พี่น้องที่รัก
ทุกหนทุกแห่งในเวลานี้อยู่ในบรรยากาศคริสต์มาสกันล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ห้างร้านต่างๆก็พากันตกแต่งประดับประดาสถานที่ด้วยต้นสน และไฟสว่างไสวสวยงาม
สีเขียว และ สีแดง เป็นสีประจำของเทศกาลคริสต์มาส สังคมโลกเริ่มฉลองคริสต์มาสกันไปแล้ว
แต่สำหรับเราคริสตชน คริสต์มาสยังมาไม่ถึง
เรายังอยู่ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าในสัปดาห์ที่สามเท่านั้น
ซึ่งตามปกติในเทศกาลนี้อาภรณ์ที่พระสงฆ์สวมใส่จะใช้สีม่วงเหมือนเทศกาลมหาพรต
แต่สำหรับสัปดาห์นี้ มีสีพิเศษที่นำมาใช้คือ สีชมพู
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ถึงความชื่นชมยินดี
ตามธรรมเนียมโบราณ
ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ วัดหลายแห่งจะจัดเทียนพิเศษตั้งไว้สี่ต้น
มีเทียนสีม่วงสามต้น และ เทียนสีชมพู 1 ต้น
แต่ละต้นหมายถึงแต่ละสัปดาห์ก่อนถึงวันฉลองคริสต์มาส โดยที่สัปดาห์ที่ 3 ของเทศกาลนี้จะจุดเทียนสีชมพู
ธรรมเนียมนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 5 แล้ว
โดยมีกำเนิดมาจากชาวเยอรมัน ที่จัดเตรียมพวงดอกไม้สีเขียวและแสงสว่าง
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความหวังในท่ามกลางความขมุกขมัวของบรรยากาศในเดือนธันวาคมซึ่งอยู่ในฤดูหนาว
ต่อมาคริสตชนชาวเยอรมันจึงนำธรรมเนียมนี้มาใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความหวังสำหรับการเสด็จมาของพระคริสตเจ้าในโอกาสคริสต์มาส
และค่อยๆได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก
มีคนเคยพยายามให้ความหมายถึงสัญลักษณ์ของพุ่มไม้ที่มีเทียนสี่ต้นนี้ว่า
หมายถึงช่วงเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าครั้งแรก ก่อนที่พระองค์จะบังเกิดมาในโลก
แต่ละสัปดาห์หมายถึงช่วงเวลา หนึ่งพันปี นับตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวา
จวบมาจนถึงสมัยของการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เทียนสีม่วงมีความหมายถึง การสวดภาวนา
การพลีกรรม การเสียสละ และการประกอบคุณงามความดี
ที่ได้ทำระหว่างเทศกาลนี้ ในขณะที่เรารอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์อีกด้วย
อีกความหมายหนึ่งก็เข้าท่า เขาบอกว่า พุ่มไม้สีเขียวที่มีเทียนสี่ต้นนี้
เทียนแต่ละต้นมีความหมายแตกต่างกันไป ต้นแรกหมายถึง ความหวัง
ต้นที่สองหมายถึงสันติสุข ต้นที่สามหมายถึงความชื่นชมยินดี และ ต้นที่สี่หมายถึงความรัก
เทียนสีชมพู มีความหมายถึงความชื่นชมยินดี
ซึ่งจะจุดให้ลุกสว่างในอาทิตย์สัปดาห์ที่สามในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า
ซึ่งเป็นอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดีตามบทสดุดีที่ว่า "จงชื่นชมยินดีในองค์พระเจ้า
ขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด" ความยินดีนี้บังเกิดขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาแห่งการใช้โทษบาป
ซึ่งแน่นอนยังมีเทียนสีม่วงอีกเล่มหนึ่งที่รอคอยการจุดให้สว่างไสวอยู่ในขณะที่เราเข้าใกล้วันคริสต์มาสไปทุกที
ในเมื่อเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านั้น มีต้นแบบมาจากเทศกาลมหาพรต
ดังนั้น อาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี (Gaudete Sunday) จึงมีความหมายเดียวกันกับ
อาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี (Laetare Sunday) ในเทศกาลมหาพรตนั่นเอง
นอกจากนี้นับแต่โบราณ พระสันตะปาปาเคยนำดอกกุหลาบสีชมพูมาแจกให้กับสัตบุรุษในวันอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี
(Laetare Sunday) ในเทศกาลมหาพรต ธรรมเนียมนี้ได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมา
ทีละเล็กทีละน้อย จากธรรมเนียมการแจกดอกกุหลาบสีชมพูของพระสันตะปาปา
บรรดาพระสังฆราชและพระสงฆ์ก็เริ่มต้นสวมอาภรณ์สีชมพูในวันอาทิตย์แห่งความชื่นชมยินดี(Laetare
Sunday) ในเทศกาลมหาพรตอีกด้วย ผลที่ติดตามมาก็คือ
เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าก็มีที่สำหรับ เทียนสีชมพู และ
อาภรณ์พระสงฆ์สีชมพูไปด้วย
แม้ว่าความเป็นมาของธรรมเนียมนี้จะมีที่มาที่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างที่ได้กล่าวมา
แต่สีชมพูของเทียนต้นที่สาม และ อาภรณ์พระสงฆ์นั้นก็เตือนใจเราว่า
เวลาที่สำคัญกำลังมาถึง ขณะนี้จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะพระผู้ไถ่กำลังจะเสด็จมาแล้ว
คพ.สุพจน์
............................................................................................................
สวัสดีพี่น้องที่รัก
สัปดาห์ที่
3 นี้เป็นอาทิตย์ชื่นชมยินดี เพราะพระคริสตเจ้าอยู่ใกล้แล้ว
เราอยู่ใกล้วันฉลองพระคริสตสมภพมากกว่าคริสต์มาสครั้งแรก
เรารู้สึกด้วยว่าใกล้การเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ ดังที่เราได้ไตร่ตรองตลอดเทศกาลศักดิ์สิทธิ์นี้เกี่ยวกับวาระสุดท้าย
และการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าในสิริรุ่งโรจน์ฐานะกษัตริย์ของเรา ในอาทิตย์สีกุหลาบ เทียนคริสต์มาสหรีดจุดสีชมพูเล่มที่
3 เราอธิษฐานขอให้มีประชาชนมากยิ่ง ๆ ขึ้น จะมองดูชีวิตและสังคม โลก รอบตัว
โดยอาศัยเลนส์ แว่นตา แห่งความเชื่อสีกุหลาบ
ช่วยให้พวกเขาสามารถเห็นพระสิริรุ่งโรจน์รอบตัวเราทุกคน
ศิโยนเอ๋ย
อย่ากลัวเลย อย่าท้อแท้ จะไม่มีเหตุร้ายที่จะต้องกลัวอีกต่อไป
เพราะอานุภาพของพระเจ้าทรงช่วยเราให้รอด จงยินดีเถิด
จงฟื้นฟูความรักในชีวิตของเจ้า จงเปล่งเสียงร้องด้วยความชื่นชมยินดีเถิด
ประกาศกอิสยาห์ผู้ได้เกิดก่อนพระเยซูเจ้ามากกว่า 700 ปี
ได้พยายามนำความปีติยินดีสู่ชาวอิสราเอล
ระหว่างช่วงเวลาเมื่อพวกเขารู้สึกมีคุณค่ามีเหตุน่าชื่นชมยินดีเล็กน้อย
ระหว่างการเนรเทศไปอัสซีเรีย อิสยาห์ได้เทศน์ให้กำลังใจและการฟื้นฟูว่าพวกเขาจะกลับสู่มาตุภูมิ
กลับบ้าน และบูรณะพระวิหาร อิสยาห์กล่าวว่า “จงมานะเถิด อย่ากลัวเลย
ดูซิพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมา เพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น” ท่านพูดกับประชาชนที่เคยมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า
คิดว่าพระองค์ละทิ้งพวกเขาให้เป็นทาสและได้รับความทุกข์น่าสงสาร ความเชื่อในการรอคอย
คำว่า พากเพียรรอ Patient ภาษาอังกฤษมาจากคำภาษาละตินที่หมายถึง
ความทุกข์ (Suffering) พี่น้องเคยมีประสบการณ์รอใครมาที่บ้านอย่างกระวนกระวายใจ
ที่การรอนั้นเกือบเป็นทุกข์ไหม นั้นแหละคือ พากเพียรรอ
แบบที่เราควรรอพระคริสตเจ้าเสด็จมา ให้เรารอด้วยการภาวนาและทำกิจการดีที่เราทำ
เพื่อเราจะได้สัมผัสความยินดีเหมือนอย่างที่เรารอคนนั้นที่เรารักมาถึง
นักบุญเปาโลเชิญชวนเราให้มีใจอ่อนโยนและอย่ากระวนกระวายใจให้มาก
อาศัยการวิงวอนขอพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเรา
หมั่นอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ และหมั่นขอบพระคุณแล้วสันติสุขของพระเจ้าก็จะสถิตในท่าน
พระเจ้าจะทรงคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่าน
ชีวิตที่ต้องแบ่งปันและรับใช้ด้วยความถ่อมตนและสุภาพ มิใช่การขู่กรรโชก
กล่าวคำเท็จ จงดำเนินชีวิตด้วยพระจิตเจ้า
อย่ามัวแต่ปล่อยให้ชีวิตฟอนเฟะตามกระแสโลกีย์ หันใจของท่านมาหาพระเจ้าผู้ทรงเมตตารักที่จะทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านด้วยคำสอนแห่งชีวิต
ฟื้นฟูชีวิตของท่านให้มีแต่ความชื่นชมยินดีและสันติสุขในพระอาณาจักรของพระองค์
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้อง
พ่อพงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น