พี่น้องที่รัก
เทียนเล่มนั้นที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่กล่าวเอาไว้ว่า
“ท่านได้จุดเทียนเล่มนี้ไว้ และ
ตอนนี้ท่านกำลังจ้องมองเปลวเทียนที่ลุกสว่างไสวเล่มนี้อยู่
ท่านคงชื่นชอบกับแสงสว่างและรังสี ความอบอุ่นที่เปลวเทียนนี้ ก่อให้เกิดขึ้น”
เทียนเล่มนี้พบกับความปีติสุข ที่ตนเองได้ก่อให้เกิดแสงสว่างและทำประโยชน์ให้กับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนี้ เทียนเล่มนี้ก็คงต้องนอนเรียงอยู่ในภาชนะที่บรรจุมันไว้
บนหิ้งข้างฝา ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆเลย
ด้วยเหตุนี้คุณค่าของเทียนเล่มนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าเทียนเล่มนี้ยอมลุกไหม้เผาผลาญตัวมันเอง
ยิ่งมันลุกไหม้นานเท่าใด อายุของเทียนเล่มนี้ก็คงจะสั้นลงเท่านั้น และ
ในที่สุดแล้ว ไม่ช้าไม่นานเทียนเล่มนี้ ก็คงจะค่อยๆมอดมลายหมดไปในที่สุด
และเมื่อเทียนนี้ละลายหมดแท่งแล้ว ทุกอย่างก็คงจบลง เพราะมันรู้ว่า
ผู้คนก็จะพูดว่า “เทียนเล่มนี้มอดไหม้หมดเสียแล้ว”
“ฉันรู้ว่า
ฉันเลือกที่จะเก็บตัวเงียบอยู่ในกล่อง แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร
แต่ฉันก็จะคงอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครใช้ประโยชน์จากตัวฉันได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว
ฉันก็ต้องเลือกที่จะต้องถูกจุดไฟให้ลุกโชน แล้วฉันก็ต้องเผาตัวเอง
เพื่อให้เกิดแสงสว่าง และความร้อนที่สร้างความอบอุ่นให้กับผู้คน
แล้วที่สุดชีวิตฉันก็คงจบสิ้นลง แต่การทำเช่นนั้นได้ ก็ทำให้ชีวิตของฉันบรรลุถึงขีดขั้นของการมีชีวิตที่มีความหมายที่งดงาม”
ชีวิตของเรามนุษย์ก็เป็นเสมือนเทียนเล่มนี้แหละ
เรามีหนทางเลือกที่จะเป็นเสมือนเทียนที่เก็บตัวเงียบอยู่ในกล่องที่ไม่มีใครพบเห็น
หรือไม่ก็ยอมเลือกที่จะเป็นเทียนที่สร้างความอบอุ่นและแสงสว่างให้กับผู้คนรอบข้างซึ่งหมายความว่าเรายอมที่จะเลือกเป็นเทียนที่ยอมหลอมละลายตัวเอง
เพื่อสร้างความหมายและคุณค่าอันงดงามให้กับชีวิต
บทเพลงคงไม่เป็นบทเพลงถ้าเราไม่ร้องออกมาให้ได้ยิน
ความรักที่สงบแอบซ่อนอยู่ในเบื้องลึกของหัวใจ
ก็คงไม่มีความหมายใดๆ
ถ้าความรักนั้น ไม่แสดงให้ปรากฏออกมา ซึ่งการ ยอม ละ สละ
ตัวตน”
คุณพ่อ สุพจน์
.................................................................................
เราเชื่ออะไร
เกิดอะไรขึ้นกับเรา เมื่อเราตาย
ความตายแยกวิญญาณออกจากร่างกาย ให้ได้ไปพบกับพระเจ้า
และรอคอยวันสิ้นโลกที่วิญญาณจะได้ไปเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งหนึ่งกับร่างกายที่กลับเป็นขึ้นมา
เมื่อพระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพ
พระองค์ทรงปรากฎมา และบรรดาศิษย์ได้เห็นรอยแผลบนพระวรกายของพระองค์ ก็เช่นเดียวกัน
ในวันสุดท้ายของโลกพระองค์จะทรงปลุกเราขึ้นในเนื้อหนัง ซึ่งหมายความว่า
เราจะแปรเปลี่ยน แต่ยังคงเป็นตัวเราเองในร่างของเรา
การกลับคืนชีพนี้เป็นอย่างไรนั้นถือเป็นธรรมล้ำลึก
เราไม่ทราบสิ่งใดเลยเกี่ยวกับรูปลักษณ์ร่างกายใหม่ของเราในอนาคต อย่างไรก็ตาม
นักบุญเปาโลให้คำอธิบายต่อคำถามที่ว่า คนตายจะกลับคืนชีพได้อย่างไร
เขาจะกลับมีร่างกายแบบใด ดังนี้ว่า
“เมล็ดที่หว่านลงไปนั้นจะมีชีวิตใหม่ได้อย่างไรถ้าไม่ตายเสียก่อน
พระเจ้าประทานลำต้น แบบต่างๆ ตามพระประสงค์ให้กับเมล็ด
เมล็ดแต่ละชนิดจึงมีลำต้นตามชนิดของมัน การกลับคืนชีพของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน
สิ่งที่หว่านลงไปนั้นเน่าเปื่อย แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นไม่เน่าเปื่อยอีก
สิ่งที่หว่านลงไปนั้นอ่อนแอ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีอานุภาพ
สิ่งที่หว่านลงไปเป็นร่างกายตามธรรมชาติ
แต่สิ่งที่กลับคืนชีพเป็นร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต” (1คร 15:35-44)
ผู้ใกล้จะสิ้นใจควรจะร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับการถวายบูชาของพระคริสตเจ้าบนไม้กางเขน
โดยให้ความไว้วางใจในพระเจ้า มีสันติกับเพื่อนมนุษย์ และปราศจากบาปหนัก
ความตายมิได้ทำให้เราห่างไกลเกินพระหัตถ์ของพระองค์
ผู้ล่วงลับมิได้เดินทางสู่ความว่างเปล่า หากแต่ได้กลับบ้าน
เข้าสู่ความรักของพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขามา
“มิใช่ความตาย หากแต่เป็นพระเจ้าที่ทรงมารับดิฉันไป”
(นักบุญเทเรซา แห่งลีซีเออซ์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น