พี่น้องที่รัก
เคยมีคนถามคุรุเทพรพินทรนาถ ฐากุร นักปรัชญาของอินเดีย 3 คำถามว่า
ข้อที่ 1 ในโลกนี้สิ่งใดที่ง่ายที่สุด?
ข้อที่ 2 ในโลกนี้สิ่งใดที่ยากที่สุด?
ข้อที่ 3 ในโลกนี้สิ่งใดยิ่งใหญ่ที่สุด?
คุรุเทพรพินทรนาถ ฐากุรตอบเขาว่า
ตำหนิคนอื่นง่ายที่สุด
รู้จักตัวเองยากที่สุด
ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
เรื่องข้างต้นนี้ยืนยันอีกครั้งว่า ความรักเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
คำสอนของพระเยซูเรื่องความรัก จึงเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะเราไม่สามารถประเมินค่าความรักออกมาเป็นตัวเงินได้เลย
เพราะมันจะมีตัวเลขที่ประมาณค่าไม่ได้ การที่มนุษย์มอบความรักให้กับกันและกัน
จึงเป็นการมอบคุณค่าที่มีราคามหาศาลให้กับผู้อื่น
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วให้เรามามอบความรักให้กับกันและกันเถิด
เพราะความรักนั้นไม่ต้องซื้อหา แถมยังให้ความรักกันได้ไม่รู้จักหมด เพราะความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งให้ยิ่งมี
ยิ่งให้ยิ่งได้รับกลับคืน
พ่อสุพจน์
.........................................................................................................
พระเยซูทรงปรับปรุงให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์
แต่ไม่ได้ทรงลบล้างนั้น หมายความว่าอะไร?
“อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ
เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีด ๆ หนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ
จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว” ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรง
"ลบล้าง" ธรรมบัญญัติแล้ว มันก็ยังคงเป็นพันธะผูกพันอยู่ ถ้าเช่นนั้น
เรื่องอื่นๆ ที่ประกอบดังเช่น การยึดถือวันสะบาโตต้องยังคงปฏิบัติอยู่
บางทีพร้อมกับเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในธรรมบัญญัติของโมเสส
สมมติฐานนี้เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดคำสอนและเจตนาของพระธรรมตอนนี้
ตรงนี้พระคริสต์ไม่ได้ทรงแนะนำให้การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสสให้มีผลคงอยู่ตลอดไป
มุมมองดังกล่าวจะขัดแย้งกับทุกสิ่งที่เราเรียนจากความสมดุลในพันธสัญญาใหม่ (โรม 10:4) “เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ
เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม” (กาลาเทีย3:23-25) “ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้
ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏ
เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา
เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว
เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว” (เอเฟซัส2:15)
“คือการเป็นปฏิปักษ์กันโดยในเนื้อหนังของพระองค์
ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ
เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์
เช่นนั้นแหละจึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข”
ความสำคัญพิเศษในการศึกษาเรื่องนี้คือ เพื่อชี้แจงให้เข้าใจคำว่า
"ลบล้าง" มันแปลจากคำภาษากรีกkataluoหมายความตามตัวอักษร "ปล่อยวางลง"
เราพบคำนี้สิบเจ็ดครั้งในพันธสัญญาใหม่
ตัวอย่างคำนี้ถูกใช้ตอนที่ชาวโรมันทำลายล้างพระวิหารของชาวยิว (มัทธิว26:61)
ว่า “คนนี้ได้ว่าเขาสามารถจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า
และจะสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน” (มัทธิว27:40)
ว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ
จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้าจงลงมาจากกางเขนเถิด” (กิจการ 6:14) “เพราะเราได้ยินเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธจะทำลายสถานที่นี้
และจะเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสให้ไว้แก่เรา” คำนี้ใช้เมื่อเวลาทำให้ร่างกายมนุษย์ยุบสลายไปเมื่อตายแล้ว(2โครินธ์5:1) “เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย
เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์
และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์” พระเยซูไม่ได้เสด็จมาในโลกนี้เพื่อพระประสงค์จะกระทำการเป็นปฏิปักษ์กับธรรมบัญญัติ
พระประสงค์ของพระองค์ไม่ใช่เพื่อปกป้องการทำให้สมบูรณ์ แต่พระองค์ทรงยกย่องนับถือ ผู้มีใจรัก
เชื่อฟัง และเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์
ทรงกระทำให้คำพยากรณ์ตามธรรมบัญญัติที่เกี่ยวกับพระองค์เองสำเร็จสมบูรณ์ พระเยซูทรงทำให้พิธีการถวายเครื่องบูชาสำเร็จครบถ้วน
ทรงทำให้ธรรมบัญญัติด้านอื่นสมบูรณ์ไปด้วย ความตายของพระเยซูแทนความหมายการทำพิธีถวายบูชา
นั่นก็ยังหมายถึงด้านอื่น ๆ ของธรรมบัญญัติด้วยชีวิตแห่งการเป็นพยานความจริง
พ่อพงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น