพระสันตะปาปา
ได้รับการขานรับอย่างดีจากนักสภาวะแวดล้อมจำนวนมาก
ผู้เคยมองพระศาสนจักรเป็นฝ่ายตรงข้าม เพราะจุดยืนของพระศาสนจักรในเรื่องการคุมกำเนิด
ต่อไปนี้พระศาสนจักรจะเป็นพันธมิตรกับคนเหล่านี้
เพราะนักสภาวะแวดล้อมจะถือว่าศาสนาจะมีส่วนสำคัญในการจูงใจให้ผู้คนยอมเสียสละตัวเองเพื่อธำรงรักษาโลกของเราไว้
ประการที่ห้า
พระสันตะปาปาได้เริ่มต้นปฏิรูปโครงสร้างการปกครองของพระศาสนจักร
แม้การปฏิรูปอย่างจริงจังเป็นไปอย่างช้าๆแต่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
โดยเฉพาะการปฏิรูปเรื่องเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากธนาคารวาติกัน และไปสู่หน่วยงานต่างๆ
การจัดการด้านงบประมาณในหน่วยงานต่างๆต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียด
สำนักงานหลายสำนักงานได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งต่างๆเหล่านี้ส่งผลดีต่อพระศาสนจักรโดยรวม
ยังมีภารกิจอีกมากมายต้องดำเนินการก็จริงแต่งานเหล่านี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ประเด็นสำคัญก็คือ
พระสันตะปาปาพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของนักบวชให้มีจิตตารมณ์แห่งการรับใช้
พระองค์ปรารถนาให้พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง อุทิศตนทำงานรับใช้ประชากรของพระเจ้ามากกว่าที่จะดำรงตนเป็นเจ้าขุนมูลนาย
ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังเปลี่ยนแปลงประเพณีการแต่งตั้งพระคาร์ดินัล
จากเดิมที่เป็นการยกย่องส่งเสริมให้รางวัล
กลับมาเป็นการพิจารณาพระสังฆราชที่ให้ความสำคัญกับนโยบายที่พระองค์จัดวางลำดับความสำคัญไว้เพื่อพระสังฆราชเหล่านี้จะได้รับการยกขึ้นเป็นพระคาร์ดินัล
เพื่อสักวันหนึ่งพระคาร์ดินัลเหล่านี้จะมาทำหน้าที่เป็นผู้นำพระศาสนจักรในภายภาคหน้า
พ่อสุพจน์
.........................................................................................
ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ :ก็อก ก็อก ก็อก เปิดประตู
ชายตาบอด
แม้มองไม่เห็นแต่เขาได้ยิน
และยอมให้พระช่วย
ชาวฟาริสี แม้ตาไม่บอด
แต่ใจเขาปิด
และไม่อยากจะเชื่อตามที่ตาเห็น
ไม่ใช่ใครที่ปิดตาของใจเรา
แต่บ่อยบ่อยที่เราปิดตาใจเราเอง
ตาของกายมืดบอด
แม้รักษาไม่ได้
แต่ยังได้รับความรอดพ้นได้
ตาของกายไม่บอด
แต่ตาของใจมืดบอด
แม้รักษาได้
แต่ไม่ยินยอมรับการรักษา
บางทีอาจรอดพ้นได้ หรือ ไม่ก็อาจไร้โอกาสรอดพ้นเลย
เพียงเพราะกฎบังตา อัตตา-ตัวตนสูงข่มความดี
เห็นสิ่งดีอยู่ตรงหน้า
เห็นเรื่องราวดีดีอยู่ตรงหน้า ยังว่าร้ายได้
เพียงเพราะไม่ถูกใจ
เพียงเพราะไม่ใช่พวกเรา เพียงเพราะแตกต่างจากเรา
ความดีจึงไปไม่ถึงใจ
อคติปิดใจแน่นหนา
ชีวิตจึงทำทำไปแค่ตามตัวบท ตัวบัญญัติ
ตามกฎที่ร่ำเรียนมา
มีปัญญาสูงส่ง สมองโต
แต่กลับใจลีบ แขนลีบ ขาลีบ
มองเห็นตัวหนังสือ
สำคัญกว่าความเป็นคน
มองเห็นแต่สิ่งที่ตัวต้องการ
มากกว่าความต้องการของคนอื่น
คนอะไร...หูเปิด ตาเปิด ปากเปิด แต่ไม่เปิดใจ
#แล้วเราหละ
บาทหลวงบางกอก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น