วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                ตามที่พ่อได้บอกบุญกับพี่น้องเพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่น้องให้กับอารามอาคาร์แมลแห่งหนึ่งที่ออสเตรเลีย บัดนี้พ่อได้ติดต่อกับคุณแม่อธิการของอารามแห่งนี้ ซึ่งมีชื่อว่า ซิสเตอร์เบเนดิกตา คุณแม่ได้ส่งจดหมายมาขอบคุณพี่น้องชาววัดเซนต์หลุยส์ทุกท่านความว่า อารามแห่งนี้เป็นอารามชีลับที่มีกระแสเรียกในการสวดภาวนา เพื่อพระศาสนจักร เพื่อพระสงฆ์ และ เพื่อทุกๆคน ปัจจุบันมีซิสเตอร์อยู่ในอาราม 14 รูป ตั้งอยู่ที่ ถนน เจโลรัป ทางใต้ของเมืองเพิร์ธ ทางตะวันตกของทวีปออสเตรเลีย อารามแห่งนี้ แยกตัวมาจากอารามคาร์แมลที่กรุงเทพฯ ในปีค.. 1976  โดยมี คุณแม่แอน ซึ่งเป็นอธิการรุ่นบุกเบิก มีอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียงตลอดเวลา ซิสเตอร์อีกรูปหนึ่ง มีอายุ 91 ปี นอกจากนี้ยังมีซิสเตอร์อีกรูปหนึ่งล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งขั้นที่ 4 ซึ่งซิสเตอร์ทั้งสามรูปนี้ต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา ซิสเตอร์ที่เหลือก็มีอายุลดหลั่นกันลงมา ความจำเป็นสำหรับอารามแห่งนี้คือ ต้องมีการจัดการขยายห้องดูแลผู้ป่วยให้มีขนาดที่กว้างขวางกว่าเดิม เพื่อจะสามารถรองรับซิสเตอร์ที่เจ็บป่วยและมีอายุมาก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500,000.00 บาท  ทั้งนี้อารามได้ขอการสนับสนุนจากพระศาสนจักรท้องถิ่นในออสเตรเลียเอง และ จากผู้มีน้ำใจดีในเมืองไทย ทางอารามจึงขอถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อผู้มีน้ำใจดีทุกท่าน โดยเฉพาะสัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์กรุงเทพฯ ที่ได้ร่วมบริจาคช่วยเหลืออารามในครั้งนี้
            ขณะนี้พ่อได้รวบรวมน้ำใจบริจาคของพี่น้องวัดเซนต์หลุยส์เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวเป็นเงินไทย 529,350 บาท(ห้าแสนสองหมื่นเก้าพันสามร้อยห้าสิบบาทเงินสกุล ยูโร 20 ยูโร เงิน สวิสฟรัง 1000ฟรัง และ เงินเหรียญสหรัฐ 2200 เหรียญ เงินทั้งหมดนี้จะจัดส่งให้กับซิสเตอร์โดยการโอนไปยังธนาคาร WESTPAC BANKING CORPRRATION ชื่อบัญชี CARMELITESISTERS, GELORUP หมายเลขบัญชี 036-122-231 397  ทั้งนี้ พ่อจะจัดส่งรายชื่อผู้บริจาค และ จุดประสงค์สำหรับคำภาวนาที่พี่น้องระบุมา ให้กับซิสเตอร์ทางอีเมล์ ต่อไปครับ
ขอขอบพระคุณพี่น้องทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วย

พ่อสุพจน์
...................................................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
             วันนี้ขอเสนอความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการสารภาพความผิดและการอ้อนวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้าในพิธีบูชาขอบพระคุณ หลังจากที่พระสงฆ์กล่าวทักทายสัตบุรุษแล้ว พระสงฆ์จะเชิญชวนให้พี่น้องสัตบุรุษที่มาร่วมในพิธีได้สารภาพความผิดซึ่งจะกระทำในรูปแบบของการสารภาพความผิดร่วมกัน โดยการสวดบทข้าพเจ้าขอสารภาพบาป และต่อจากนั้นพระสงฆ์จะลงท้ายด้วยการให้อภัยบาป ความคิดนี้เริ่มมาจากในสมัยแรกๆ คริสตชนต่างรู้สึกว่าจะต้องชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดก่อนที่จะมีส่วนร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณ ซึ่งเป็นการติดต่อสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเราทุกคนที่เข้ามาร่วมในพิธีจำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ด้วย ในหนังสือ Didache ซึ่งเป็นหนังสืออ้างอิงฉบับโบราณเขียนขึ้นประมาณปี ค.ศ. 100 ได้กล่าวไว้ในบทที่ 14 ว่า “พวกเขาร่วมประชุมกันในวันพระเจ้า กระทำพิธีบิขนมปังและขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ที่ผิดพ้องหมองใจกับใครจะต้องไม่ให้เข้าร่วมประชุมจนกว่าจะคืนดีกันเสียก่อน มิเช่นนั้น จะทำให้บูชาของท่านแปดเปื้อนมีมลทิน” และนักบุญเปาโลยังเขียนไว้ว่า “ทุกคนจะต้องพิจารณาตัวเอง (หมายถึงพิจารณามโนธรรม) ก่อนจะรับพระกายและดื่มพระโลหิต” (1 คร 11: 28) และนอกจากการสารภาพความผิดโดยใช้บทข้าพเจ้าขอสารภาพบาปแล้ว ยังมีแบบอื่นอีก 2 แบบ ซึ่งพระสงฆ์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจน่าเบื่อ
            ต่อจากการสารภาพความผิดแล้วจะเป็นการอ้อนวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้า หรือที่เราขับร้อง “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาเทอญ” (Kyrie eleison) ซึ่งเป็นภาษากรีก เมื่อนำมาใช้ในภาษาละตินก็ยังคงรักษาคำกรีกนี้ไว้ แต่เดิมคำร้องขอพระเมตตานี้จะอยู่หลังจากบทภาวนาเพื่อมวลชน ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ในพิธีกรรมของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีการประกาศ “ให้เราภาวนา – เชิญคุกเข่า .....สวดให้สมเด็จพระสันตะปาปา...” แล้วสัตบุรุษตอบรับ “ข้าแต่พระเจ้าขอทรงพระกรุณาเทอญ” ครั้นมาในสมัยพระสันตะปาปาเกรโกรี่พระองค์ปรับปรุงรูปแบบให้สั้นลง โดยตัดการประกาศขอความต้องการออกรวมทั้งบทภาวนาอื่นด้วย คงเหลือไว้แค่ “กีรีเอ เอเลอิซอน” และนำมาแทรกไว้ในพิธีสารภาพความผิด ซึ่งเราจะเห็นว่าทั้งพิธีสารภาพความผิดและการอ้อนวอนขอพระเมตตานี้สามารถกระทำแยกออกจากกันหรือกระทำพร้อมกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับการสลับใช้ตามความเหมาะสม
            มีบางคนถามว่าการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณควรจะมาอย่างช้าที่เวลาใดจึงจะสามารถเข้าไปรับศีลมหาสนิทได้ บางคนบอกว่าเมื่อมาวัดช้าก็เพียงแค่สวดบทสารภาพความผิด เป็นทุกถึงบาป จากนั้นก็สามารถรับศีลมหาสนิทได้แล้ว จะว่าไปก็สามารถทำได้หากว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ หรือบางคนบอกว่าเมื่อมีการสารภาพความผิดในมิสซาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปแก้บาปก็ได้เพราะก็เหมือนๆ กัน ความจริงแล้วไม่เหมือนกันเพราะการสารภาพความผิดในมิสซานี้มีไว้เฉพาะสำหรับผู้ที่มีบาปเบาเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีบาปหนักยังคงต้องไปแก้บาปกับพระสงฆ์ก่อน และสำหรับผู้ที่คิดว่าตนเองมีแต่บาปเบาก็เลยไม่ไปแก้บาปกับพระสงฆ์เลยเป็นระยะเวลานานๆ ก็ไม่ถูกต้องอีกเพราะการปล่อยให้ตัวเราตกอยู่ในบาปนานๆ นั้นไม่ดี จำเป็นที่เราจะต้องกำหนดเวลาที่เหมาะสมเพื่อการรับศีลอภัยบาปจากพระสงฆ์ด้วย เพราะทุกครั้งที่เรารับศีลอภัยบาปเราได้รับพระหรรษทานความช่วยเหลือจากพระเจ้าสำหรับการต่อสู้กับการผจญของปีศาจด้วยเสมอ ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะหมั่นไปรับศีลอภัยบาปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณของพระเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างสูงสุดสำหรับชีวิตของเรา
                                                                                                                                    คุณพ่อศวง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น