พี่น้องที่รัก
เดือนตุลาคมกำลังจะผ่านพ้นไปอีกไม่นานนัก
พ่อเชื่อว่าตลอดเดือนนี้พี่น้องคงได้มีโอกาสสวดลูกประคำกันมากขึ้น สายประคำนำชีวิต
การสวดสายประคำจะช่วยให้เรามีใจผูกพันกับพระเจ้ามากขึ้นโดยอาศัยความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารีย์
เพราะทุกทศของสายประคำเราจะมีโอกาสได้รำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกประการต่างๆขององค์พระเยซูเจ้า
อย่างใกล้ชิด นั่นหมายความว่า ชีวิตของพระองค์อยู่ต่อหน้าเราตลอดเวลา
ทั้งในการมาบังเกิด ทั้งในการเจริญวัยของพระองค์
ทั้งในช่วงเวลาของการเทศน์สอนประชาชนของพระองค์ ทั้งในการรับทนทรมานการสิ้นพระชนม์
และ การกลับคืนชีพขององค์พระเยซูเจ้า ดังนั้นเมื่อเราสวดสายประคำ
นอกเหนือจากการที่เราจะฝากชีวิตของเราไว้ในความคุ้มครองของแม่พระแล้ว
ชีวิตของเรายังผูกพันแนบชิดกับพระเยซูคริสตเจ้า
องค์พระผู้ไถ่ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งลงมาเพื่อประทานความรอดพ้นอันเป็นชีวิตนิรันดรให้กับเราทุกคนด้วย
เพราะฉะนั้นขอเชิญชวนพี่น้องได้สวดสายประคำเสมอไม่เพียงแต่ในเดือนตุลาคมนี้
แต่เรื่อยๆไปในชีวิตของความเป็นคริสตชนของเราทุกคน
นอกจากนี้วันสุดท้ายของเดือนคือ
วันที่ 31 ตุลาคม
พ่ออยากเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาร่วมกันเทิดเกียรติพระนางมารีย์แม่พระของเราเป็นพิเศษสักครั้งในรอบปี
เพราะวันนั้นเป็นวันปิดเดือนแม่พระแห่งลูกประคำ ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันจันทร์
แม้ว่าพี่น้องหลายท่านจะต้องไปทำงาน เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน
แต่ถ้าพี่น้องรักแม่พระด้วยหัวใจ
พ่อคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะจัดเวลาให้กับพระนางมารีย์
ความตั้งใจของเราคือจัดพิธีการแห่แหนพระรูปของพระนางมารีย์รอบวัดของเรา
ถ้าฝนฟ้าไม่ตก ถ้าถนนหนทางเป็นใจ เราคงได้มีโอกาสเดินตามพระรูปพระแม่มารีย์รอบวัดของเรา
เป็นประดุจว่าเส้นทางชีวิตของเรามีพระนางมารีย์คอยนำทางเราเสมอ
พ่อเชื่อว่าพี่น้องคงมาร่วมในพิธีดังกล่าวกันมากหน้าหลายตาครับ พิธีจะเริ่มเวลา 19.00
น. ด้วยการสวดสายประคำ
หลังจากนั้นจะเป็นพิธีบูชาขอบพระคุณ ตามด้วยพิธีแห่
อีกวันหนึ่งที่พ่ออยากเชิญชวนเป็นพิเศษคือ
วันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ
ซึ่งในปีนี้เป็นพิเศษเราจะอุทิศถวายคำภาวนาเป็นพิเศษเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ 9 ของเรา
นอกจากนี้เราจะภาวนารำลึกถึงดวงวิญญาณของญาติพี่น้องของเราที่ล่วงลับไปแล้วด้วย
พี่น้องสามารถนำรูปของญาติพี่น้องผู้ล่วงลับมาวางไว้บริเวณหน้าพระแท่นด้วย
พิธีจะเริ่มเวลา 19.00 น. เช่นกันครับ
สัปดาห์ดังกล่าวเราคงได้มาวัดกันหลายครั้งหน่อยครับ
พ่อรีบออกมาประกาศเชิญชวนกันแต่เนิ่นๆ
เพื่อว่าพี่น้องจะได้ลงหมายนัดกับแม่พระของเราไว้แต่เนิ่นๆเช่นกัน ธุระปะปังอื่นๆ
ขอหลีกทางให้กับนัดหมายสำคัญสองวันนี้ก่อนนะครับ
พ่อสุพจน์
................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
ในสมัยพระเยซูเจ้า
ชาวฟาริสีเป็นคนศรัทธาในศาสนามาก พวกเขาเป็นผู้มีความเชื่อที่ปฏิบัติศาสนกิจอย่างสม่ำเสมอและถือตามบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด
บ่อยครั้งพวกเขาทำ มากกว่าข้อเรียกร้องของบทบัญญัติเสียอีก พวกเขาจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวัน
คือวันจันทร์และวันพฤหัสบดี
แม้บทบัญญัติเรียกร้องให้ประชาชนจำศีลอดอาหารเพียงปีละหนึ่งวันเท่านั้นคือในวันชดเชยบาปพวกเขายังถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดแด่พระเจ้าอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
ในอุปมาวันนี้ชาวฟาริสีไม่ได้ล้อเล่น
เมื่อเขาพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น ที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี
หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้
ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวันและถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า”
(ลก 18:11-12) เราจะเห็นว่าชาวฟาริสีมีมาตรฐานทางศีลธรรมค่อนข้างสูง
ส่วนคนเก็บภาษีถูกมองว่าเป็นคนที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมต่ำ
เพราะพวกเขาทำงานให้กับรัฐบาลชาวโรมัน ซึ่งเป็นคนต่างชาติยอมก้มหัวให้กับผู้รุกราน
แสวงหาผลประโยชน์และทรยศต่อเพื่อนร่วมชาติ โดยเรียกเก็บภาษีเกินพิกัดเพื่อเข้ากระเป๋าตนเอง
ในสายตาของชาวยิวพวกเขาจึงถูกถือว่าเป็นคนบาปที่ต้องตกนรกอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม
คนเก็บภาษีทั้งหลายรู้ดีว่าเสียงของประชาชนไม่ใช่เสียงของพระเจ้าเสมอไป
พวกเขายังคงหวังที่จะได้รับความรอดพ้นเหมือนคนอื่น แม้ไม่ใช่โดยทางความครบครันด้านชีวิตฝ่ายจิตของตนเอง
แต่โดยทางพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระเจ้า อันที่จริงการเชื่อในพระเจ้าอย่างเดียวไม่ช่วยใครให้รอดพ้น
นักบุญยากอบบอกเราว่า “แม้พวกปีศาจก็เชื่อเช่นนั้นและยังกลัวจนตัวสั่นด้วย”
(ยก 2:19) สิ่งสำคัญคือ เราเชื่ออะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเพราะว่าความเชื่อนั้นจะมีผลกระทบต่อตัวเราเอง
ชาวฟาริสีเชื่อว่า “พระเจ้ารักคนดีและเกลียดชังคนชั่ว”
ดังนั้น พวกเขาจึงประพฤติตนตามที่ตัวเองเชื่อ
คือพวกเขาจะรักเฉพาะคนดีตามแบบฉบับของพวกเขาเท่านั้นและดูถูกเหยียดหยามคนชั่วและคนบาปเหมือนคนเก็บภาษี
พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้ชาวฟาริสีฟังเพราะพวกเขา “ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรมและดูหมิ่นผู้อื่น” (ลก
18:9)
อีกด้านหนึ่ง
คนเก็บภาษีไม่ได้วางใจในตนเองหรือในสิ่งที่พวกเขาได้ทำ
แต่ไว้วางใจในพระเมตตาของพระเจ้า เมื่ออยู่ในพระวิหาร เขา “ยืนอยู่ห่างออกไป
ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ข้อนอก พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้าโปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด”
(ลก 18:13)
นี่แหละคือคนที่กลับไปบ้านด้วยความสุขใจในความรักของพระเจ้า
ไม่ใช่ชาวฟาริสีที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ชอบธรรม วันนี้เราเข้ามาในพระวิหารของพระเจ้า
เพื่อนมัสการและอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ เมื่อพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้สิ้นสุดลง เราหวังที่จะกลับไปบ้านด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยสันติสุขในพระองค์
ให้เราเรียนรู้เคล็ดลับการนมัสการและการอธิษฐานภาวนาที่สบพระทัยของพระเจ้าจากคนเก็บภาษี
ให้เรามั่นใจในความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ ไม่มีบาปใดที่พระองค์อภัยให้เราไม่ได้
ในเวลาเดียวกันเราต้องตระหนักถึงความผิดบาปของเราและมอบตนเองไว้ในพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระองค์
อย่าดูหมิ่นเพื่อนพี่น้องที่เป็นคนบาปของเรา แต่พยายามช่วยพวกเขาให้พบพระเจ้า
เหมือนคนเก็บภาษีช่วยเราให้ค้นพบความรักและพระเมตตาของพระองค์ในวันนี้ จำคำของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ให้ดี
“ผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง
ผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” (ลก 18:14)
คุณพ่อพงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น