พี่น้องที่รัก
อีกเพียงสัปดาห์เดียวก็จะถึงวันฉลองนักบุญหลุยส์
กษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศส องค์อุปถัมภ์ของวัดของเราแล้ว วันนี้พ่อจึงนำเรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญหลุยส์มาเล่าสู่กันฟังอีกสักครั้งนะครับ
เพื่อเราจะได้รำลึกถึงคุณงามความดีของท่านนักบุญหลุยส์องค์อุปถัมภ์ของวัดของเรานี้ไงล่ะครับที่เราเรียกท่านว่านักบุญหลุยส์กษัตริย์
ก็เพราะท่านทรงเป็นกษัตริย์ของประเทศฝรั่งเศส พระองค์มีพระนามว่า พระเจ้าหลุยส์ที่
19 เล่ากันว่าในขณะที่ท่านเข้าพิธีครองบัลลังก์เป็นกษัตริย์นั้น
ท่านได้กล่าวปฏิญาณจะครองตนเป็นเยี่ยงบิดาของประชาชน
และจะเป็นกษัตริย์ที่ปกครองบ้านเมืองให้อยู่ในความสงบสุข
ด้วยการทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมต่อทุกผู้ทุกคน ซึ่งแม้ว่ากษัตริย์ทุกพระองค์เวลาขึ้นครองราชสมบัตินั้นก็ต้องกล่าวปฏิญาณเช่นนี้เหมือนกัน
แต่พระเจ้าหลุยส์องค์นี้ท่านได้ทรงปฏิบัติพระองค์แตกต่างไปจากกษัตริย์พระองค์อื่น
ด้วยการปกครองประเทศตามวิสัยทัศน์ที่ได้ปฏิญาณด้วยแสงสว่างแห่งความเชื่อมั่นในพระเจ้าอย่างแท้จริง
พระเจ้าหลุยส์องค์นี้ได้รับมงกุฎเป็นกษัตริย์ตั้งแต่พระชนมายุได้เพียง 12
ชันษาเท่านั้น เพราะพระราชบิดาถึงแก่สวรรคต
ด้วยเหตุนี้มารดาของท่านจึงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนท่านในขณะที่ท่านยังทรงพระเยาว์อยู่
กษัตริย์หลุยส์ สมรสกับสตรีนางหนึ่งนามว่า มาร์เกอริต ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 11 คน
เมื่อพระเจ้าหลุยส์อายุได้ 30 ปี ท่านนำทัพเข้าร่วมในสงครามครูเสด
เพื่อกอบกู้กรุงเยรูซาเล็ม ด้วยความเข้มแข็ง บทบาทที่สำคัญที่ผู้คนกล่าวถึงท่านคือ
ท่านทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในการบริหารงานบ้านเมือง
ท่านวางระเบียบปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ อย่างเคร่งครัด
ซึ่งต่อมาได้รับการตราไว้ในการปฏิรูปกฏหมายปกครองประเทศ
กษัตริย์หลุยส์ทรงมีความจงรักภักดีต่อสันตะสำนักและเชื่อฟังพระสันตะปาปาเสมอ
พระองค์ทรงสนับสนุนสันตะสำนักในทุกเรื่อง
ประชาชนชาวฝรั่งเศสรักท่าน เพราะท่านเสียสละทำงานเพื่อทุกคน ท่านตั้งโรงพยาบาลมากมาย
ท่านออกเยี่ยมผู้เจ็บไข้ได้ป่วย ท่านเอาใจใส่แม้แต่คนที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อน
ระหว่างที่ท่านครองราชย์ ประเทศฝรั่งเศสมีความสงบสุข และเป็นปึกแผ่นมั่นคง
เล่ากันว่า ทุกๆวันกษัตริย์หลุยส์รับสั่งให้จัดพาคนยากจนจำนวน 13 คน
มารับประทานอาหารกับท่าน และ ท่านได้เปิดโรงทานเลี้ยงอาหารผู้ยากไร้จำนวนมาก
หลายครั้งท่านออกมาเสิร์ฟอาหารคนเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง เมื่อท่านอายุได้ 41 ปี
ท่านเข้าร่วมในสงครามครูเสดอีกครั้ง
แต่คราวนี้เกิดโรคระบาดในกองทัพที่ท่านนำไป ท่านเองก็ล้มป่วยจากโรคร้ายและสิ้นพระชนม์ในดินแดนนอกประเทศฝรั่งเศสเมื่อมีอายุได้เพียงแค่
44 ปีเท่านั้น
พี่น้องครับ
แม้ว่าเกร็ดประวัติของนักบุญหลุยส์ที่พ่อนำมากล่าวถึงนี้จะเป็นเพียงเรื่องราวโดยสังเขปเท่านั้น
แต่พี่น้องคงพอจะจับความได้ถึงความดีงาม และ
ความตั้งใจในการทำหน้าที่กษัตริย์ของนักบุญหลุยส์ อย่างดีเต็มความสามารถ
โดยที่ไม่ขัดแย้งต่อความเชื่อที่ท่านมีในพระเจ้าอีกด้วย
นี่จึงเป็นสิ่งที่น่าจะเป็นจุดเด่นของท่านที่เราสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้ใช่ไหมครับ
คุณพ่อ สุพจน์
.........................................................................................
เราเชื่ออะไร
การรับขึ้นสวรรค์ของแม่พระเป็นข้อความเชื่อไหม
ความศรัทธาต่อพระนางมารีย์นั้นมีอยู่ในพระศาสนจักรตั้งแต่แรกแล้ว
แม้ไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันได้ว่าพระนางได้สิ้นใจเมื่อใด
หรือพำนักอยู่ที่ไหนในเวลานั้น บรรดาปิตาจารย์ต่างก็เชื่อว่าพระนางมารีย์ได้สิ้นใจจริงๆ
แต่ไม่ได้ทรงรับความตายแบบมนุษย์ทั่วไป เราทราบว่าในศตวรรษที่ 5 พระศาสนจักรตะวันออกได้จัดฉลองการรับขึ้นสวรรค์ของพระนางมารีย์
ในวันที่ 15 สิงหาคมซึ่งตรงกับวันเกิดใหม่ของบรรดามรณสักขีในสวรรค์
วันฉลองดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในนามของ “การบรรทม” ของพระนาง ในศตวรรษที่ 7
กรุงโรมก็ได้จัดวันฉลองดังกล่าวด้วย ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนจากวันฉลองการบรรทม
เป็นวันรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์
พระสันตะปาปา ปีโอที่ 12
นอกจากจะได้ทรงยืนยันตามคำสอนของบรรดาปิตาจารย์
และประกาศข้อความเชื่อเรื่องความตายและการได้รับยกขึ้นสวรรค์ของพระนางมารีย์แล้ว
ยังได้ทรงอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การได้รับการยกขึ้นสวรรค์กับการปฏิสนธิอันนิรมลของพระนางมารีย์ไว้ว่า
สิทธิพิเศษจากพระเจ้าทั้งสองประการของพระนางนี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากพระเยซูคริสตเจ้าทรงได้รับชัยชนะเหนือบาปและความตาย
โดยอาศัยการสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน
พระองค์ทำให้คริสตชนได้รับชีวิตใหม่เหนือธรรมชาติในการรับพิธีล้างบาป
มีผลทำให้คริสตชนที่มีความเชื่อในตัวพระองค์ได้รับชัยชนะเหนือบาปและความตายเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลแห่งชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือความตายนี้
มนุษย์ที่ได้ดำเนินชีวิตตอบรับที่จะร่วมมือในแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า
จะยังไม่ได้รับจนกว่าวาระสุดท้ายของโลกจะมาถึง แต่ในกรณีของพระนางมารีย์
พระเจ้าทรงประสงค์ให้พระนางได้รับการยกเว้น
ทั้งนี้เนื่องจากเหตุที่ว่าพระนางได้รับชัยชนะเหนือบาป
อันเป็นสิทธิพิเศษจากการปฏิสนธินิรมลของพระนาง
ดังนั้นพระนางจึงไม่ได้ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งความเน่าเปื่อยของเนื้อหนังภายหลังความตาย
และจึงไม่ต้องรอคอยจนถึงวาระสุดท้ายของโลกเพื่อที่จะทำให้ร่างกายของตนกลับคืนมาอีกเหมือนมนุษย์ทั่วไป
“พระเยซูเจ้าทรงรักพระมารดาของพระองค์
มากเกินกว่าที่จะปล่อยให้ร่างของพระนางคงอยู่ในหลุม”
บุญราศี จอห์น เฮนรี นิวแมน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น