วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                พี่น้องครับ หลายคนชอบอ่านเรื่องสั้นสอนใจ ชี้นำคุณธรรม ให้บทเรียนกับชีวิต วันนี้พ่อเลยนำเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่อ่านเจอมาฝากครับ เรื่องนั้นมีชื่อว่า "เหนือฟ้ายังมีเทวดา ... ผู้กล้าสอนขงจื๊อ"
                ขงจื๊อ นั่งดีดพิณร้องเพลง ระหว่างการท่องเที่ยวป่าดำ ชายชราคิ้วขาวหนวดขาวยาวย้อยต่ำ ผมขาวกระจายคลุมไหล่ สองมือยัดใส่แขนเสื้อ ขึ้นจากเรือเดินเข้ามา ได้ยินเสียงเพลงก็นั่งคุกเข่า มือเท้าคาง นั่งฟังอย่างตั้งใจ เพลงจบ... พอรู้ว่าเป็นขงจื๊อ ผู้แสวงหาทางการเมือง หยีฟู่ก็หัวร่อ กล่าวว่า "ที่เขาเหนื่อยยากถึงปานนี้ ก็น่ายกย่อง แต่ถ้าเขาขืนทำเช่นนี้ต่อไป ก็น่ากลัวว่าเขาจะห่างไกลจากมรรคออกไปทุกวัน" แล้วก็เดินจากไป เมื่อขงจื๊อทราบ ก็ผลักพิณไปข้างหนึ่ง บอกศิษย์ว่า "ชาวประมงคนนั้นเป็นคนมีสติปัญญาล้ำเลิศ" แล้วก็เดินตามไปทันหยีฟู่แล้วบอกว่า "ถ้อยคำที่ท่านพูดสักครู่ ดูจะยังไม่จบ ข้าพเจ้าโง่เขลา ใคร่ขอฟังคำสอนจากท่านอีก"
                หยีฟู่ : "ท่านนับเป็นคนรักการศึกษา"
                ขงจื๊อ : "ข้าพเจ้ารักการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เวลานี้มีอายุ 69 ปีแล้ว"
                หยีฟู่ : "คนเรามีโรคร้าย 8 ประการ มีความทุกข์ 4 ประการ จะไม่สนใจมิได้ นั่นคือ..
                                1. ทำในสิ่งที่ท่านไม่ควรทำ นี่เรียกว่า... "แส่เสือก"
                                2. คนอื่นเขาไม่เชื่อในถ้อยคำของท่าน แต่ท่านก็พูดไม่รู้จบ นี่เรียกว่า..."เพ้อพล่าม"
                                3. เดาใจของผู้อื่น พูดในสิ่งที่ผู้อื่นเขาอยากจะฟัง นี่เรียกว่า..."ประจบ"
                                4. ไม่รู้ดีชั่ว เออออตามคนอื่นเขา นี่เรียกว่า... "สอพลอ"
                                5. ชอบนินทาความผิดของผู้อื่น นี่เรียกว่า... "ใส่ไคล้"
                                6. ทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่น นี่เรียกว่า... "ยุแยง"
                                7. ยกย่องคนชั่ว ขับไสคนที่เกลียดชัง นี่เรียกว่า... "เจ้าเล่ห์"
                                8. ไม่แยกดีชั่ว ทำดีกับสองฝ่าย เพื่อให้เขาชอบ นี่เรียกว่า... "กลิ้งกลอก"
                หยีฟู่สรุปว่า "โรคร้ายทั้ง 8 ประการนี้ ต่อภายนอกก็ก่อกวนคนอื่น ต่อภายในก็ทำร้ายตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ผู้มีสติปัญญามิยอมชิดใกล้"
                "ถ้าเช่นนั้น ที่ว่าความทุกข์ 4 ประการนั้นเล่า คืออย่างไร?" ขงจื๊อ ถามต่อ
                หยีฟู่กล่าว นั่นคือ
                1. คิดจะทำแต่เรื่องใหญ่ เพื่อหาชื่อเสียง นี่เรียกว่า... "มักใหญ่"
                2. ทำเป็นอวดฉลาด ทำอะไรตามใจชอบ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเอง ไม่คำนึงถึงการล่วงเกินผู้อื่น นี่เรียกว่า... "ถือดี"
                3. มองเห็นความผิดของตน แต่ไม่ยอมแก้ไข ครั้นเมื่อได้ฟังคำตักเตือนของคนอื่น ก็กลับโมโหโกรธา นี่เรียกว่า... "ยโส"
                4. ถ้าความเห็นนั้นตรงกับของตนก็ว่าถูก ถ้าความเห็นนั้นไม่ตรงกับคนอื่น แม้จะดีกว่าไม่ดี นี่เรียกว่า... "ทะนง"
                "คนคนหนึ่ง ถ้าหากมีความทุกข์ 4 ประการนี้แล้ว ก็ยากจะสนทนา"
                ขงจื๊อได้ฟังแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป ค้อมคำนับ อีกสามครา แล้วก็จากมา...หยีฟู่ ชายชราคิ้วขาว เคราขาวยาวคลุมอก... ผู้กล้าสอนขงจื๊อ ทำให้ขงจื๊อต้องคำนับแล้ว คำนับอีก จวงจื๊อ ปราชญ์รุ่นหลังขงจื๊อ ผู้เขียนเรื่องนี้ ไม่ได้บอกว่าเป็นใครมาจากไหน บอกแต่เพียงว่าสอนขงจื๊อแล้วก็ลงเรือหายไปในทะเลสาบ แต่คำสอน โรคร้ายทั้ง 8 ความทุกข์ทั้ง 4 ยังมีผู้บันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่า บ้านเมืองที่มีแต่คนป่วย เป็นโรคร้ายทั้ง 8 มีแต่คนมีทุกข์ทั้ง 4 เป็นบ้านเมืองที่หามีความสงบสุขไม่
พ่อสุพจน์
.......................................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
                หญิงชราชาวฟิลิปปินส์อยู่บ้านตัวคนเดียวด้วยความอดอยากแร้นแค้น ทุกวันคุณยายก็เพียรภาวนาอยู่หน้าแท่นพระภายในบ้าน ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ตั้งแต่ลูกเกิดมามีแต่ความทุกข์ยาก ลำบากแสนสาหัส ถ้าพระองค์จะเมตตา ขอพระองค์โปรดบรรเทาทุกข์ลูกบ้างเถิด ลูกไม่มีเงินเลย แต่จะต้องซื้ออาหารเย็นนี้แล้ว ขอโปรดประทานเงินให้ลูกสัก 500 เปโซ ด้วยเถิด
              เผอิญบุรุษไปรษณีย์ผ่านมาส่งจดหมายใกล้ๆ บ้านคุณยาย ได้ยินถึงความทุกข์ยาก ที่คุณยายสวดออกมาก็เกิดความสงสาร ก็กลับไปที่ทำการไปรษณีย์และได้เล่าถึงชีวิตของคุณยายที่น่าสงสาร เพื่อนๆในที่ทำการไปรษณีย์พอได้ฟังถึงความทุกข์ของคุณยายแล้ว ต่างคนต่างก็ล้วงเงินในกระเป๋าของตนออกมาบริจาคร่วมกัน ได้ประมาณ 400เปโซและมอบให้บุรุษไปรษณีย์คนเดิมนำกลับไปให้คุณยาย ก่อนที่คุณยายจะอดตายเสียก่อน
              เมื่อคุณยายได้รับเงินจากบุรุษไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ยายก็หันไปที่แท่นพระและสวดโมทนาคุณพระเป็นเจ้า ข้าแต่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขอขอบคุณพระองค์ที่ทรงรับฟังคำภาวนาของลูก ถ้าหากครั้งหน้าพระองค์จะทรงช่วยเหลือลูกอีก ขอพระองค์อย่าส่งเงินผ่านทางบุรุษไปรษณีย์อีกเลย เพราะเขาอมเงินของพระองค์ไปถึง 100เปโซพระเจ้าข้าคำภาวนาด้วยความเชื่อ พระเป็นเจ้าจะประทานให้แก่ผู้ที่วอนขอพระองค์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ขออย่าให้เราเกิดความท้อแท้ในการสวดภาวนา ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า เมื่อสวดภาวนาจงภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน พระเป็นเจ้าจะประทานความยุติธรรมแก่ผู้ที่วอนขอโดยเร็ว
                ในสมัยพระเยซูเจ้า โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่รู้หนังสือและไม่รู้กฎหมาย ต่างถือว่า ผู้พิพากษาเป็นบุคคลที่มีลักษณะเด่นในสังคม เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้พิพากษาก็เหมือนนายกเทศมนตรีประจำเมือง  ทนายความ    อัยการและโจทก์ (ผู้ฟ้องร้องคดี) พนักงานจดทะเบียน ผู้พิพากษามีอำนาจไม่จำกัด   ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของตราชั่ง มีหญิงม่ายซึ่งสถานะของนาง บวกกับสถานะของเราเป็นลูกกำพร้า เป็นตัวแทนของสภาพมนุษย์ที่ตกอับที่สุด เมื่อนางไม่สามารถพึ่งพาอำนาจทางครอบครัวหรือทางสิทธิพลเมืองของสามีได้ แม่ม่ายจึงถูกบังคับให้ทนทุกข์กับการข่มเหงสารพัดรูปแบบอยู่บ่อยครั้ง  เรื่องอุปมานี้เกี่ยวกับผู้พิพากษาที่มีอำนาจสูงมาก กับแม่ม่ายที่ไร้อำนาจมาประจวบรวมกันที่นี่   พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ตัวเอกทั้งสอง 2 คนพร้อมกันเนื่องจากผู้พิพากษาเกี่ยวข้องกับพระเจ้าโดยอ้อมตั้งแต่แรก  เพราะมีคนพูดกันว่า ผู้พิพากษาไม่เกรงกลัวพระเจ้า และแล้วเขาเองก็ยอมรับคำกล่าวนี้  ท้ายสุด มีการเปรียบเทียบระหว่างผู้พิพากษากับพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเน้นวิธีพิเศษ เมื่อมีเหวหรือช่องว่างระหว่างอำนาจทางการเมืองของผู้พิพากษาและสถานการณ์ของแม่ม่าย  ผู้พิพากษาไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เคร่งศาสนา นอกจากที่เขาไม่เกรงกลัวพระเจ้า หรือไม่เชื่อในพระเจ้าแห่งอิสราเอลแล้ว  เขายังตัดสินคดีตามความพอใจของเขาเอง  เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้พิพากษาที่ไม่ซื่อสัตย์เท่านั้น  เขายังเป็นผู้พิพากษาที่ไม่เที่ยงธรรมที่ขาดความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นเพราะเขาไม่เชื่อในพระเจ้า
                ชีวิตด้านตรงกันข้ามของคนชนชั้น คือแม่ม่ายที่แวะเวียนมารบเร้าผู้พิพากษาเพื่อขอความยุติธรรม ในการสู้ความกับคู่กรณี  เรื่องอุปมาไม่ได้กล่าวถึงคู่กรณีของนางเลย สิ่งที่น่าสนใจในที่นี้คือ อำนาจตัดสินตามอำเภอใจของผู้พิพากษาเปรียบเทียบอำนาจของพระเจ้าในความหมายของความยุติธรรม   และการยืนกรานของแม่ม่าย  หลังจากที่แม่ม่ายรบเร้าหลายๆ ครั้ง  ผู้พิพากษาจึงตัดสินใจที่จะทำตามคำร้องขอของแม่ม่าย  อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องของความเห็นอกเห็นใจที่เปลี่ยนจิตใจของผู้พิพากษา แต่เป็นการรบเร้าอย่างต่อเนื่องของแม่ม่ายต่างหาก เป็นการง่ายที่จะหยุดภาวนา เมื่อคำภาวนาดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบ  เป็นการยากที่จะเพียรทนเหมือนแม่ม่ายที่รบเร้า  แต่พระเจ้าทรงเต็มพระทัยมากกว่าผู้พิพากษาใดใด ที่จะทรงสดับฟังต่อเสียงร้องขอของผู้ได้รับเลือกอย่างรวดเร็ว ขอให้ผู้ที่มีความเชื่อเพียรภาวนา แม้เมื่อผลลัพธ์ต่างไปจากสิ่งที่หวังไว้ก็ตาม “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร”(ยน.3.16) ผลของการเลือกสรรอาศัยพระเมตตากรุณาของพระเจ้าไม่ได้แสดงด้วยความหยิ่งยโส แต่ด้วยการรับใช้ผู้อื่น เราทุกคนจึงควรมีความเมตตาต่อผู้อื่นด้วย

คุณพ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น