วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2015

พี่น้องที่รัก
ช่างเป็นภาพแห่งความทรงจำที่งดงามยิ่ง สำหรับการสมโภชพระกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เราทุกคนได้มีโอกาสเฉลิมฉลองการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูคริสตเจ้าในศีลมหาสนิท เรารำลึกถึงถ้อยคำที่พระองค์ตรัสสัญญากับเราว่า"เราจะอยู่กับท่านเสมอไป" และหนทางหนึ่งที่พระเยซูประทับอยู่กับเราคือ พระองค์ประทับอยู่กับเราในศีลมหาสนิทนั่นเอง ดังนั้นการแห่ศีลมหาสนิทจึงเป็นโอกาสที่เราได้ถวายเกียรติแด่พระเยซูเจ้าอย่างสมเกียรติของพระองค์ที่เราพึงกระทำได้อย่างเป็นรูปธรรมภายนอก ภาพแห่งความเชื่อศรัทธาที่เราแสดงออกด้วยการคุกเข่าหรือย่อเข่าลงกับพื้นเพื่อถวายความเคารพแด่ศีลมหาสนิทนั้นจึงเป็นภาพสะท้อนถึงความเชื่อของเราแต่ละคนที่มีต่อองค์พระเยซูเจ้าที่ประทับอยู่ในศีลมหาสนิทนั่นเอง ประเพณีการแห่ศีลมหาสนิทนี้จึงเป็นสิ่งที่พึงได้รับการสืบสานต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะกระทำได้ และถ้ายิ่งมีการเตรียมสถานที่และขั้นตอนพิธีอย่างเหมาะสมสวยงามมากเท่าใด ก็ยิ่งช่วยให้พี่น้องสัตบุรุษได้ซาบซึ้งในความเชื่อในองค์พระเจ้าที่เขามีในหัวใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น 
                2 ปีแล้ว บัดนี้คุณพ่อได้รับมอบหมายจากพระคุณเจ้า พระคาร์ดินัล เกรียงศักดิ์ ให้ไปศึกษาต่อ ในวิชาพระศาสนจักร ที่กรุงโรม และคุณพ่อวิทยามีกำหนดการที่จะเดินทางไปเพื่อเตรียมตัวเรียนภาษา ในเร็วๆนี้ แม้ว่าในระหว่างนี้คุณพ่อยังพักและช่วยงานที่วัดของเราต่อไปจนกว่าจะถึงวันเดินทางก็ตาม พ่อก็ขอเป็นตัวแทนพี่น้องทุกท่าน ขอบคุณคุณพ่อวิทยา เลิศทนงศักดิ์ ที่ได้มาทำหน้าที่ในฐานะผู้อภิบาลที่วัดของเราเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในงานหลายอย่างที่คุณพ่อรับผิดชอบ คือ กลุ่มเด็กช่วยมิสซา กลุ่มเยาวชน กลุ่มวิถีคริสตชน พลมารี งานด้านการสอนคำสอน ฯลฯ ดังนั้นวันอาทิตย์นี้ในมิสซารอบ 8.00 . จะมีตัวแทนคณะกรรมการสภาภิบาลกล่าวขอบคุณ และ แสดงความยินดีโอกาสฉลองนักบุญของคุณพ่ออย่างเป็นทางการ ขอพระเจ้าโปรดอำนวยพระพรให้คุณพ่อวิทยาประสบความสำเร็จในการศึกษา มีความลึกซึ้งในวิชาความรู้ เพื่อจะนำความรู้นั้นมาเป็นประโยชน์สำหรับพระศาสนจักรในอนาคตต่อไปครับ
สัปดาห์นี้เรามีเรื่องน่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งที่จะแจ้งให้พี่น้องทราบคือ คณะสงฆ์ คณะกรรมการสภาภิบาล และพี่น้องสัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์ทุกท่าน ถือโอกาสร่วมแสดงความยินดีโอกาสฉลองนักบุญอันตน ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของคุณพ่อวิทยา เลิศทนงศักดิ์ ซึ่งตามที่พี่น้องหลายท่านคงทราบมาบ้างแล้วว่า คุณพ่อวิทยา ซึ่งได้ช่วยงานอภิบาลที่วัดเซนต์หลุยส์ของเรามาเป็นเวลา

พ่อสุพจน์
.........................................................................................................................
พี่น้องที่รัก
อาณาจักรพระเจ้ายังเปรียบได้กับคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน จะหลับหรือตื่น จะกลางวันหรือกลางคืน เมล็ดนั้นก็งอกเติบโตขึ้นได้อย่างไร เขาไม่รู้ พลังดิน อากาศและน้ำ ทำให้เกิดผล แรกเป็นลำต้น มีใบ ออกรวง แล้วก็เกิดผลมากมาย ผู้หว่านเมล็ดก็ไปเก็บเกี่ยว คนเราทุกคนหว่านพืชก็ย่อมหวังผลกันทั้งนั้นแต่ก็จะเป็นความหมายที่ไม่ดีเลย ถ้าเป็นการให้ผลประโยชน์แก่ผู้อื่นเพื่อหวังผลตอบแทน และหากปลูกพืชโดยไม่หวังผลคงไม่ใช้ไม่ได้ หว่านอะไรหวังผลนั้นใช่ไหมนี่ ปลูกอ้อยตาลหวานล่ำฉ่ำชีวีปลูกผักชีโรยหน้าก็น่ากิน ปลูกมะม่วง จะไม่หวังกินผลมะม่วงหรอกหรือจ๊ะ
การปลูกพืชแล้วหวังผลมักเกิดกับพืชที่คาดหวังได้แน่นอน ไม่ว่าพืชที่ให้ใบไม้ดอก ผู้ที่รดน้ำพรวนดินย่อมหวังว่ามันจะเติบโตเปรียบกับการทำงานที่ทำย่อมหวังผลงาน แต่หาก การทำอะไรให้ใครทำโดยไม่หวังผล ทำโดยหวังว่าเราจะทำให้แก่เขาได้ดีที่สุดนั้นไม่เกี่ยวกับการหวังผลตอบแทนจึงจะเป็นสุขใจ ถ้าเราได้เมล็ดพันธุ์ไม้อย่างหนึ่งมา ไม่รู้ว่าเป็นอะไร มีดอกหรือมีผลหรือไม่ไม่รู้ เราเอามาปลูกเราจะหวังเอาอะไร...เราก็แค่เอาต้นที่มันงอกออกมา พอต้นโตมีผลหวานอร่อย ผลที่เกิดคือของแถมจากต้น เพราะเราไม่รู้ว่ามีผลหรือไม่มี    แต่พอเราไปปลูกต้นที่สอง จิตที่มีกิเลส รู้ว่ามันมีผลพลอยได้แล้ว ก็ไปจับผลพลอยได้เป็นอารมณ์ทันที กลายเป็นเจตนาปลูกเพื่อเอาผลพลอยได้ จิตตัวนี้แหละคือจิตกิเลสตัณหาที่ปรุงแต่งจิตมากขึ้นเรื่อยๆแล้วจะก่อให้เกิดความทุกข์ เมื่อไม่ได้ตามที่หวังพืชหวังผลตามที่ตนได้ทำ  แต่ความจริงใจยิ่งใหญ่และเป็นสิ่งมีค่าที่สุด หากคิดให้เพื่อรับคืนกลับมากรุณาขออย่าได้ทำความดีบริบูรณ์และความสำเร็จมาจากพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าทรงทดลองเราแต่ละคน ทรงยกบางคนให้สูงส่งแต่กลับลืมตัว มัวแต่หลงในอำนาจ ขาดความเชื่อในการรับใช้ผู้อื่น พระเจ้าจะปราบให้ต่ำลง ความเชื่อเป็นดุจดังเมล็ดมัสตาร์ด ที่ยอมตกลงในดิน ถูกเหยียบย่ำ แต่กลับบังเกิดผลเกิดคาด ผลแห่งความชอบธรรมเป็นกระบวนการช้าๆ มั่นคงและแน่นอน ซื่อสัตย์ รักและเปี่ยมด้วยสันติ และเริ่มต้นจากเมล็ดนั้นก่อนเสมอ ตัวเราเป็นเมล็ดอะไรกันแน่ คงไม่ใช่หนามยอกอก ที่ทำให้ผู้หว่านเมล็ดต้องเจ็บจนถึงตาย ทำให้อากาศเสีย และทำให้น้ำเป็นพิษ แต่จะต้องเป็นที่พึ่งพิงแก่บรรดานกในอากาศ ที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มากกว่าความขมขื่นใจ อย่าเทียบเปรียบพระศาสนจักรเป็นธุรกิจผลกำไร แต่ผลงานของพระที่ได้รับกลับต่างล้ำค่าชื่นฉ่ำดั่งแผ่นฟ้า ชีวิตเรามิใช่การขายให้สินเชื่อ หรือเราคือเหยื่อเนื้อคนอยู่บนเขียง เราไม่ใช่เจ้าหนี้มีศักดิ์ปักแถวเรียง แต่ตัวแท้ๆของเราคือศิษย์พระคริสต์ที่สละน้ำใจ เสี่ยงวัดใจที่ให้ไปหว่านพืชด้วยใจสะอาดไม่ไปเก็บอะไรจากใครเขามา แต่หว่านน้ำใจให้พึงพาลดคุณค่าของตนให้ด้อยที่สุด เพื่อพระจะได้ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรานี่แหละพระศาสนจักรชีวิต อาณาจักรของพระเจ้าบนโลก

พ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น