วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ี 4 สิงหาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            เทียนเล่มนั้นที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่กล่าวเอาไว้ว่า “ท่านได้จุดเทียนเล่มนี้ไว้ และ ตอนนี้ท่านกำลังจ้องมองเปลวเทียนที่ลุกสว่างไสวเล่มนี้อยู่ ท่านคงชื่นชอบกับแสงสว่างและรังสี ความอบอุ่นที่เปลวเทียนนี้ ก่อให้เกิดขึ้น” เทียนเล่มนี้พบกับความปีติสุข ที่ตนเองได้ก่อให้เกิดแสงสว่างและทำประโยชน์ให้กับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนี้ เทียนเล่มนี้ก็คงต้องนอนเรียงอยู่ในภาชนะที่บรรจุมันไว้ บนหิ้งข้างฝา ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆเลย  ด้วยเหตุนี้คุณค่าของเทียนเล่มนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าเทียนเล่มนี้ยอมลุกไหม้เผาผลาญตัวมันเอง ยิ่งมันลุกไหม้นานเท่าใด อายุของเทียนเล่มนี้ก็คงจะสั้นลงเท่านั้น และ ในที่สุดแล้ว ไม่ช้าไม่นานเทียนเล่มนี้ ก็คงจะค่อยๆมอดมลายหมดไปในที่สุด และเมื่อเทียนนี้ละลายหมดแท่งแล้ว ทุกอย่างก็คงจบลง เพราะมันรู้ว่า ผู้คนก็จะพูดว่า “เทียนเล่มนี้มอดไหม้หมดเสียแล้ว”
            “ฉันรู้ว่า ฉันเลือกที่จะเก็บตัวเงียบอยู่ในกล่อง แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ฉันก็จะคงอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครใช้ประโยชน์จากตัวฉันได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ฉันก็ต้องเลือกที่จะต้องถูกจุดไฟให้ลุกโชน แล้วฉันก็ต้องเผาตัวเอง เพื่อให้เกิดแสงสว่าง และความร้อนที่สร้างความอบอุ่นให้กับผู้คน แล้วที่สุดชีวิตฉันก็คงจบสิ้นลง แต่การทำเช่นนั้นได้ ก็ทำให้ชีวิตของฉันบรรลุถึงขีดขั้นของการมีชีวิตที่มีความหมายที่งดงาม”
            ชีวิตของเรามนุษย์ก็เป็นเสมือนเทียนเล่มนี้แหละ เรามีหนทางเลือกที่จะเป็นเสมือนเทียนที่เก็บตัวเงียบอยู่ในกล่องที่ไม่มีใครพบเห็น หรือไม่ก็ยอมเลือกที่จะเป็นเทียนที่สร้างความอบอุ่นและแสงสว่างให้กับผู้คนรอบข้างซึ่งหมายความว่าเรายอมที่จะเลือกเป็นเทียนที่ยอมหลอมละลายตัวเอง เพื่อสร้างความหมายและคุณค่าอันงดงามให้กับชีวิต
           
“ระฆังคงไม่ใช่ระฆังถ้าเราไม่ตีให้มันส่งเสียงดัง
            บทเพลงคงไม่เป็นบทเพลงถ้าเราไม่ร้องออกมาให้ได้ยิน
            ความรักที่สงบแอบซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของหัวใจ ก็คงไม่มีความหมายใดๆ
ถ้าความรักนั้น ไม่แสดงให้ปรากฏออกมา ซึ่งการ ยอม ละ สละ ตัวตน”


คุณพ่อ สุพจน์
.................................................................................
เราเชื่ออะไร
เกิดอะไรขึ้นกับเรา เมื่อเราตาย

ความตายแยกวิญญาณออกจากร่างกาย ให้ได้ไปพบกับพระเจ้า และรอคอยวันสิ้นโลกที่วิญญาณจะได้ไปเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งหนึ่งกับร่างกายที่กลับเป็นขึ้นมา

เมื่อพระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพ พระองค์ทรงปรากฎมา และบรรดาศิษย์ได้เห็นรอยแผลบนพระวรกายของพระองค์ ก็เช่นเดียวกัน ในวันสุดท้ายของโลกพระองค์จะทรงปลุกเราขึ้นในเนื้อหนัง ซึ่งหมายความว่า เราจะแปรเปลี่ยน แต่ยังคงเป็นตัวเราเองในร่างของเรา การกลับคืนชีพนี้เป็นอย่างไรนั้นถือเป็นธรรมล้ำลึก เราไม่ทราบสิ่งใดเลยเกี่ยวกับรูปลักษณ์ร่างกายใหม่ของเราในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักบุญเปาโลให้คำอธิบายต่อคำถามที่ว่า คนตายจะกลับคืนชีพได้อย่างไร เขาจะกลับมีร่างกายแบบใด ดังนี้ว่า
“เมล็ดที่หว่านลงไปนั้นจะมีชีวิตใหม่ได้อย่างไรถ้าไม่ตายเสียก่อน พระเจ้าประทานลำต้น แบบต่างๆ ตามพระประสงค์ให้กับเมล็ด เมล็ดแต่ละชนิดจึงมีลำต้นตามชนิดของมัน การกลับคืนชีพของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่หว่านลงไปนั้นเน่าเปื่อย แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นไม่เน่าเปื่อยอีก สิ่งที่หว่านลงไปนั้นอ่อนแอ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีอานุภาพ สิ่งที่หว่านลงไปเป็นร่างกายตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพเป็นร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต” (1คร 15:35-44)

ผู้ใกล้จะสิ้นใจควรจะร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับการถวายบูชาของพระคริสตเจ้าบนไม้กางเขน โดยให้ความไว้วางใจในพระเจ้า มีสันติกับเพื่อนมนุษย์ และปราศจากบาปหนัก ความตายมิได้ทำให้เราห่างไกลเกินพระหัตถ์ของพระองค์ ผู้ล่วงลับมิได้เดินทางสู่ความว่างเปล่า หากแต่ได้กลับบ้าน เข้าสู่ความรักของพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขามา
“มิใช่ความตาย หากแต่เป็นพระเจ้าที่ทรงมารับดิฉันไป”
(นักบุญเทเรซา แห่งลีซีเออซ์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น