พี่น้องที่รัก
อย่าลืมว่าตลอดเดือนตุลาคมนี้ เป็นช่วงเวลาพิเศษที่เราคริสตชนจะร่วมใจกันสวดสายประคำเป็นพิเศษ
ดังนั้นพ่อจึงอยากย้ำเตือนกับพี่น้องอีกครั้งเพื่อจะไม่ลืมการสวดสายประคำ
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เคยกล่าวกับพี่น้องสัตบุรุษที่มาร่วมสวดลูกประคำกับพระองค์ที่มหาวิหารเซนต์แมรี่เมเจอร์
ที่กรุงโรมว่า "วันนี้ เรามาร่วมใจกันยืนยันว่า
การสวดลูกประคำนั้น
ไม่ใช่เป็นเพียงกิจศรัทธาที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณเท่านั้น
แต่การสวดลูกประคำเป็นประสบการณ์แห่งความสดชื่นในหัวใจ
ที่แม้แต่เยาวชนคนรุ่นใหม่ในยุคนี้สามารถเข้าถึงประสบการณ์ของความศรัทธาที่มีต่อพระเยซู
และแม่พระได้ เพราะการสวดภาวนาแบบนี้ช่วยเราให้ยึดมั่นพระเยซูคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต
เหมือนอย่างที่พระนางมารีย์ได้เคยทำเช่นนี้เสมอมา ในยามที่เราสวดลูกประคำ
เรายังมีโอกาสได้รำลึกถึงช่วงเวลาสำคัญๆที่มีความหมาย
ของประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นอีกด้วย เรามีโอกาสได้พิจารณาถึงภารกิจที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำ
เหมือนอย่างที่พระนางมารีย์มีหัวใจที่ยึดมั่นในพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูพระบุตรของพระนางนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูคริสต์จึงมาเป็นศูนย์กลางของชีวิตของเรา ของยุคของเรา
และของสถานที่ที่เราอาศัยอยู่
โดยอาศัยการรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกศักดิ์สิทธิ์ ในภาคชื่นชมยินดี
ภาคแสงสว่าง ภาคมหาทรมาน และ ภาคสิริมงคล
ขอพระนางมารีย์ช่วยเราให้เปิดใจรับพระพรของพระเจ้าที่จะหลั่งไหลมาสู่เราโดยผ่านทางการรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกของพระเยซู
เพื่อว่าเราแต่ละคนจะสามารถเป็นทางผ่านแห่งพระพรเหล่านั้นไปสู่สังคมในวงกว้าง
โดยการที่เราจะเริ่มต้นสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีในแต่ละวันกับคนรอบข้าง
และพระพรนั้นจะหลั่งไหลไปสู่บุคคลรอบข้างเพื่อชำระเขาเหล่านั้นให้บริสุทธิ์และปกป้องเขาจากความชั่วร้าย และเป็นจุดเริ่มต้นที่พี่น้องรอบข้างเราจะได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้า
การสวดลูกประคำอย่างตั้งใจจะช่วยให้เรามีสันติและพบกับการคืนดี
การสวดลูกประคำทำให้เราได้รับพลังสูงสุดแห่งการบำบัดรักษาในพระนามของพระเยซู
ที่เราเปล่งพระนามของพระองค์ด้วยความเชื่อและความรัก ในทุกๆบทวันทามารีย์"
พ่อหวังว่า ตุลาคมนี้คงจะเป็นเดือนที่เราจะสวดสายประคำกันเป็นพิเศษทั่วหน้ากันนะครับ
และเพื่อเป็นไปตามโครงการ"คาทอลิกไทย พร้อมเพรียง
ไม่สิ้นเสียงสายประคำ" เราจะมีการตั้งกล่องรวบรวมจำนวนสายประคำที่เราสวดได้ตลอดเดือนนี้
เพื่อส่งไปทำสถิติที่ส่วนกลางด้วยครับ
ขอเชิญพี่น้องที่สวดสายประคำกรอกชื่อและนามสกุล พร้อมทั้งระบุจำนวนสายประคำที่สวดไปตลอดเดือนว่าสวดไปจำนวนกี่สาย
และหย่อนกระดาษบันทึกนั้นลงในกล่องรวบรวมด้วยครับ
นอกจากนี้ขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาร่วมแห่แม่พระในวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พิธีมิสซาเวลา 17.30 น. หลังพิธีแห่พระรูปแม่พระรอบวัดเซนต์หลุยส์ของเราครับ
คพ.สุพจน์
...................................................................................
พี่น้องที่รัก
นางซาโลเม
ซึ่งเป็น “มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร
นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์” (มธ
20:20-23)มัทธิวคงเห็นว่าการทูลขอเช่นนี้จะทำให้ภาพพจน์ของอัครสาวกเสีย
อีกทั้งยากอบและยอห์นจะพลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย จึงยกให้มารดาเป็นผู้มีความทะเยอทะยานและเป็นผู้ทูลขอตำแหน่งให้แก่บุตรของตนแทนมาระโกน่าจะบันทึกได้ถูกต้องมากกว่ามัทธิว
เพราะว่าขณะนั้นบรรดาอัครสาวกไม่ใช่นักบุญ
พวกเขาเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ เหมือนกับเราและอาศัยมนุษย์ธรรมดาๆ แบบเรานี้เอง
ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกและเลือกให้มาเปลี่ยนโลกใบนี้ ให้เป็นพระอาณาจักรของพระองค์
!เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง จากความทะเยอทะยานความทะเยอทะยานดังกล่าวเกิดจากความรู้สึกว่าเป็น
“คนใกล้ชิด” ของพระเยซูเจ้า
เพราะมีหลายครั้งที่พระวรสารระบุว่าพระองค์ทรงเรียกเปโตร ยากอบและยอห์น ให้ติดตามพระองค์ใกล้ชิดมากกว่าอัครสาวกท่านอื่น
คราวที่พระองค์ทรงตรัสเรียกพวกเขา “เขาทั้งสองคนก็ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง
แล้วตามพระองค์ไปทันที” (มก
1:20)เมื่อคิดว่ามีฐานะร่ำรวยกว่า เลยพลอยทำให้ทั้งสองเกิดความทะเยอทะยานที่จะมีตำแหน่งดีกว่าตามไปด้วย
ทั้งสองไม่เข้าใจพระเยซูเจ้าเอาเสียเลย ขอตำแหน่งต้องถือว่าเลวร้ายมากแล้ว
แต่ทั้งคู่ดันไปขอตำแหน่งทันทีที่พระองค์ทรงทำนายถึงพระทรมานและการสิ้นพระชนม์เป็นครั้งที่3แล้ว (มก 10:32-34)
สิ่งที่พระองค์พร่ำสอนมาเป็นเวลานาน
มิได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจพระองค์ดีขึ้นแต่ประการใดเลย ต้องรอจนเห็นพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วหรือ
พวกเขาจึงเข้าใจพระองค์จริงๆ แม้จะมีข้อบกพร่องและหลงผิด
แต่ทั้งคู่ยังมั่นคงและเชื่อมั่นว่าพระองค์ผู้ซึ่งขัดแย้งและเป็นศัตรูกับบรรดาผู้นำทางศาสนาของชาวยิวอย่างรุนแรง ซ้ำร้ายกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความตายบนไม้กางเขนอีก
ไม่ว่าสถานการณ์ของพระเยซูเจ้าและของบรรดาอัครสาวกจะเลวร้ายลงสักเพียงใด จิตใจของเขาทั้งสองก็ไม่เคยหวั่นไหวหรือเปลี่ยนแปลง
ท่านจะดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้ไหม หรือรับการล้างที่เราจะรับได้หรือไม่ ถ้วยเป็นคำเปรียบเทียบหมายถึง
ชีวิตและประสบการณ์ เพื่อบรรยายถึงชีวิตและประสบการณ์แห่งความสุขที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่มนุษย์ด้วยการไถ่บาป
ประกาศกอิสยาห์กล่าวถึงความหายนะที่กำลังมาเยือนชาวอิสราเอลว่า พวกเขากำลังดื่ม “ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้า”
(อสย 51:17) “ถ้วย” จึงหมายถึง
“ประสบการณ์” แห่งความหายนะที่พวกเขากำลังจะได้รับจากพระเจ้า
“การล้าง” ตรงกับภาษากรีกbaptizein (บัพติเซน) หมายถึง “จุ่ม, จมลง”
โดยทั่วไปใช้ในความหมาย “จุ่ม
หรือจมลงในประสบการณ์ใดประสบการณ์หนึ่งพวกท่านพร้อมจะทนและฟันฝ่าประสบการณ์อันเลวร้ายที่เราจะต้องประสบหรือไม่ พวกท่านพร้อมจะจมลงในความเกลียดชัง ความเจ็บปวด
และความตายเหมือนเราหรือไม่ ไม่มีกางเขน ก็ไม่มีความยิ่งใหญ่ ตลอดทั้งชีวิตของพระองค์คือการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าเท่านั้น
มาตรฐานของโลก “ผู้เป็นใหญ่” วัดกันที่
“อำนาจ” แต่มาตรฐานของพระเยซูเจ้าคือ “ผู้เป็นใหญ่”
ให้วัดกันที่ “การรับใช้” ผู้ที่เป็นใหญ่จริงคือผู้ที่สามารถลดตัวเองไปรับใช้ผู้อื่น
ไม่ใช่ลดผู้อื่นให้มารับใช้ตัวเอง คนใหญ่จริงจะไม่ถามว่ามีบริการอะไรบ้าง
แต่จะถามว่าตนสามารถช่วยอะไรได้บ้าง และรับใช้ได้ทุกอย่างโดยไม่ปริปาก
คุณพ่อพงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น