สวัสดีครับพี่น้อง
ประเพณีการฉลองวัด
ถือเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบร่ำโบราณ นับแต่อดีตสืบมาจนปัจจุบัน
สามารถกล่าวได้ว่า วันฉลองวัดเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในรอบปีของชุมชนแห่งความเชื่อนั้นๆ
ประการแรก
วันฉลองวัดเป็นการให้ความสำคัญกับวัดในฐานะที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมนุมผู้มีความเชื่อในพระเจ้าแห่งนั้นๆ
ซึ่งถือเป็นการเฉลิมฉลองประจำปีของหมู่บ้าน หรือ ของเมือง หรือ
สถานที่ที่วัดนั้นๆตั้งอยู่ วัดจะไม่มีความสำคัญใดๆเลย
ถ้าปราศจากสัตบุรุษที่มาร่วมกันสวดภาวนา ยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า
ดังนั้นการฉลองวัดจึงเป็นเสมือนการฉลองความเป็นหนึ่งเดียวกันของหมู่มวลสัตบุรุษอันได้แก่จิตใจของเราที่เปิดให้พระเจ้าเข้ามาครอบครองนั่นเอง ประการที่สอง การฉลองวัดเป็นโอกาสให้เราได้รำลึกถึงแบบอย่างของนักบุญองค์อุปถัมภ์ของวัดนั้นๆ
ซึ่งวัดของเราก็มีนักบุญหลุยส์ หรือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 กษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศส
เป็นองค์อุปถัมภ์ ท่านนักบุญได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่จากพระมารดา
ซึ่งมีนามว่า พระราชินี บลองซ์ เดอ คาสเตีย อิทธิพลของการปลูกฝังความเชื่อจากแม่ผู้มีความศรัทธามั่นคงในพระศาสนาเป็นผลให้
พระเจ้าหลุยส์ดำรงชีวิตเป็นคริสตชนที่ยึดมั่นในหลักธรรมที่พระเจ้าทรงสอน
และแน่นอนที่สุดชีวิตของผู้ที่แน่วแน่มั่นคงในคำสอนของพระเจ้า
แม้ว่าจะอยู่ในฐานะกษัตริย์ที่ปกครองประเทศ ก็ไม่ทำให้ท่านหันเหไปจากหนทางแห่งคุณงามความดี
ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมยิ่งนัก
เพราะหาได้ยากยิ่งนักที่จะพานพบกษัตริย์ที่ไม่หลงไหลไปกับอำนาจ คำสรรเสริญ
การยกย่อง การเอาอกเอาใจ ของผู้คนทั้งที่หวังดี และ ไม่หวังดี
พระเจ้าหลุยส์ได้อุทิศตนทำทุกสิ่งเพื่อพสกนิกร ดำรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม และ
เชิดชูศาสนา
ทำให้ต่อมาท่านได้รับการขนานนามยกย่องว่าท่านคือนักบุญของพระศาสนจักรคาทอลิก
นี่จึงเป็นข้อคิดสำหรับเราๆท่านๆว่า การให้ความสำคัญในการปลูกฝัง
ถ่ายทอดความเชื่อของพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกนั้นเป็นสิ่งที่ทุกครอบครัวต้องสืบสานมรดกล้ำค่านี้ไปสู่รุ่นต่อไปให้ได้
ครอบครัวทุกครอบครัวต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
โอกาสฉลองวัดเซนต์หลุยส์ของเราในปีนี้
พ่อถือโอกาสนี้ต้อนรับสัตบุรุษจากวัดต่างๆที่มาร่วมฉลองวัดของเรา
และขอขอบคุณพี่น้องสัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์ทุกท่าน ที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุน และ
ช่วยเหลือการจัดการฉลองวัดของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งด้วยกำลังกาย และ
ด้วยกำลังคำภาวนา
เพื่อให้งานฉลองวัดของเราสำเร็จเป็นไปเกิดผลเป็นพระพรของพระเจ้าที่หลั่งไหลมาสู่เราทุกคนทั่วหน้าด้วยเถิด
ขอนักบุญหลุยส์ กษัตริย์
องค์อุปถัมภ์ของวัดของเราได้เสนอวิงวอนพระเจ้าเพื่อเราทุกคนเทอญ
คุณพ่อสุพจน์
............................................................................................................
คำภาวนาสองบท
เรือลำหนึ่งจมลงในทะเลในขณะที่มีลมพายุ
มีชายสองคนเท่านั้นที่สามารถว่ายไปถึงเกาะเล็กๆได้
ผู้รอดชีวิตทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะทำอะไร
ต่างเห็นเหมือนกันว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสวดภาวนาต่อพระเจ้า
ด้วยความใคร่รู้ว่าคำภาวนาของใครจะศักดิ์สิทธิ์กว่า
เขาจึงตกลงแบ่งพื้นที่กันและแยกกันอยู่คนละฝั่งของเกาะ
สิ่งแรกที่เขาสวดภาวนาคือขออาหาร
เช้าวันรุ่งขึ้นชายคนแรกเห็นต้นไม้ในเขตของเขามีผลมากมาย
เขากินผลไม้เพื่อบรรเทาความหิว ชายอีกคนไม่เห็นผลไม้บนต้นไม้ในเขตของตนเลย
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ชายคนแรกรู้สึกเหงามาก เขาจึงสวดขอภรรยา
วันรุ่งขึ้นมีเรืออีกลำอับปาง ผู้รอดชีวิตมีคนเดียว
คือหญิงสาวซึ่งว่ายน้ำมาที่บริเวณชายฝั่งในเขตของชายคนแรก เขาได้เธอเป็นภรรยา
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ชายคนที่สองยังไม่มีอะไรเลย
ต่อมาชายคนแรกภาวนาขอให้เขามีลูก มีบ้าน และเสื้อผ้า
วันรุ่งขึ้น เขาได้รับทุกอย่างตามที่เขาภาวนาขอ
ชายคนที่สองยังไม่ได้รับอะไรอีกเช่นเคย ในที่สุด
ชายคนแรกสวดภาวนาขอให้มีเรือเพื่อเขาและครอบครัวจะได้ออกจากเกาะไป รุ่งเช้า
เขาก็พบเรือลำหนึ่งจอดที่ใกล้ๆฝั่ง ชายคนแรกตัดสินใจเดินทางไปจากเกาะ
โดยเขาจะทิ้งชายคนที่สองไว้ที่เกาะแต่เพียงลำพัง
เนื่องจากคำภาวนาของชายคนที่สองไม่เกิดผลเลย
ชายคนแรกจึงคิดว่าชายคนที่สองเป็นคนไม่มีค่าพอจะได้รับพระพรอะไร
ขณะที่เขาจะขึ้นเรือและทิ้งชายคนที่สองไว้
เขาได้ยินเสียงจากสวรรค์ “ทำไมเจ้าทิ้งเพื่อนของเจ้าไว้” ชายคนแรกตอบ “พระพรของข้าพระองค์เป็นของข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์เป็นผู้ภาวนา เมื่อคำภาวนาของชายอีกคนไม่ได้รับคำตอบเลย
เขาก็ไม่สมควรได้รับพระพรใด”
“เจ้าเข้าใจผิด” เสียงจากสวรรค์ตำหนิเขา “ชายคนที่สองมีคำภาวนาเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราตอบคำภาวนาของเขา
และถ้าไม่ใช่เพราะคำภาวนาของเขา เจ้าก็จะไม่ได้รับพระพรเลย”
ชายคนแรกถาม “เขาสวดภาวนาขออะไรหรือข้าพระองค์ถึงต้องเป็นหนี้บุญคุณเขา”
พระเจ้าตรัสว่า “เขาภาวนาขอให้คำภาวนาของเจ้าเป็นจริง”
คัดจากหนังสือเมล็ดพันธุ์แห่งปรีชาญาณเล่ม3