พี่น้องที่รัก
สัปดาห์นี้มีวันสำคัญหลายวันครับ ประการแรกวันอาทิตย์สัปดาห์นี้
เราสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
ซึ่งเลื่อนมาจากวันที่ 15 สิงหาคม
ทุกปีเรามีวันวันนี้เพื่อฉลองแม่พระซึ่งแม่ฝ่ายจิตวิญญาณของเราคริสตชนทุกคน
พระนางผู้ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุดนั่นคือการเป็นมารดาของพระเยซูคริสตเจ้าพระผู้ไถ่ของชาวเราทุกคน
เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พระเยซูได้ทรงประทานพระนางมารีย์เป็นมารดาของชาวเราด้วย
เราจึงพร้อมใจกันฉลองเทิดเกียรติพระนางผู้เป็นมารดาฝ่ายจิตวิญญาณของชาวเราอย่างพิเศษในวันนี้
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม
ที่ผ่านมาเราชาวไทยต่างร่วมใจกันถวายราชสดุดีแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ โอกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระองค์ท่านอีกคำรบหนึ่ง
ขอพระองค์ท่านจงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญตลอดไป
วันนี้ยังเป็นวันแม่แห่งชาติ
ที่พสกนิกรชาวไทยทุกคนต่างซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณนานัปการที่พระนางเจ้าสิริกิติ์
ที่ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อผองพสกนิกรชาวไทยให้อยู่เย็นเป็นสุข
อีกประการที่สำคัญคือ โอกาสวันแม่ผู้ให้กำเนิด
ครอบครัวทุกครอบครัวคงได้มีโอกาสจัดกิจกรรมแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อแม่ผู้ให้กำเนิดชีวิต
การแสดงความรักที่ลูกพึงแสดงออกต่อมารดาผู้ให้กำเนิดนี้ถือเป็นการแสดงความรักอย่างที่พระเจ้าทรงสอนอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่พึงสนับสนุน
และ สมควรจัดให้มีโอกาสที่ลูกๆจะแสดงความรักความเทิดทูน
ความกตัญญูต่อแม่ผู้ให้กำเนิดด้วยว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อลูกอย่างมากจนยากที่จะหาคำใดๆมาเปรียบได้
มีคำกล่าวว่า "เรามีวันแม่เพียงปีละครั้ง
แต่สำหรับแม่ ทุกๆวันตลอดปีเป็นวันของลูก" ทุกท่านคงเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
ในหัวใจของแม่นั้นทุกพื้นที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อลูกนั่นเอง
วันนี้ให้เราภาวนาวิงวอนพระเจ้าผ่านทางพระนางมารีย์ มารดาพระเจ้า
ผู้ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ โปรดทูลเสนอวิงวอนพระเจ้าเพื่อแม่ของเราทุกคนด้วย
ให้แม่ผู้ให้กำเนิดชีวิตของเรา มีความสุขกายสบายใจ สุขภาพแข็งแรง
และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของครอบครัวตราบนานเท่านาน
พ่อสุพจน์
.......................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
พระสันตะปาปาปีโอที่
12
ได้ประกาศข้อความเชื่อว่า “พระนางมารีย์
มารดาพระเจ้าผู้ปฏิสนธินิรมลและเป็นพรหมจารีเสมอ
ได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
หลังจากบรรลุถึงความสมบูรณ์ของชีวิตในโลกนี้” เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1950
ซึ่งความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่เก่าแก่ที่สุดในพระศาสนจักร
ที่บรรดาคริสตชนแสดงออกต่อแม่พระมาเป็นเวลากว่าพันปี อีกทั้ง เป็นการยืนยันว่า
แม่พระได้รับเกียรติมงคลรุ่งเรืองและร่วมส่วนในชีวิตนิรันดรกับพระเยซูเจ้า
บุตรของพระนาง การรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของแม่พระ
จึงเป็นการมีส่วนในผลแรกแห่งการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า
ในฐานะที่แม่พระเป็นมารดาของพระเจ้า (Theotokos) และมีส่วนในงานไถ่กู้ของพระผู้ไถ่ตั้งแต่เริ่มแรก
ในบทบาทของคนกลางแจกจ่ายพระหรรษทานของพระเจ้าและความหวังของมนุษยชาติ
นักบุญอัลฟอนโซ (St. AlphonsusLiguori: 1696-1787) ยืนยันว่า
พระคริสตเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ร่างกายของแม่พระที่ปราศจากบาปต้องเน่าเปื่อยหลังความตาย
พระนางจึงได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
นอกนั้น
การรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ของแม่พระ
ยังถือเป็นการให้เกียรติและยกย่องผู้หญิงเพราะพระเจ้าได้ประทานพระหรรษทานแก่แม่พระให้บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์และเกียรติสูงส่ง
อีกทั้งยังเป็นการยกย่องคนยากจนและคนถูกกดขี่ที่กล่าวถึงในบทเพลงสรรเสริญของแม่พระ
(Magnificat) ให้ปรากฏเป็นจริง พระเจ้าทรงให้ความสำคัญกับคนยากจน คนเล็กน้อย
และคนสิ้นหวังเป็นลำดับแรกเสมอ
และพระสิริรุ่งโรจน์แห่งการประทับอยู่ของพระองค์ในโลกปรากฏชัดในบุคคลเหล่านี้
เมื่อทูตสวรรค์มาปรากฏกับเธอและการตอบสนองของเธอเปลี่ยนชะตาชีวิตของเธอและส่งผลต่อชะตากรรมความเป็นความตายของมวลมนุษยชาติ
แน่นอนเธอเป็นปุถุชนคนธรรมดา ซึ่งเกิดความกลัว ทูตสวรรค์จึงตรัสแก่เธอว่า “อย่ากลัวเลย (ลก.1.30-32)
เธอประหลาดใจ เธอจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเลือกจะเชื่อฟังทูตสวรรค์ที่มาประกาศถึงน้ำพระทัยยิ่งใหญ่และแผนการณ์แห่งความรอดของมวลมนุษย์
จะเลือกก้าวต่อไปบนทางชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา หรือจะใช้เหตุผล
วิจารณญาณของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เช่นเธอ
เธอจะเป็นแม่ที่จะเลี้ยงลูกที่จะโตเป็นพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดได้หรือ? เราเห็นบทเรียนของแม่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างน้อย 3 ประการ
1. เธอรับด้วยความเชื่อ
หากถามว่าอะไรที่เป็นเครื่องมือในการเข้าหา และรู้จักกับพระเจ้า คำตอบคือ
ความเชื่อ โรม 1.17 “...โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ
สุดท้ายก็ความเชื่อ..คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ” การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
ถือได้ว่าสำหรับนางมารีย์แล้ว เธอเผชิญกับวิกฤตครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกคือการบังเกิดอย่างอัศจรรย์ ครั้งที่สอง
คือการสิ้นพระชนม์ของบุตรสุดที่รักของนางบนไม้กางเขน
ถ้าเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเธอกำลังจะตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แต่หาเป็นหญิงพรหมจารีย์
ถือว่าเป็นคำพิพากษาประหารชีวิต เพราะเธอต้องถูกหินขว้างตาย
เธอยังไม่เข้าใจแน่ชัดว่าจะหาทางออกอย่างไร? ต่อปัญหาที่จะเกิดตามมา (consequence) ซึ่งเธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่เธอใช้ความเชื่อรับเอา
ซึ่งเป็นแก่นแท้หัวใจคริสตัง ฮบ.11.1-2 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า
สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
โดยความเชื่อนี้เองคนในสมัยก่อนก็ได้รับการรับรองจากพระเจ้า
เกิดจากความศรัทธาในพระเจ้า ศรัทธาในพระเจ้าเกิดจากความรู้ที่มีต่อพระเจ้า
(การรู้จักพระเจ้า) เกิดขึ้นโดยการอ่านพระคัมภีร์
ความเชื่อดูเหมือนจะเกี่ยวกับอนาคต ความศรัทธาเกิดจากการสะสมประสบการณ์ในพระเจ้า
จากอดีตที่ผ่านมาสร้างความศรัทธาได้ เราจะฟูมฟักความเชื่อได้อย่างไร? คำตอบคือ เรียนพระคัมภีร์
บางคนอ้างว่าเบื่อเรียนพระคัมภีร์เพราะเป็นภาคทฤษฎี แต่ถ้าอยากออกปฏิบัติ
ออกไปรับใช้โดยไม่มีความเชื่อที่ดี ชีวิตก็พัง
2. การรับใช้อันยาวนาน
การดูแลลูกคืองาน 24 ชม. ต้องมีความอดทน ถ่อมใจ
พระเยซูคริสต์เป็นเด็กดีที่เชื่อฟังอย่างสุดๆ นางมารีย์คงต้องสอนพระคัมภีร์ให้พระเยซูอย่างแน่นอน
การเชื่อฟังดีกว่าช่อดอกไม้วันแม่ คำอวยพรวันแม่ การ์ดอวยพร เค้กวันแม่หรือพาแม่ไปทานข้าวนอกบ้าน
ท่านเชื่อไหมว่า พระเยซู แม่ไม่ต้องเรียกหลายครั้ง ตอนเป็นเด็ก
หรือไม่ต้องเตือนแล้วเตือนเล่าตอนเป็นวัยรุ่นแต่ทรงเติบโตด้วยปรีชาญาณอันบริบูรณ์ของพระเจ้า
3. ความเสียสละอย่างใหญ่หลวง
ลก.2.29-32/34-35 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข
ตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย
เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์”...
...แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา
แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อน
ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น
และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง
ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย” ลูกเจ็บ-แม่เจ็บด้วย
(ยน. 19.26-27) “เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์
และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด”และพระองค์ตรัสแก่สาวกคนนั้นว่า
“จงดูมารดาของท่านเถิด” ถ้าพระเจ้าต้องการใช้ลูกของท่านเป็นผู้รับใช้
ท่านยอมหรือไม่?
มาเรียเอ๋ย เธอทราบไหมว่า
พระเยซูเดินบนน้ำ รักษาคนป่วยให้หาย ช่วยคนตายให้ฟื้น ห้ามพายุ ขับผีร้าย เป็นผู้ช่วยให้รอด
มีวันหนึ่งแก้มที่เธอเคยถูกท่านจุมพิตนั้น คือ ใบหน้าของพระเจ้าซึ่งวันหนึ่งเธอต้องยืนดูลูกของเธอตายต่อหน้าต่อตา
ซึ่งไม่มีแม่คนไหนรับได้
หวังว่าการสมโภชวันนี้พี่น้องคงได้ข้อคิดและข้อปฏิบัติที่ช่วยบรรลุสวรรค์เช่นกัน
คพ.พงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น