พี่น้องที่รัก
หลายครั้งพระเจ้าทรงแสดงพระเมตตายิ่งใหญ่ของพระองค์มายังเรามนุษย์อย่างชัดแจ้ง
ดังกรณีของพระวรสารสัปดาห์นี้ ที่พระองค์ทรงปลุกบุตรของหญิงม่ายที่เมืองนาอินให้กลับคืนชีพ
พระวรสารของนักบุญลูการะบุไว้ชัดเจนถึงอากัปกิริยาของพระเยซู ที่เห็นขบวนแห่หามศพของบุตรคนเดียวของหญิงม่าย
"พระองค์ทรงสงสาร" ตรัสกับนางว่า
"อย่าร้องไห้ไปเลย" แล้วทรงกระทำอัศจรรย์ปลุกหนุ่มคนนั้นให้ลุกขึ้นมีชีวิตอีกครั้ง
ข้อความในพระวรสารวันนี้ เป็นการย้ำเตือนอีกครั้งถึงพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ที่ทรงมีต่อเรามนุษย์ โอกาสปีศักดิ์สิทธิ์แห่งเมตตาธรรม
เป็นการรื้อฟื้นถึงความรักความเมตตาของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราเสมอมา
เพื่อเราทุกคนจะได้ไว้วางใจในพระเมตตาของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ในยามที่เราเข้ามาภาวนาวอนขอพระพรของพระองค์เพื่อสนับสนุนค้ำจุนเรา
วันนี้พ่อขอนำเรื่องหนึ่งที่ได้อ่านจากเอกสารแบ่งปันพระวาจามีข้อคิดที่ดีมาก
มาถ่ายทอดให้พี่น้องได้อ่านกันอีกทอดหนึ่งครับ
“ครอบครัวผู้ดีมีชื่อเสียงครอบครัวหนึ่งในกรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
ในยุคฟื้นฟูศิลปกรรม (Renaissance) เป็นเจ้าของหินอ่อนก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งมีน้ำหนัก
3 ตัน ได้ว่าจ้างนักสลักหินที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นคือ Donatello
ให้แกะสลักหินอ่อนก้อนนี้ แต่ Donatello ปฏิเสธ
เพราะหินก้อนนี้มีรอยแตกกลางก้อนหิน ยากที่จะแกะสลักให้เป็นประติมากรรมชิ้นเอก (ก่อนหน้า Donatello ก็มีนักแกะสลักรุ่นพ่อ ชื่อ Agostino
do Duccio ปฏิเสธไปเมื่อ 40 ปีก่อนหน้านั้น)
หินก้อนนี้จึงถูกทอดทิ้งข้างถนนเป็นเวลานานหลายปี
จนกระทั่งนักแกะสลักรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อ Michaelangelo Buonarroti ตอบรับการว่างจ้างจากครอบครัวเจ้าของหินก้อนนี้ Michaelangelo ใช้เวลาพิจารณาหินก้อนนี้อยู่นานว่าเขาจะแกะสลักเป็นรูปอะไรดี
และหลังจากนั้นมาอีกนานหลายปี รูปแกะสลัก "ดาวิด"
ก็เสร็จสำเร็จ
เป็นประติมากรรมแกะสลักที่มีชื่อเสียงมากชิ้นหนึ่งของโลกจนทุกวันนี้
ตรงรอยแตกของก้อนหินนี้ Michaelangelo ต้องสกัดหินที่ไม่ต้องการออกอยู่ดีเพื่อให้เป็นช่องว่างระหว่างขาทั้งสองของ
"ดาวิด" Michaelangelo รู้จักใช้ส่วนบกพร่องของหินอ่อนก้อนนี้ให้เป็นประโยชน์
ในกรณีหินก้อนนี้ เขาก็ต้องสกัดหินตรงนั้นออกอยู่ดี
ไม่ว่ามันจะมีรอยแตกหรือไม่ก็ตาม Michaelangelo สามารถมองเห็น
"ดาวิด" ซ่อนตัวอยู่ในก้อนหินนี้
ก่อนที่เขาจะแกะสลักนำ "ดาวิด" ออกมา
เช่นกัน พระเจ้าก็รู้จักเรา รู้จักจุดอ่อนความบกพร่องของเราทุกคน
ขอแต่เพียงเราสุภาพมอบอำเภอใจ โอนอ่อนตามพระประสงค์ของพระองค์ ความอ่อนแอ จุดอ่อน
ความบกพร่องของเรา จะกลายเป็นกระจกเงาสะท้อนพระพรเอื้ออาทร
และพระเกียรติมงคลของพระเจ้ายิ่งขึ้น โดยผ่านตัวเรา ผ่านการดำเนินชีวิตตาม "กระแสเรียก" ของเราที่จะเป็น"บุคคลที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น"
พ่อสุพจน์
...........................................................................................................................
สวัสดีพี่น้องที่รัก
ความเศร้าโศกเสียใจและความผิดหวังเป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิตของเรามนุษย์
ในความเป็นจริงเราไม่อยากให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตเรา
แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สุภาษิตจีนจึงสอนเราว่า “เราไม่สามารถห้ามนกแสกบินข้ามหัวเราได้
แต่เราสามารถป้องกันไม่ให้มันมาทำรังบนศีรษะของเราได้”
พระวาจาของพระในวันนี้แสดงให้เห็นว่า
พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ในความทุกข์โศกเศร้าของเรามนุษย์ พระองค์ทรงแสดงความเห็นอกเห็นใจในความน่าสงสารของเรา
และทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเราเพื่อเยียวยารักษา
บทอ่านวันนี้ได้ท้าทายเราให้กลายเป็นท่อธารแห่งความเมตตากรุณาของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน
เพื่อช่วยคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์โศกเศร้า ได้พบกับความรัก
ความหวังและความบรรเทาใจในสังคมชาวยิว มีกลุ่มคนสามประเภทที่น่าสงสารคือ
คนต่างด้าว หญิงม่าย และลูกกำพร้า
หญิงม่ายในสังคมชาวยิวไม่เหมือนหญิงสมัยใหม่ในยุคของเรา
ที่สามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ในสังคมชาวยิวผู้หญิงขึ้นอยู่กับสามีทุกอย่าง
ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ เมื่อเธอสูญเสียสามีจึงหมายถึงการสูญเสียความมั่นคงในชีวิตทุกอย่าง
ดังนั้น ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติจึงบอกว่า “เมื่อท่านเกี่ยวข้าวในนาของท่าน
และลืมฟ่อนข้าวไว้ในนาฟ่อนหนึ่ง อย่ากลับไปเอาเลย ให้เป็นของคนต่างด้าว
ลูกกำพร้าและแม่ม่าย...” (ฉธบ24:19-22)
หญิงม่ายที่เมืองนาอินในพระวรสาร เธอได้สูญเสียสามีและยังมาสูญเสียบุตรชายคนเดียวอีกด้วย
เธอจึงเป็นบุคคลที่น่าสงสารที่สุด พระเยซูเจ้าทรงมองเห็นน้ำตาของหญิงม่ายคนนั้น
ซึ่งเป็นภาพล่วงหน้าของพระมารดาของพระองค์ ณ แทบเชิงกางเขน
ความรู้สึกสงสารจากส่วนลึกของหัวใจทำให้พระองค์ตรัสกับนางว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย”
ซึ่งเป็นการให้กำลังใจและปลอบโยนคนที่กำลังเป็นทุกข์
และให้ความหวังคนที่กำลังสิ้นหวัง นักบุญลูกาได้แสดงให้เห็นว่า
พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลที่มีความรู้สึกและเห็นอกเห็นใจคนอื่นอย่างลึกซึ้ง
ทรงรู้สึกเสียใจกับหญิงม่ายและทรงเอาพระทัยใส่ในความทุกข์ระทมที่เธอกำลังเผชิญอยู่
ทรงบรรเทาใจเธอด้วยการคืนชีวิตแก่บุตรชายคนเดียวของเธอ “หนุ่มเอ๋ย
เราบอกเจ้าว่าจงลุกขึ้นเถิด” และทรงมอบคืนแก่เธอ
การสัมผัสของพระองค์ไม่เพียงทำให้ชีวิตของบุตรชายหญิงม่ายคืนมา
แต่ได้นำอิสรภาพและความครบครันมาสู่วิญญาณและร่างกายเขา พระองค์ไม่เพียงมีความเมตตาสงสาร
แต่ยังได้แสดงออกให้เห็นในกิจการ
เด็กหญิงคนหนึ่งได้ไปที่บ้านเพื่อนของเธอที่เสียชีวิตซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
เมื่อกลับมาถึงบ้านคุณพ่อได้ถามเธอว่า “ทำไมลูกไปที่บ้านคนตายละ” เธอตอบว่า
“หนูไปให้กำลังใจแม่ของเพื่อน ที่เพิ่งสูญเสียลูกชาย”
คุณพ่อถามต่อไปด้วยความฉงนว่า “อย่างลูกนี่จะให้กำลังใจแม่ของเขาได้อย่างไร”
เด็กหญิงตอบประสาซื่อว่า “หนูก็คลานไปนั่งบนตักของเธอและร้องไห้กับเธอ”
เราต้องเป็นท่อธารแห่งความเมตตากรุณาของพระเจ้า
ความรักและความเมตตาสงสารของพระเยซูเจ้าต่อคนที่กำลังทุกข์โศกเศร้า ได้แสดงออกให้เห็นในกิจการ
เราจะต้องช่วยให้คนที่กำลังหัวใจแตกสลายได้มีประสบการณ์การประทับอยู่ของพระเจ้า
และเจริญชีวิตเลียนแบบพระองค์ทั้งในคำพูดและกิจการ
เพื่อช่วยทุกคนที่กำลังทุกข์โศกได้มีกำลังใจ ได้รับการปลอบโยนและพบความหวังในชีวิต
เราต้องฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของเรามองไปที่สถานการณ์แห่งชีวิตของเราว่าจะเจริญชีวิตอย่างไร
หากปล่อยตัวในบาปหนัก นั่นแสดงว่าเรากำลังปล่อยให้ชีวิตฝ่ายจิตของเราตาย
เราจะต้องฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของเราให้กลับคืนมาผ่านทางศีลอภัยบาป
นักบุญเอากุสตินกล่าวว่า “พระศาสนจักรมารดาของเราจะชื่นชมยินดีเสมอ เมื่อเราได้รับการยกขึ้นอีกครั้งทางศีลศักดิ์สิทธิ์”
เราต้องมอบปัญหาทุกอย่างไว้กับพระเยซูเจ้า
เราไม่อาจหลีกเลี่ยงความเลวร้ายในโลกได้
แต่เราสามารถภาวนาและวางใจในพระเจ้าได้เสมอ
เพื่อให้พระองค์เปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตของเรา
ทรงเยียวยารักษาดวงใจที่บอบช้ำและทำให้เราเข้มแข็ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางศีลมหาสนิทในพิธีบูชาขอบพระคุณทุกวันอาทิตย์ที่เรามาร่วม
เพื่อเราจะได้รับการหล่อเลี้ยงและเติบโตยิ่งขึ้นในชีวิตคริสตชน
พ่อพงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น