วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2015


พี่น้องที่รัก
            ทุกหนทุกแห่งในเวลานี้อยู่ในบรรยากาศคริสต์มาสกันล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ห้างร้านต่างๆก็พากันตกแต่งประดับประดาสถานที่ด้วยต้นสน และไฟสว่างไสวสวยงาม สีเขียว และ สีแดง เป็นสีประจำของเทศกาลคริสต์มาส สังคมโลกเริ่มฉลองคริสต์มาสกันไปแล้ว แต่สำหรับเราคริสตชน คริสต์มาสยังมาไม่ถึง เรายังอยู่ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าในสัปดาห์ที่สามเท่านั้น ซึ่งตามปกติในเทศกาลนี้อาภรณ์ที่พระสงฆ์สวมใส่จะใช้สีม่วงเหมือนเทศกาลมหาพรต แต่สำหรับสัปดาห์นี้ มีสีพิเศษที่นำมาใช้คือ สีชมพู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงความชื่นชมยินดี
            ตามธรรมเนียมโบราณ ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ วัดหลายแห่งจะจัดเทียนพิเศษตั้งไว้สี่ต้น มีเทียนสีม่วงสามต้น และ เทียนสีชมพู 1 ต้น แต่ละต้นหมายถึงแต่ละสัปดาห์ก่อนถึงวันฉลองคริสต์มาส โดยที่สัปดาห์ที่ 3 ของเทศกาลนี้จะจุดเทียนสีชมพู ธรรมเนียมนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 5 แล้ว โดยมีกำเนิดมาจากชาวเยอรมัน ที่จัดเตรียมพวงดอกไม้สีเขียวและแสงสว่าง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความหวังในท่ามกลางความขมุกขมัวของบรรยากาศในเดือนธันวาคมซึ่งอยู่ในฤดูหนาว ต่อมาคริสตชนชาวเยอรมันจึงนำธรรมเนียมนี้มาใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความหวังสำหรับการเสด็จมาของพระคริสตเจ้าในโอกาสคริสต์มาส และค่อยๆได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก
            มีคนเคยพยายามให้ความหมายถึงสัญลักษณ์ของพุ่มไม้ที่มีเทียนสี่ต้นนี้ว่า หมายถึงช่วงเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าครั้งแรก ก่อนที่พระองค์จะบังเกิดมาในโลก แต่ละสัปดาห์หมายถึงช่วงเวลา หนึ่งพันปี นับตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวา จวบมาจนถึงสมัยของการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เทียนสีม่วงมีความหมายถึง การสวดภาวนา การพลีกรรม  การเสียสละ และการประกอบคุณงามความดี ที่ได้ทำระหว่างเทศกาลนี้ ในขณะที่เรารอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์อีกด้วย
            อีกความหมายหนึ่งก็เข้าท่า เขาบอกว่า พุ่มไม้สีเขียวที่มีเทียนสี่ต้นนี้ เทียนแต่ละต้นมีความหมายแตกต่างกันไป ต้นแรกหมายถึง ความหวัง ต้นที่สองหมายถึงสันติสุข ต้นที่สามหมายถึงความชื่นชมยินดี และ ต้นที่สี่หมายถึงความรัก
            เทียนสีชมพู มีความหมายถึงความชื่นชมยินดี ซึ่งจะจุดให้ลุกสว่างในอาทิตย์สัปดาห์ที่สามในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดีตามบทสดุดีที่ว่า "จงชื่นชมยินดีในองค์พระเจ้า ขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด" ความยินดีนี้บังเกิดขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาแห่งการใช้โทษบาป ซึ่งแน่นอนยังมีเทียนสีม่วงอีกเล่มหนึ่งที่รอคอยการจุดให้สว่างไสวอยู่ในขณะที่เราเข้าใกล้วันคริสต์มาสไปทุกที
            ในเมื่อเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านั้น มีต้นแบบมาจากเทศกาลมหาพรต ดังนั้น อาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี (Gaudete Sunday) จึงมีความหมายเดียวกันกับ อาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี (Laetare Sunday) ในเทศกาลมหาพรตนั่นเอง นอกจากนี้นับแต่โบราณ พระสันตะปาปาเคยนำดอกกุหลาบสีชมพูมาแจกให้กับสัตบุรุษในวันอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี (Laetare Sunday) ในเทศกาลมหาพรต ธรรมเนียมนี้ได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมา ทีละเล็กทีละน้อย จากธรรมเนียมการแจกดอกกุหลาบสีชมพูของพระสันตะปาปา บรรดาพระสังฆราชและพระสงฆ์ก็เริ่มต้นสวมอาภรณ์สีชมพูในวันอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี(Laetare Sunday) ในเทศกาลมหาพรตอีกด้วย ผลที่ติดตามมาก็คือ เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าก็มีที่สำหรับ เทียนสีชมพู และ อาภรณ์พระสงฆ์สีชมพูไปด้วย
            แม้ว่าความเป็นมาของธรรมเนียมนี้จะมีที่มาที่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างที่ได้กล่าวมา แต่สีชมพูของเทียนต้นที่สาม และ อาภรณ์พระสงฆ์นั้นก็เตือนใจเราว่า เวลาที่สำคัญกำลังมาถึง ขณะนี้จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะพระผู้ไถ่กำลังจะเสด็จมาแล้ว

คพ.สุพจน์
............................................................................................................

สวัสดีพี่น้องที่รัก
สัปดาห์ที่ 3 นี้เป็นอาทิตย์ชื่นชมยินดี เพราะพระคริสตเจ้าอยู่ใกล้แล้ว เราอยู่ใกล้วันฉลองพระคริสตสมภพมากกว่าคริสต์มาสครั้งแรก เรารู้สึกด้วยว่าใกล้การเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ ดังที่เราได้ไตร่ตรองตลอดเทศกาลศักดิ์สิทธิ์นี้เกี่ยวกับวาระสุดท้าย และการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าในสิริรุ่งโรจน์ฐานะกษัตริย์ของเรา   ในอาทิตย์สีกุหลาบ เทียนคริสต์มาสหรีดจุดสีชมพูเล่มที่ 3 เราอธิษฐานขอให้มีประชาชนมากยิ่ง ๆ ขึ้น จะมองดูชีวิตและสังคม โลก รอบตัว โดยอาศัยเลนส์ แว่นตา แห่งความเชื่อสีกุหลาบ ช่วยให้พวกเขาสามารถเห็นพระสิริรุ่งโรจน์รอบตัวเราทุกคน
ศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย อย่าท้อแท้ จะไม่มีเหตุร้ายที่จะต้องกลัวอีกต่อไป เพราะอานุภาพของพระเจ้าทรงช่วยเราให้รอด จงยินดีเถิด จงฟื้นฟูความรักในชีวิตของเจ้า จงเปล่งเสียงร้องด้วยความชื่นชมยินดีเถิด ประกาศกอิสยาห์ผู้ได้เกิดก่อนพระเยซูเจ้ามากกว่า 700 ปี ได้พยายามนำความปีติยินดีสู่ชาวอิสราเอล ระหว่างช่วงเวลาเมื่อพวกเขารู้สึกมีคุณค่ามีเหตุน่าชื่นชมยินดีเล็กน้อย ระหว่างการเนรเทศไปอัสซีเรีย อิสยาห์ได้เทศน์ให้กำลังใจและการฟื้นฟูว่าพวกเขาจะกลับสู่มาตุภูมิ กลับบ้าน และบูรณะพระวิหาร อิสยาห์กล่าวว่า จงมานะเถิด อย่ากลัวเลย ดูซิพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมา เพื่อช่วยท่านให้รอดพ้นท่านพูดกับประชาชนที่เคยมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า คิดว่าพระองค์ละทิ้งพวกเขาให้เป็นทาสและได้รับความทุกข์น่าสงสาร ความเชื่อในการรอคอย คำว่า พากเพียรรอ Patient ภาษาอังกฤษมาจากคำภาษาละตินที่หมายถึง ความทุกข์ (Suffering)   พี่น้องเคยมีประสบการณ์รอใครมาที่บ้านอย่างกระวนกระวายใจ ที่การรอนั้นเกือบเป็นทุกข์ไหม นั้นแหละคือ พากเพียรรอ แบบที่เราควรรอพระคริสตเจ้าเสด็จมา ให้เรารอด้วยการภาวนาและทำกิจการดีที่เราทำ เพื่อเราจะได้สัมผัสความยินดีเหมือนอย่างที่เรารอคนนั้นที่เรารักมาถึง นักบุญเปาโลเชิญชวนเราให้มีใจอ่อนโยนและอย่ากระวนกระวายใจให้มาก อาศัยการวิงวอนขอพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเรา หมั่นอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ และหมั่นขอบพระคุณแล้วสันติสุขของพระเจ้าก็จะสถิตในท่าน พระเจ้าจะทรงคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่าน
    ชีวิตที่ต้องแบ่งปันและรับใช้ด้วยความถ่อมตนและสุภาพ มิใช่การขู่กรรโชก กล่าวคำเท็จ จงดำเนินชีวิตด้วยพระจิตเจ้า อย่ามัวแต่ปล่อยให้ชีวิตฟอนเฟะตามกระแสโลกีย์ หันใจของท่านมาหาพระเจ้าผู้ทรงเมตตารักที่จะทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านด้วยคำสอนแห่งชีวิต ฟื้นฟูชีวิตของท่านให้มีแต่ความชื่นชมยินดีและสันติสุขในพระอาณาจักรของพระองค์

                                                                                                                    ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้อง

พ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น