พี่น้องที่รัก
ช่วงนี้มีคนพูดถึงชีวิต
"สะโลว์ไลฟ์" อยู่บ่อยๆ
เรียกว่ากลายเป็นคำยอดฮิต "อินเทรนด์" เลยก็ว่าได้ อะไรคือความหมายของคำว่า "สะโลว์ไลฟ์"
กันแน่ คำว่า "สะโลว์ไลฟ์" เป็นคำทับศัพท์ที่มาจากภาษาอังกฤษ คงจะหมายความถึง การใช้ชีวิตแบบสบายๆ
ไม่ยึดติดกับกระแส ไม่มัวหลงอยู่ในวังวนของแรงดึงดูดจาก โลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ซึ่งดึงเอาเวลาที่มีค่าของเราให้สูญเสียไปมากมาย ดังนั้น "สะโลว์ไลฟ์" คือภาวะของชีวิตที่ปลดตัวเองออกจาก
กระแสสังคม
ที่มุ่งคอยจะชักจูงและผลักดันเราให้ไหลไปตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว "สะโลว์ไลฟ์" จึงเป็นการปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับ
ปัจจุบัน อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รีบจนรน ไม่เร่งร้อนจนกระวนกระวายนั่นเอง
พ่อไปอ่านเจอ
บทความเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเลยขอนำเอามาฝากให้อ่านกันนะครับ
เผื่อจะเป็นแง่คิดของคนที่อยากปล่อยวางชีวิตให้ผ่อนคลาย
จากกระแสสังคมที่มันเร่งเร้าให้เราเต้นมากเกินไปได้บ้าง
พ่อสุพจน์
The Power of Less
เทรนด์การใช้ชีวิตแนวใหม่
ที่กำลังมาแรงคือ Slow Life เป็นการใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ
และยึดหลักพอเพียง ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย
แต่ก็ไม่ง่ายนักสำหรับโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
หนึ่งในผู้บุกเบิกการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์จนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก ต้องยกให้ "ลีโอ บาบัวต้า" บล็อกเกอร์และนักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายกวม
ผู้ก่อตั้งเว็บบล็อก Zen Habits ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 240000
คน
และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ให้เป็นเว็บบล็อกยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก
ประจำปี 2010 เขามีผลงานการเขียนหนังสือมากมายหลายเล่ม
แต่เล่มที่โด่งดังติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ก็คือ The Power of Less
การใช้ชีวิตแบบช้าแต่ชัวร์
เพื่อชีวิตแสนสุข สามารถเริ่มต้นง่ายๆด้วยบันได 9 ขั้น
สตาร์ตด้วยบันไดขั้นที่หนึ่ง คือ ต้องรู้จักโฟกัสมากขึ้น และทำอะไรให้น้อยลง
แทนที่จะทำอะไรหลายอย่างในเวลาพร้อมๆกัน ให้เลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว
และเก็บเรื่องอื่นๆไว้ก่อน บันไดขั้นที่สองคือ แค่ทำอะไรให้ช้าลงอาจไม่เพียงพอ
ต้องมีสติอยู่กับปัจจุบัน เมื่อไหร่ที่คิดฟุ้งซ่านเรื่องโน้นเรื่องนี้
ให้ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับโมเมนต์ปัจจุบันให้เร็วที่สุด การมีสติจะทำให้ไม่คิดฟุ้งซ่านไม่คิดร้ายกับตัวเองและคนอื่น
บันไดขั้นที่สาม ใช้ชีวิตแบบโลว์เทค
ปิดมือถือและอุปกรณ์ไฮเทคทุกอย่างในช่วงวันหยุดแล้วโฟกัสกับสิ่งที่อยากทำจริงๆ
เป็นการยากที่จะใช้ชีวิตแบบพอเพียงถ้ายังวุ่นกับการเล่นอินสตาแกรม
และเช็กอีเมล์ทั้งวัน บันไดขั้นที่สี่ ใส่ใจเพื่อนฝูง ครอบครัว
และคนรอบข้างให้มากขึ้น คำว่า "ใส่ใจ" ต้องขีดเส้นใต้ชัดๆ เพราะเรามักสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ครอบครัว
หรือเพื่อนร่วมงาน ในลักษณะเจ๊าะแจ๊ะ มากกว่าจะใส่ใจกันอย่างแท้จริง
หมั่นแสดงความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อคนรอบข้างด้วยความจริงใจ บันไดขั้นที่ห้า
เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ หันมาชื่นชมกับความงดงามของธรรมชาติบ้าง
แทนที่จะอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน นอนตากแอร์ทั้งวัน
ลองออกมาเดินเล่นในสวนเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่นการเดิน
ว่ายน้ำ และขี่จักรยาน เพื่อให้ร่างกายได้สัมผัสกับสายลมแสงแดด และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ
บันไดขั้นที่หก การรับประทานอาหารให้ช้าลง โดยค่อยๆเคียวเพื่อรับรู้รส
สัมผัสความอร่อยของอาหารแต่ละเมนู
จะสร้างความรื่นรมย์ให้ชีวิตมากกว่าการทานเร็วๆเพื่อให้อิ่ม บันไดขั้นที่เจ็ด
ขับรถให้ช้าลง นอกจากจะทำให้เครียดน้อยลง ยังลดการเกิดอุบัติเหตุด้วย
แทนที่จะเครียดกับการจราจรบนท้องถนนลองเปิดเพลงคลอเบาๆเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
บันไดขั้นที่แปด มีความสุขง่ายๆ และรื่นรมย์กับทุกอย่างที่พบเจอ
เรื่องนี้เชื่อมโยงกับการมีสติกับปัจจุบัน แต่เป็นก้าวที่พัฒนาไปไกลขึ้น
ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ขอให้ทำด้วยความสุขและความเต็มใจ
แม้แต่การล้างจานก็สามารถหาความรื่นรมย์ได้ เพียงเปลี่ยนมุมมองซะใหม่
จงเป็นน้ำครึ่งแก้วเสมอ บันไดขั้นที่เก้า ขจัดความเครียดด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าเร่งรีบและเหนื่อยหอบ ลองสูดหายใจเข้าลึกๆให้เต็มปอดสัก
2-3 เฮือก รับรองว่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
และถ้าจะให้ได้ผลยิ่งขึ้นควรมีสติกับทุกลมหายใจเข้าออก โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
...................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตนิรันดร
“ความเชื่อ” เราเชื่อว่าพระรักลูกของพระองค์ทุกคนและพระองค์ได้บอกความจริงให้มนุษย์ทุกคนและมนุษย์ก็เปรียบเหมือนลูกที่ดื้อรั้นไม่เชื่อฟังพ่อแม่
ดั่งชาวยิวที่บ่นกันพึมพำ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา เราเห็นหลายคนที่ในอดีตพวกเขาดื้อ
ทอดทิ้ง ไม่เชื่อฟังพระ แต่แล้ววินาทีสุดท้ายของชีวิต เราได้เห็นความรัก
ความเมตตาที่พระองค์ให้อภัยเขา ให้เขาได้รับพระพรแห่งความเชื่อที่ทำให้เขาได้กลับใจ
จากภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ทำให้เรามีความเชื่อในพระองค์มากยิ่งขึ้น เราต้องกินอาหารทุกๆ วัน ในทุกวันเราต้องคิดและต้องเลือกว่า
จะกินอะไรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
บางอย่างกินเพราะความอร่อย บางอย่างเพราะอยาก บางอย่างเพราะชอบ
อาหารเหล่านี้เป็นอาหารสำหรับร่างกาย แต่สิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตฝ่ายจิตก็คือการรับพระกายของพระองค์
ปังทรงชีวิตนี้ทำให้เรามีพลัง มีกำลัง ทำให้วิญญาณเข้มแข็ง
พระเยซูทรงมอบอาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ให้กับพวกเรา และเราควรจะขอรับปังที่พระองค์ทรงมอบให้กับพวกเราทุกวันและตลอดไป
“มีชีวิต” ทุกๆ วันเราเหมือนคนป่วย หรือบางวันป่วย
ทั้งไม่สบายใจเรื่องปัญหาชีวิตประจำวันหรือเรื่องสุขภาพ เรารู้สึกท้อแท้ ไม่มีแรง
ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ของเราในทุกๆ วัน แต่เมื่อเรามาวัด เรามาแก้บาป
เรามารับศีล มารับองค์พระเยซูเจ้า ทำให้เราดีขึ้น
เราสบายใจขึ้น เราหายป่วย โดยที่เราไม่ต้องกินยาเพราะเรามีพระเยชูเจ้าเป็นยา ที่รักษาชีวิตเราให้ดีขึ้น
“ปังทรงชีวิต” เราเชื่อในชีวิตคริสตัง
เชื่อในศีลศักดิ์สิทธิ์
ว่าศีลศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า ซึ่งอยู่ในตัวเรา และมีฤทธิ์เดชต่อเรามากมาย เมื่อใดก็ตามที่เราประสบปัญหาต่างๆ เราจะนึกถึงศีลศักดิ์สิทธิ์ว่าเรามีพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้าอยู่ เราจะกลัวอะไรกันเล่า เราจะวิงวอนร้องขอพระเยซูเจ้าผ่านบทเพลงต่างๆ เช่น “ขอทูลถวาย” และอีกหลายๆ
เพลงที่เราจะนำมาร้อง มาอ่าน เวลาที่เราท้อแท้ ผจญปัญหา
และต้องการที่พึ่งพระองค์ เราจะมีเพลง “เราได้เสพปัง” เป็นบทเพลง บทสวดที่เพิ่มพลังชีวิตให้เรา อย่างไรก็ตาม
บทเพลงต่างๆ เพื่อปลุกปลอบใจตามแต่วาระที่เราถูกผจญอยู่ แล้วเราก็กล้าที่จะผจญปัญหาต่างๆ ด้วยว่า
เรามีปังทรงชีวิตอยู่ในตัวเรานั้น เราจะนำมาร้อง มาเป็นบทอ่าน
เพื่อปลุกปลอบใจตามแต่วาระที่เราได้รับการผจญอยู่ แล้วเราก็กล้าที่จะผจญปัญหาต่างๆ ด้วยว่า
เรามีปังทรงชีวิตอยู่ในตัวเราอย่างแท้จริง
คพ.พงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น