วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สารวัดอาทิตยที่ 12 สิงหาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            ช่วงเวลาประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสชื่นชมกับความสามารถของนักกีฬาจากทั่วโลกกันอย่างเต็มอิ่ม ในโอลิมปิกส์เกมส์ 2012 ที่จัดขึ้นที่กรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่กรุงลอนดอนได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพต้อนรับนักกีฬาจากประเทศต่างๆทั่วโลก นอกเหนือจากการแข่งขันกีฬาในประเภทต่างๆแล้ว คนทั่วโลกยังประทับใจกับพิธีเปิดที่งดงามตระการตา มีการตระเตรียมเรื่องราวที่สื่อให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของดินแดนแห่งนี้ สอดรับกับวัฒนธรรมประเพณีของประเทศเจ้าบ้าน รวมไปถึงการสื่อให้เห็นถึงอิทธิพลสำคัญที่สังคมอังกฤษมีต่อชาวโลก โดยเฉพาะในเรื่องบทเพลงสากลที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ที่เด่นๆที่สุดเห็นจะเป็นวงเดอะบีทเทิลส์กระมัง แต่สิ่งที่น่าชื่นชมประการหนึ่งก็คือ การนำเสนอมุขตลกของมีสเตอร์บีนสอดแทรกลงไปในพิธีเปิดในช่วงของการแสดงเพลง chariot of fire เพลงเมนทีมของโอลิมปิกส์เกมส์ในครั้งนี้ที่บรรเลงโดยวงลอนดอนซิมโฟนี่ออร์เคสตร้า ดูแล้วขำลึกได้แบบคลาสสิกตามสไตล์มีสเตอร์บีนละครับ
ไฮไลท์ที่สำคัญของทุกโอลิมปิก ก็คือจะจุดคบเพลิงกันอย่างไร แน่นอน มีการอุบไต๋เก็บงำเอาไว้เป็นความลับ เพื่อให้เกิดความทึ่งตื่นเต้นที่สุด คราวนี้ก็ทำได้สวยงามน่าทึ่ง เดาไม่ออก บอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว เพราะต้องมีการนำเอากรวยคบเพลิงที่แต่ละชาติค่อยๆถือออกมาในระหว่างที่เดินพาเหรดลงสนาม เอามาประกอบกันเข้าเป็นคบเพลิงนั่นแหละ เรียกว่าคนที่ออกไอเดียในการจุดคบเพลิงครั้งนี้คิดเอาไว้หลายชั้นหลายเชิงมากทีเดียว  เราได้เห็นภาพของนักกีฬาในอริยาบทที่แตกต่างกันมากมาย มีทั้งที่มีความยินดีเพราะประสบความสำเร็จกับชัยชนะ ได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง มีทั้งที่มีน้ำตา ร้องไห้ เพราะพลาดหวัง พ่ายแพ้ มีทั้งรอยยิ้ม มีทั้งหน้าเศร้า แต่โดยรวมแล้ว การมีโอกาสได้ไปร่วมแข่งขันกีฬาในเวทีระดับโอลิมปิกส์ก็นับว่าเป็นเกียรติยศสำหรับนักกีฬาทุกคนไม่น้อยอยู่แล้ว จึงน่าปรบมือให้กับนักกีฬาทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสร้างความสุขใจให้กับชาวโลก บนพื้นฐานของความมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ซึ่งเป็นสปิริตที่มนุษย์ทุกคนในโลกพึงมี
แม้จะดูชักช้าไปสักหน่อยที่กล่าวถึงโอลิมปิกส์ แต่ ก็ทำให้รำลึกถึงถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่จารึกไว้ในจดหมายนักบุญเปาโลถึงทิโมธี ฉบับที่สอง บทที่ 4 ข้อ 7-8 ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าต่อสู้มาอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าวิ่งมาถึงเส้นชัยแล้ว ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว เหลือเพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรมที่พระเจ้าจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น”  ชีวิตของเราคริสตชนแต่ละคนนั้น ต่างก็อยู่ในสนามแห่งการทดสอบในโลกนี้เพื่อรอวันที่จะได้รับรางวัลแห่งเกียรติมงคลที่พระเจ้าจะประทานให้กับผู้ที่สามารถรักษาความเชื่อมั่นคงในพระองค์ไว้จนถึงเวลาสุดท้ายที่เกมส์แห่งชีวิตจบลงนั่นแหละ โอกาสวันแม่ 12 สิงหาคม 2555 พ่อขอส่งความสุขความปรารถนาดีมายังคุณแม่ทุกๆท่านด้วยครับ

                                                                                                                        คุณพ่อสุพจน์
 .................................................................................................................................................................

บทบาทของพ่อแม่ในการช่วยฝึกลูกให้เป็นเด็กช่วยมิสซา (ต่อ)
สวัสดีครับพี่น้อง
พี่น้องน่าจะยังจำบรรยากาศกันได้ถึงพิธีการต้อนรับ แต่งตั้ง และรื้อฟื้นคำปฏิญาณของเด็กช่วยมิสซาวัดเซนต์หลุยส์ของเราเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนะครับ พ่อซาบซึ้งและภาคภูมิใจแทนพี่น้องที่ได้สละให้ลูกหลานของตนได้มาฝึกระเบียบ การอยู่นิ่งๆ การประพฤติที่สมควรต่อการเป็นเด็กช่วยมิสซา พ่อยังคิดว่าการเรียนพิเศษก็ยังจำเป็นนะ แต่การได้มาเป็นเด็กช่วยมิสซาอย่างนี้ก็ช่วยเสริมความสามารถในการเรียนรู้วิชาการต่างๆ ของเขาได้เหมือนกัน เพราะเมื่อสมาธิเกิด สติปัญญาก็เกิด ดังนั้นวันนี้พ่อจึงอยากจะแนะนำวิธีการและบทบาทของพ่อแม่ในการช่วยฝึกอบรมเป็นเด็กช่วยมิสซาต่อให้จบ
สามารถแขวนเก็บชุดช่วยมิสซา รัดประคด ถุงเท้าและรองเท้าอย่างเป็นระเบียบ
            คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกๆ ของท่านแขวนเสื้อผ้าของตัวเอง และเก็บถุงเท้ารองเท้าอย่างเป็นระเบียบเมื่อกลับมาบ้าน ทำได้อย่างนี้แล้วเขาจะแขวนชุดช่วยมิสซาอย่างเป็นระเบียบเช่นกัน
สามารถควบคุมปากให้เงียบ และรู้จักพูดเมื่อจำเป็นเท่านั้น
            ลูกๆ ของท่านจำเป็นต้องฝึกควบคุมปากของตนจากการพูดไร้สาระ วิพากษ์วิจารณ์ ถามในสิ่งที่ไม่สำคัญและไม่จำเป็น (เช่น ทำไมวันนี้คุณพ่อใส่ชุดสีเขียว เป็นต้น) หรือบ่นเกี่ยวกับมิสซา ควรรู้ว่าจะพูดได้ในตอนก่อนหรือหลังมิสซาเรื่องนี้ต้องการแบบอย่างและการสั่งสอนจากคนในบ้านนะครับ
รู้จักอยู่กับที่นั่งของตนบนพระแท่น ไม่ลุกเดินเข้าเดินออกหลังวัด หรือเข้าห้องน้ำ
            เมื่อลูกๆ ของท่านอยู่ตรงที่นั่งในวัด ฝึกให้เขาสามารถอยู่ในวัดได้ตลอดมิสซา ไม่ไปเข้าห้องน้ำก่อน หากเขาทำได้เมื่ออยู่ในที่นั่งกับพ่อแม่ (เมื่อยังไม่ได้เป็นเด็กช่วยมิสซา หรือไม่ได้ทำหน้าที่) เขาจะสามารถทำได้บนแท่นเหมือนกัน
ไม่ง่วงหลับในระหว่างมิสซา
            ฝึกฝนกับลูกๆ ของท่านให้สามารถตื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนได้ โดยที่พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องไปปลุก เริ่มจากที่นั่งในวัดของตนก่อน และหากทำได้ เขาก็จะทำบนแท่นได้เหมือนกัน อาจให้เขาได้นอนก่อนเริ่มต้นมิสซาให้ร่างกายสดชื่นก่อนก็ได้
ไม่ทำเสียงดังหนวกหูในห้องแต่งตัว ห้องซาคริสเตีย หรือในวัด
            ฝึกฝนลูกๆ ของท่านที่บ้าน ในห้างร้าน หรือในโบสถ์ ไม่พูดหรือตะโกนจนดังเกินไป โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันกับเพื่อน ให้เขาเรียนรู้จักการเคารพสถานที่ และเคารพผู้อื่น
ไม่พูดคุยหรือเล่นโทรศัพท์อีกหลังบทภาวนาของช่วยเด็กมิสซา
            หลังบทภาวนาแล้วถือเป็นเวลาที่ต้องเงียบ เพื่อเตรียมตัว สนทนากับองค์พระผู้เป็นเจ้า ฝึกให้เขารู้จักสงบเงียบ ไม่นำเอาโทรศัพท์หรือไอแพดมาเล่นในเวลามิสซา เริ่มจากที่นั่งของตนกับพ่อแม่ในมิสซาก่อน เมื่อเขาเห็นพ่อแม่มาเข้าวัดก่อนเพื่อสงบจิตใจสนทนากับพระเจ้า เขาจะเรียนรู้และปฏิบัติตามได้ไม่ยากเมื่อขึ้นมาช่วยมิสซา
            แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่จำเป็นต่อบทบาทการเป็นผู้รับใช้พระเจ้าบนพระแท่นของพวกเขา แต่เชื่อว่าพี่น้องเองก็สามารถฝึกฝนพวกเขาได้ตามความเหมาะสมเช่นกัน ขอย้ำบางประการว่า เมื่อมีการประชุมหรือสัมมนาเด็กช่วยมิสซานั้น ก็ขอพี่น้องเองได้ช่วยกันสนับสนุนอย่างที่เคยเป็นมานะครับ ขอให้พี่น้องมีความสุขกับการมาหาพระในวันอาทิตย์นะครับ
                                                                                    คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น