สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
เดือนตุลาคมกำลังสิ้นสุดลงแล้ว
แม้ว่ากิจศรัทธาการสวดสายประคำในเดือนแม่พระลูกประคำที่วัดเซนต์หลุยส์ของเรากำลังจะจบสิ้นลง
แต่การสวดสายประคำในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน แต่ละครอบครัวก็คงจะดำเนินต่อไป
รวมถึงการสวดภาวนาพร้อมกันในครอบครัวของเราก็ต้องดำเนินไปเป็นกิจวัตรที่พึงปฏิบัติเสมอๆด้วยครับ
เพราะเราไม่ได้หยุดที่จะเป็นคริสตชนที่มีความเชื่อมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอนั่นเอง
พ่อยังขอถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์
กิจศรัทธาพิเศษที่เราจะประกอบพิธีที่วัดเซนต์หลุยส์ของเราในช่วงสัปดาห์หน้าด้วยซึ่งมีดังนี้คือ
การแห่พระรูปพระแม่มารีย์รอบวัดของเราในวันที่ 31 ตุลาคม จากนั้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน
ซึ่งตรงกับวันศุกร์ต้นเดือน เราจะมีพิธีมิสซาภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ ในเวลา 19.00
น. โดยที่ทางวัดจะจัดเตรียมสถานที่สำหรับการตั้งรูปถ่ายของผู้ล่วงลับไว้
บริเวณหน้าพระแท่น
พี่น้องสามารถนำรูปถ่ายของผู้ล่วงลับผู้เป็นที่รักของเรามาวางไว้บริเวณที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้
โดยที่จะมีกรรมการสภาภิบาลวัดของเราเป็นผู้อำนวยความสะดวก เพื่อเป็นการระลึกถึงดวงวิญญาณของท่านเหล่านั้นในคำภาวนาของเราทุกคน
การรำลึกถึงดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับที่จากเราไปแล้วนั้น
เป็นการเตือนใจเราให้มองเห็นถึงความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือ
ในคำแปลเดิมที่ว่า สหพันธ์นักบุญ นั้น ประกอบด้วย เรามนุษย์ที่ยังแสวงบุญอยู่ในโลกนี้
และ บรรดาวิญญาณในไฟชำระ และ บรรดานักบุญผู้อยู่ในสวรรค์แล้ว
มีบทบาทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยที่เรามนุษย์ภาวนาอุทิศกุศลเพื่อวิญญาณผู้ล่วงลับ
และเมื่อวิญญาณผู้ล่วงลับได้รับพระเมตตาเข้าสู่สวรรค์แล้ว
เขาก็จะวิงวอนพระเจ้าเพื่อเรามนุษย์ที่ยังอยู่ในโลกนั่นเอง
พ่อสุพจน์
................................................................................................................................................................
คำภาวนาสองบท
เรือลำหนึ่งจมลงในทะเลในขณะที่มีลมพายุ
มีชาย 2 คนเท่านั้นที่สามารถว่ายไปถึงเกาะเล็กๆ ได้
ผู้รอดชีวิตทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะทำอะไร
ต่างเห็นเหมือนกันว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสวดภาวนาต่อพระเจ้า
ด้วยความใคร่รู้ว่าคำภาวนาของใครจะศักดิ์สิทธิ์กว่า
เขาจึงตกลงแบ่งพื้นที่กันและแยกอยู่คนละฝั่งของเกาะ
สิ่งแรกที่เขาสวดภาวนาคือ ขออาหาร
เช้ารุ่งขึ้นชายคนแรกเห็นต้นไม้ในเขตของเขามีผลมากมาย
เขากินผลไม้เพื่อบรรเทาความหิว ชายอีกคนไม่เห็นผลไม้บนต้นไม้ในเขตของตนเลย
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ชายคนแรกรู้สึกเหงามาก
เขาจึงสวดขอภรรยา วันรุ่งขึ้นมีเรืออีกลำอับปาง ผู้รอดชีวิตมีคนเดียว
คือหญิงสาวซึ่งว่ายน้ำมาที่บริเวณชายฝั่งในเขตของชายคนแรก เขาได้เธอเป็นภรรยา
ส่วนอีกด้านหนึ่งชายคนที่สองยังไม่มีอะไรเลย
ต่อมาชายคนแรกภาวนาขอให้เขามีลูก
มีบ้าน และเสื้อผ้า วันรุ่งขึ้น เขาได้รับทุกอย่างตามที่เขาภาวนาขอ
ชายคนที่สองยังไม่ได้รับอะไรอีกเช่นเคย
ในที่สุด
ชายคนแรกสวดภาวนาขอให้มีเรือเพื่อเขาและครอบครัวจะได้ออกจากเกาะไป
รุ่งเช้าเขาก็พบเรือลำหนึ่งจอดที่ใกล้ๆ ฝั่ง
ชายคนแรกตัดสินใจเดินทางไปจากเกาะ
โดยเขาจะทิ้งชายคนที่สองไว้ที่เกาะแต่เพียงลำพัง
เนื่องจากคำภาวนาของชายคนที่สองไม่เกิดผลเลย
ชายคนแรกจึงคิดว่าชายคนที่สองเป็นคนไม่มีค่าพอจะได้รับพระพรอะไร
ขณะที่เขาจะขึ้นเรือและทิ้งชายคนที่สองไว้
เขาได้ยินเสียงจากสวรรค์ “ทำไมเจ้าทิ้งเพื่อนของเจ้าไว้”
ชายคนแรกตอบ “พระพรของข้าพระองค์เป็นของข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์เป็นผู้ภาวนา เมื่อคำภาวนาของชายอีกคน ไม่ได้รับคำตอบเลย
เขาก็ไม่สมควรได้รับพระพรใด”
“เจ้าเข้าใจผิด” เสียงจากสวรรค์ตำหนิเขา “ชายคนที่สองมีคำภาวนาเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราตอบคำภาวนาของเขา
และถ้าไม่ใช่เพราะคำภาวนาของเขา เจ้าก็จะไม่ได้รับพระพรเลย”
ชายคนแรกถาม “เขาสวดภาวนาขออะไรหรือข้าพระองค์
ถึงต้องเป็นหนี้บุญคุณเขา” พระเจ้าตรัสว่า “เขาภาวนาขอให้คำภาวนาของเจ้าเป็นจริง”
(คัดจากหนังสือเมล็ดพันธุ์
แห่งปรีชาญาณ เล่ม 3)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น