พี่น้องที่รัก
วันนี้ขอนำเรื่องเล่าน่าอ่าน มาฝากพี่น้องอีกสักเรื่องนะครับ
เรื่องนี้มีชื่อว่า "คุณค่า" เรื่องมีอยู่ว่า.....
ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยและแทบไม่มีค่าอะไร
เขาได้รับเสียงวิจารณ์และคำตำหนิในทุกสิ่งที่เขากระทำ ไม่ว่าเขาจะทำกิจการต่างๆ ด้วยคามตั้งใจดีเพียงใด
ก็ยังคงมีจุดอ่อนให้ถูกตำหนิจากคนรอบข้างอยู่เสมอ
วันหนึ่งเขาทราบว่ามีอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์มาที่หมู่บ้านของเขา
เขารีบเดินทางไปยังที่พักของอาจารย์
เพื่อขอคำแนะนำจากท่านว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ชีวิตของเขามีคุณค่า
อาจารย์นั่งฟังเขาด้วยความตั้งใจ
และมองดูเขาด้วยสายตาแห่งความเมตตาพลางกล่าวกับเขาว่า
"ก่อนที่อาจารย์จะช่วยเจ้า อาจารย์อยากวานให้เจ้าทำอะไรบางอย่างให้อาจารย์"
พลางถอดแหวนวงหนึ่งออกจากนิ้วนางข้างขวาของอาจารย์มอบให้กับชายหนุ่มนำแหวนวงนี้ไปขายให้ได้ราคาหนึ่งเหรียญทองคำ
แล้วกลับมาหาอาจารย์ อาจารย์จะบอกถึงเคล็ดลับของชีวิตที่มีคุณค่าให้เขา
ชายหนุ่มรับแหวนจากอาจารย์แล้วรีบเดินทางไปในเมืองทันที
เมื่อพบชาวเมืองเขาเสนอขายแหวนของอาจารย์ทันที
ชาวเมืองส่วนใหญ่ที่เห็นแหวนต่างก็บอกว่าแหวนวงนี้ไม่มีค่าอะไร น่าจะเป็นของปลอม
บางคนบอกว่าในสายตาของเขา ราคามันต่ำมาก แค่ 100 เบี้ยน่าจะเป็นราคาที่เหมาะสม
บางคนบอกว่าราคาแค่หนึ่งเหรียญทองแดงก็มากเกินไปแล้ว
มีเพียงชายชราท่าทางใจดีคนหนึ่ง เสนอราคาแหวนให้เขาถึงหนึ่งเหรียญเงิน
เขาพยายามขายแหวนของอาจารย์จนถึงเวลาเย็น แต่ก็ไม่ได้ตามราคาที่อาจารย์ต้องการ
เขาจึงเดินทางกลับไปหาอาจารย์ด้วยความผิดหวัง
เขาขอโทษอาจารย์ที่เขาทำงานที่อาจารย์มอบหมายให้ไม่สำเร็จ
หรือว่าคุณค่าของแหวนวงนั้นมันมีราคาไม่ถึงหนึ่งเหรียญทองคำ
อาจารย์ยิ้มและกล่าวกับเขาว่า
"จะมีใครที่รู้คุณค่าที่แท้จริงของแหวนวงนี้ดีเท่ากับช่างเพชร เจ้าจงไปหาช่างเพชรของหมู่บ้านนี้
และให้เขาลองประเมินราคาแหวนวงนี้ดู แล้วกลับมาบอกอาจารย์"
ชายหนุ่มรีบไปหาช่างเพชรประจำหมู่บ้าน ช่างเพชรเมื่อเห็นแหวนวงนั้น
สายตาของเขาเป็นประกายด้วยความชื่นชม
“แม้ตัวแหวนจะทำจากวัสดุไม่มีค่าอะไร แต่เพชรเม็ดที่อยู่บนแหวนมีค่าอย่างน้อยถึง
60 เหรียญทองคำ แหวนวงนี้มีค่ามากๆ พ่อหนุ่ม"
เมื่อเขานำแหวนกลับมาคืนอาจารย์
และเล่าเรื่องที่ช่างเพชรประจำหมู่บ้านบอกกับเขา ให้อาจารย์ฟัง
อาจารย์ยิ้มให้เขาและกล่าวกับเขาว่า
“ชีวิตของพ่อหนุ่มเปรียบเหมือนแหวนเพชรวงนี้ ดูภายนอกอาจจะดูไร้ค่า
แต่จริงๆแล้ว มันมีคุณค่าสูงยิ่ง
มีเพียงผู้เชี่ยวชาญจึงสามารถตัดสินและมองเห็นถึงคุณค่าของมัน
แล้วทำไมพ่อหนุ่มจึงต้องพยายามให้ทุกคนมองเห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของพ่อหนุ่มเล่า"
ข้อคิด
ถ้าทำอะไรแล้ว จงทำให้ดีที่สุด และจงมั่นใจในสิ่งที่คุณทำ
ความบกพร่องเล็กๆน้อยๆ และคำวิจารณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่ได้ลดคุณค่าของคุณ
ถ้าคุณไม่ลดคุณค่าของตนเอง คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคนมีคุณค่ามากเพียงไหน
เพราะพระเยซูเจ้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงเสด็จมาบังเกิดอย่างยากจน รับทุกข์ทรมาน
สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก็เพื่อไถ่บาปของคุณ
เราจงมองเห็นคุณค่าของตนเอง มองเห็นคุณค่าของกันและกัน ด้วยความคิด วาจา
และกิจการ เหมือนดังที่พระเยซูเจ้าทรงเห็นคุณค่าของชีวิตของพวกเราทุกคนเถิด
พ่อสุพจน์
............................................................................
อาทิตย์ที่ 5 ก.พ 60
ภาพของเกลือและแสงสว่างที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงใช้นี้ มีความหมายและเสริมให้สมบูรณ์ซึ่งกันและกัน
ในสมัยโบราณเกลือและแสงสว่างถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตมนุษย์ “ท่านเป็นเกลือดองแผ่นดิน”
หน้าที่สำคัญของเกลือเป็นเครื่องปรุงให้รสชาติแก่อาหาร
ภาพเปรียบเทียบนี้เตือนเราว่า โดยทางศีลล้างบาปนั้น ตัวเราได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง
เพราะได้รับการ “ปรุง” ด้วยชีวิตใหม่ที่มาจากพระคริสตเจ้า
(เทียบ รม. 6,4) เกลือคือพระหรรษทานแห่งศีลล้างบาป
ซึ่งรักษาความเป็นคริสตชนให้มีรสชาติไว้
แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ฝักใฝ่ทางโลกอย่างมาก
พระหรรษทานนี้ทำให้เรามีชีวิตในพระคริสตเจ้าและสามารถตอบรับการเรียกของพระองค์
เพื่อ “ถวายร่างกายของท่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต
ที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (เทียบ รม. 12,1)
นักบุญเปาโลได้เขียนจดหมายถึงชาวโรม
กระตุ้นให้พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าวิธีการดำเนินชีวิตและวิธีการคิดของพวกเขานั้นแตกต่างจากผู้คนในสมัยนั้น
“อย่าคล้อยตามความประพฤติของโลกนี้
แต่จงวินิจฉัยว่าสิ่งใดเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
สิ่งใดดีและสิ่งใดเป็นที่พอพระทัยอย่างสมบูรณ์” (รม. 12,2) นานมาแล้วที่เกลือเป็นสิ่งที่ใช้ถนอมอาหาร
ในฐานะที่เราเป็นเกลือดองแผ่นดิน
เราได้รับเรียกให้รักษาความเชื่อที่เราได้รับมาเพื่อส่งต่อให้คนอื่นในสภาพที่สมบูรณ์
คนรุ่นเดียวกับเราได้รับการท้าทายอย่างจริงจังให้ดำรงรักษามรดกแห่งความเชื่อที่สมบูรณ์ไว้
(เทียบ 2ธส. 2,15; 1ทธ. 1,14)
จงค้นหารากแห่งการเป็นคริสตชนของเรา
เรียนรู้ประวัติศาสตร์พระศาสนจักร
ทำให้ความรู้ของเราเรื่องมรดกฝ่ายจิตที่เราได้รับถ่ายทอดมานั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น
จงตามรอยบรรดาประจักษ์พยานชีวิตและครูอาจารย์ที่ได้ล่วงหน้าเราไปก่อนแล้ว
โดยอาศัยความซื่อสัตย์ต่อพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าและพันธสัญญาที่พระคริสต์ได้ประทับตราด้วยพระโลหิตของพระองค์บนกางเขนเท่านั้น
ที่จะทำให้เราเป็นสานุศิษย์และเป็นพยานแห่งสหัสวรรษใหม่ได้แสวงหาสิ่งสูงสุด
ความหมายและความบริบูรณ์ของชีวิต จงอย่าพอใจอยู่แค่สิ่งไร้ค่าที่ด้อยกว่าอุดมการณ์อันสูงส่งนี้
อย่าปล่อยตัวของเราให้จมอยู่ในความสิ้นหวังที่มาจากคนที่สิ้นหวังในชีวิตแล้ว
พวกเขากลายเป็นคนที่ไม่ได้ยินความปรารถนาอันลึกซึ้งและแท้จริงที่สุดของหัวใจ
เราทำถูกแล้วที่ไม่หลงระเริงไปกับความสนุกสนานที่ว่างเปล่า
ไม่ตามแฟชั่นชั่วครู่ชั่วยาม และเป้าหมายที่ไร้คุณค่า
ถ้าเรารักษาความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ได้
เราจะรู้จักหลีกเลี่ยงความไร้สาระและการเลียนแบบที่ไม่เหมาะสมซึ่งแพร่หลายมากในสังคมของเรา
สัญลักษณ์แห่งความสว่างทำให้ความปรารถนาในความจริงและความกระหายที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์ในความรู้ที่ได้
ถูกจารึกไว้ในส่วนลึกที่สุดของมนุษย์ปรากฎในหัวใจที่ซื่อสัตย์ของเราที่มีต่อพระเจ้า
ประดุจเกลือที่รักษาพระวาจาของพระเจ้าไว้ ดองโลกให้มั่นคงในความดีและความสว่างของพระเจ้าตลอดไป
พ่อพงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น