วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2016

พี่น้องที่รัก
            วันนี้พ่อขอนำเอาข้อคิดสะกิดใจมาฝากกันครับ

            "เมื่อท่านเข้าไปในป่า แล้วมองไปยังหมู่แมกไม้นานาชนิด
            ท่านพบว่า ไม้แต่ละชนิดก็แตกต่างกันออกไป
            บ้างก็มีลำต้นโค้งงอบิดไปบิดมา
            บ้างก็มีลำต้นตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า
            บ้างก็มีใบสีเขียวสดอยู่เสมอ
            บ้างก็มีลักษณะที่เป็นไปตามธรรมชาติของมัน
            ท่านมองแล้ว ก็เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
            ท่านเข้าใจทันทีว่า ที่ลำต้นของต้นไม้บางชนิด โอนเอนไม่ขึ้นตั้งตรง
            ก็เพราะว่ามันได้รับแสงสว่างไม่เพียงพอ มันพยายามแสวงหาช่องว่างเพื่อรับแสงแดด
            แล้วมันก็เป็นไปเช่นนั้น
            ท่านชื่นชมที่มันเป็นของมันอย่างนั้น
            ทุกอย่างดูกลมกลืนสวยงาม
                        แต่เมื่อท่านเข้าใกล้ผู้คน
            ท่านกลับมีความรู้สึกแตกต่างออกไป
            ได้แต่พูดบ่นออกมาว่า คนนี้ก็เป็นยังงี้มากไป คนนั้นก็เป็นอย่างนั้นเกินไป
            สมองเพียรเฝ้าตัดสิน คนนั้น คนนี้เรื่อยไป
                        ดังนั้น ฉันจึงเริ่มต้นฝึกฝนที่จะเปรียบผู้คนกับมวลแมกไม้ในธรรมชาติ
            หมายความว่า ชื่นชมเขา อย่างที่เขาเป็น"

            อ่านข้อความข้างต้นแล้วก็คิดได้ว่า ความหงุดหงิด ไม่สบอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ คงหายไปได้เยอะ ถ้ารู้จักปรับวิธีคิด ในการมองผู้อื่นด้วยความชื่นชม และ ยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น


พ่อสุพจน์
...............................................................................................................................
ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ : ว่าด้วยเรื่องของบาป (3) 

สงฆ์สัย :  “คุณพ่อ ๆ ผมไม่มีบาป ไม่ได้ทำบาปเลย จะสิบปีละ ต้องไปแก้บาปไหม?? 
สงฆ์รู้   :   “………..”  หยุดคิดครู่หนึ่ง คุกเข่าลงกับพื้นดิน  
สงฆ์รู้  :   “ขอท่านโปรดอวยพรให้พ่อคนบาปด้วยครับ เพราะท่านคงเป็นนักบุญแล้ว”  
สงฆ์สัย : “อ้าว!!!”  
………………………………………………… 
ในจดหมายนักบุญยอห์นฉบับที่ 1 เขียนไว้ว่า “ถ้าเราพูดว่า "เราไม่มีบาป" เรากำลังหลอกตนเอง และ "ความจริง" ไม่อยู่ในเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และทรงเที่ยงธรรม   ถ้าเราสารภาพบาปพระองค์จะทรงอภัยบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้สะอาดจากความอธรรมทั้งปวง ถ้าเราพูดว่า "เราไม่เคยทำบาป" เราก็ทำให้พระองค์ตรัสคำเท็จ และพระวาจาของพระองค์ไม่อยู่ในเรา ลูกที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป แต่ถ้าใครทำบาป   เรายังมีทนายแก้ต่างให้เฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา คือพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเที่ยงธรรม พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปของเราและไม่เพียงแต่ชดเชยเฉพาะบาปของเราเท่านั้น แต่ชดเชยบาปของมนุษย์ทั้งโลกด้วย” (1ยน 1:8-2:2) 
การคิดว่าจะต้องแก้บาปไหม? ทำให้พ่อตั้งสันนิษฐานได้ว่า ผู้ถามคงจะรู้ว่า ตนเองได้ทำบาป แต่ 1.อาจจะพิจารณาบาปไม่เป็น 2. ไม่รู้ว่าจะต้องบอกกับพระสงฆ์ยังไงเพราะไม่เจอคำจำกัดความในบทบัญญัติฯ 3. ไม่ใช่ว่าจะไม่มีบาป หรือไม่เคยทำบาป แต่เป็นผู้มีความเขลาและไม่รู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่ได้กระทำนั้นเป็นบาป 4. คิดว่าเป็นบาปเล็กน้อย เลยไม่จำเป็นต้องบอก 5. มโนธรรมตายด้าน จึงไม่เห็นว่า ตนได้กระทำบาปอะไรเลย 6. มีความละอายที่จะต้องสารภาพความอ่อนแอ บาป หรือความไม่ดีที่ตนทำกับพระสงฆ์ นาน ๆ เข้า ลืมจำไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะไม่สารภาพบาปเลย 
ดังที่ท่านนักบุญยอห์นได้เขียนไว้ในจดหมายของท่าน แม้เรายังทำบาป เรายังมีพระเยซูผู้ทรงชดเชยใช้โทษบาปแทนเราแล้ว การพิจารณาบาป จึงไม่ใช่แค่การพิจารณาตามกฎบทบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงการกระทำต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันด้วย แม้ไม่ได้ปรากฏอยู่ในบทบัญญัติของพระเจ้า, บทบัญญัติของพระศาสนจักร, บาปต้น 7 ประการ ยกตัวอย่าง เช่น 
·                  บาปละเลย เช่น ในฐานะที่เป็นสามีภรรยากัน เราควรจะใส่ใจดูแลความเป็นอยู่ในบ้านตามฐานะที่มี แต่เราละเลยที่จะกระทำตามบทบาทหน้าที่ที่มี เป็นต้น สิ่งดีที่ควรทำ ความรักที่ควรปฏิบัติ แต่เราไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ เมื่อมีโอกาส เราก็กำลังทำบาปละเลยอยู่  
·                  บาปของการเป็นที่สะดุด เช่น ในฐานะที่เป็นคริสตชน เราพึงต้องไปปฏิบัติศาสนกิจวันอาทิตย์ แต่เราละเลย ด้วยเหตุผลที่เบาบาง แล้วยังบอกกับลูกหลานเราด้วย ว่าถ้ามีธุระก็ไม่เป็นไร เราขาดวัดแบบง่าย ๆ แล้วยังสอนลูกหลานของเราด้วย เราก็กำลังทำตนเป็นที่สะดุด เป็นต้น เพราะว่าแทนที่เราจะเป็นแบบอย่างให้กับลูกหลาน นำพาเขาไปสู่ความดี แต่เราไม่ทำ และยังขวางกั้น ไม่สอนไม่บอกให้เขาปฏิบัติ เราก็เป็นเสมือนหินก้อนใหญ่ ที่ทำให้ลูกหลานของเราต้องสะดุดล้ม เพราะการกระทำของเรา  
·                  บทบาทหน้าที่ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาด้วย  เช่น เราได้เอาเปรียบนายจ้างหรือเพื่อนร่วมงาน ด้วยการไม่ทำงาน เล่น Social เล่นเกมส์ โกงเวลางาน เป็นต้น    
อันที่จริง ก็ยังมีอีกหลายประเด็น ที่เราจะนำมาพิจารณาได้ เช่น ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าอย่างครบถ้วนหรือไม่? เป็นต้น คำถามก็คือ ที่คิดว่าไม่มีบาป ไม่ได้ทำบาป หรือ ไม่จำเป็นต้องแก้บาปนั้น เราคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าว่า สิ่งที่เราทำไม่ถือเป็นบาป เราได้ใช้เวลาอย่างดีในการพิจารณาการกระทำแบบถ้วนถี่หรือไม่  
นอกที่ฟังแก้บาปครั้งหนึ่ง พ่อเคยถูกถามว่า การที่เราพูดความจริงของคนอื่นบาปไหม?โดยตัวการกระทำ การพูดความจริง ไม่ใช่บาป แต่เมื่อพ่อชวนพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ รวมกันกลับพบว่า การพูดความจริงนี้ เป็นบาปอย่างแน่นอน เพราะประการแรก ผู้พูดคิดไปเองว่า สิ่งที่พูดคือ ความจริง เพราะแท้จริง เป็นเพียงสิ่งที่ได้ยินต่อ ๆ กันมาในความไม่ดีของบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ประการที่สอง แม้ว่า ดูเหมือนว่ามาจากเจตนาที่ดี คือ อยากให้ผู้ที่พูดถึงปรับปรุงตนเอง แต่วิธีการ คือ พูดสิ่งที่คิดว่าเป็นความจริงนี้ลับหลังเขา โดยเจ้าตัวไม่มีโอกาสล่วงรู้ และส่งผลให้เกิดความคิดในแง่ลบมากกว่า ประการสุดท้าย ผลลัพธ์ที่ได้มา ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ที่ถูกกล่าวถึง แต่เป็นการสร้างความเสียหายแก่บุคคลนั้น แม้ว่า ในกรณีนี้ เรื่องที่เราจะเป็นความจริง แต่วิธีการที่ทำก็เข้าข่ายการนินทา อันเป็นบาปอยู่ดี  
พี่น้องครับ วิธีการที่ผิดไม่สามารถเปลี่ยนการกระทำให้ถูกได้ และเพียงการกระทำเดียวนี้ เราพบว่า นี่ไม่ใช่บาปของการนินทาเท่านั้น แต่เป็นการตัดสินผู้อื่นด้วยเบาความ การใส่ความ และขาดความยุติธรรมและความรักต่อเพื่อนพี่น้องอีกด้วย    
พี่น้องครับ การพิจารณาบาปจึงไม่ใช่ความคิดแค่ว่า “ฉันได้ทำบาปหรือไม่? ฉันได้ทำบาปอะไร? หรือ ฉันไม่ได้ทำบาป”  แต่เราต้องพิจารณาด้วยว่า ในความดีที่เราพึงกระทำ-ในความรักที่เราต้องปฏิบัติ กับพระเจ้า กับเพื่อนมนุษย์บ้าน กับตัวเราเอง เราได้ทำหรือไม่ การไม่ทำชั่วทำบาป ไม่ใช่เครื่องการันตี ว่าเราเป็นคนดีแล้ว เพราะในฐานะที่เราเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ประสงค์ให้เราได้ประกาศข่าวดีแห่งความรอดพ้นด้วย ผ่านทางการกระทำ ผ่านทางการดำเนินชีวิต ผ่านทางความดีและความรักที่เราจะส่งต่อไปให้กับทุก ๆ คนด้วย  
บางหลวงบางกอก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น