พี่น้องที่รัก
สัปดาห์นี้พ่อขอนำ เรื่องแนวการปฏิบัติตัวเมื่อมาร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณมานำเสนอให้พี่น้องได้อ่าน
เผื่อว่าจะมีอะไรที่ช่วยให้เราปรับปรุงปฏิบัติตนได้เหมาะสมยิ่งขึ้นเมื่อมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณที่วัด
ข้อปฏิบัติเมื่อมาร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณ
1.
เตรียมตัวด้วยการละเว้นการทานอาหาร
เพื่อจะเป็นการเตรียมตัวรับศีลมหาสนิทอย่างดี
พระศาสนจักรกำหนดให้งดหรือละเว้นการรับประทานอาหารก่อนการรับศีลมหาสนิท 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ข้อกำหนดนี้ยกเว้นได้สำหรับ ผู้ป่วย หรือ ผู้อาวุโส
2.
มาวัดแต่เนิ่น ๆ เพื่อสำรวมสมาธิ
มีคนเคยถามว่า "การมาถึงวัดช้า หรือ สาย
หมายความว่าอย่างไร?” คำตอบคือ ถ้าเรามาวัด "ไม่ทันการเริ่มเดชะพระนาม" ก็ถือว่ามาวัดสายแล้ว
เพราะพิธีบูชาขอบพระคุณเริ่มต้นตั้งแต่ขบวนแห่ของพิธีเริ่มเดินออกมา
พ่อจึงอยากแนะนำให้พี่น้องมาถึงวัดล่วงหน้า ก่อนพิธีจะเริ่มสัก 10-15 นาที เพื่อจะมีเวลาสวดภาวนาและสำรวมจิตใจ และเริ่มพิธีบูชาขอบพระคุณในสภาพที่จิตใจพร้อมจะสวดภาวนาแล้ว ถ้าใครที่มาถึงวัดล่าช้า
พิธีบูชาขอบพระคุณนั้นก็ไม่มีความหมายใด ๆ สำหรับบุคคลนั้น
และยิ่งไปกว่านั้นถ้ากลายนิสัยแล้ว ก็เริ่มที่จะกลายเป็นบาปได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการมาร่วมพิธีในวันอาทิตย์
3.
การแต่งกาย ควรแต่งกายอย่างสุภาพ
เสื้อผ้าที่สวมใส่ต้องไม่เป็นจุดเด่นที่เรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นมากเกินไป
เช่นชุดที่เปิดเผยเสียจนขาดความเรียบร้อย
จำไว้เสมอว่าให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่ท่านมี
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ และร่างกายของท่านก็คือพระวิหารของพระองค์
จงปกปิดเรือนร่างของท่านให้เหมาะสมกับการเป็นที่พึงให้ความเคารพและได้รับการให้เกียรติจากผู้อื่น
4.
ละเว้นการใช้โทรศัพท์
อุปกรณ์สื่อสารใด ๆ เป็นสิ่งที่พึงต้องห้าม
ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์ การส่งข้อความ
การใช้อุปกรณ์เพื่อการสื่อสารในแบบใด ๆ ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
พ่อเห็นหลายคนอดใจไม่ได้กับการใช้โทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดู และ โต้ตอบกันผ่านทาง ไลน์
เฟซบุ๊ค หรือ การท่องเว็บไซท์ต่างๆ
ทำไมเราจะอุทิศเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเดียวนี้ให้กับพระเจ้าอย่างเต็มที่ไม่ได้เชียวหรือ
เวลาที่เรามีให้กับพระเจ้าก็น้อยอยู่แล้ว
เรายังมาเบียดบังเวลาของพระองค์ไปเสียด้วยการไม่ยอมอดใจละเว้นจากการใช้โทรศัพท์
หรือ แทบเล็ตในช่วงเวลาของการมาสวดภาวนาอีก
5.
การไหว้ หรือ การย่อเข่า ถวายความเคารพแด่พระเจ้า
เมื่อเราก้าวเข้ามาในวัด เราตระหนักดีว่าพระเยซูทรงประทับอยู่ในตู้ศีลมหาสนิท เราจึงสมควรต้องแสดงความเคารพ
ถวายคารวะแด่พระองค์ ด้วยการไหว้ หรือ การย่อเข่าข้างหนึ่งลงจนจดลงถึงพื้น
เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเคารพต่อพระเจ้าที่ประทับอยู่ในวัดแห่งนั้นพระองค์รอคอยการมาถึงของเราเพื่อจะประทานพระพรและสันติสุขให้กับเรา
6.
การมีส่วนร่วมในพิธีอย่างแข็งขัน
เพื่อจะมีส่วนร่วมในการชุมนุมภาวนาของกลุ่มคริสตชน
เราพึงแสดงออกภายนอกด้วยการมีส่วนร่วมในอากัปกิริยาที่หมู่คณะแสดงออกอย่างแข็งขัน
ไม่ว่าจะเป็นการยืน การคุกเข่า การนั่ง การโต้ตอบกับพระสงฆ์ผู้เป็นประธานในพิธี
และการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เพื่อให้การมาร่วมพิธีของเราทุกครั้งบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบมากที่สุด
7.
การไปรับศีลมหาสนิท
ทุกครั้งที่เราไปรับศีลมหาสนิทให้เราได้แสดงความสำรวม และ
แสดงออกซึ่งความเคารพอย่างสูงสุด พระเยซูกำลังจะเสด็จมาประทับในวิญญาณของเรา
ให้เราตระหนักเสมอว่าชีวิตที่เสื่อมสลายได้ของเรากำลังได้รับชีวิตเหนือธรรมชาติของพระเจ้าเข้ามาเสริมสร้างความเข้มแข็งในตัวของเรา
เมื่อรับศีลมหาสนิทแล้วให้เราสงบและภาวนาในใจสักครู่ ด้วยความชื่นชมยินดี
เมื่อพิธีบูชาขอบพระคุณจบแล้วให้เราแบ่งปันความยินดีนี้กับผู้อื่นด้วย
8.
จงมีใจกว้าง ตามธรรมเนียมแล้วจะมีการเวียนถุงทานเพื่อขอรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา
ให้เราระลึกเสมอว่า การบริจาคเป็นการแสดงออกถึงความใจกว้าง และ
การรู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่น เพื่อความดีส่วนรวม
แต่ละวัดก็จะนำเงินบริจาคนี้ไปทำประโยชน์ในการทำนุบำรุงวัด ซ่อมแซม
และใช้เป็นค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ
เช่นที่วัดของเราก็มีค่าใช้จ่ายจำนวนมากในแต่ละเดือนสำหรับค่าไฟฟ้า น้ำประปา
การซ่อมแซม และปรับปรุงสถานที่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เจ้าหน้าที่ดูแลในส่วนต่างๆ ฯลฯ ดังนั้นเราจึงสมควรที่จะใจกว้างกับการบริจาคเสมอ
วัดของเราไม่มีรายได้ใด ๆ สำหรับการจุนเจือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
นอกจากเงินบริจาคจากพี่น้องเท่านั้น
9.
อย่าเร่งรีบมากเกินไป อย่าพึ่งรีบเร่งออกจากวัด
จนกว่าพิธีจะจบและประธานในพิธีจะเดินออกจากพระแท่นแล้ว แต่กระนั้นก็ดี
ขอแนะนำว่าให้เราใช้เวลาสักครู่ในการคุกเข่า หรือ นั่งเงียบ ๆ ภาวนาขอบพระคุณพระเจ้า
หรือ เพ่งมองพระเยซูเจ้าที่ตู้ศีลมหาสนิท หรือ ที่กางเขนกางวัด
ยิ้มให้กับพระองค์ด้วยจิตใจที่เบิกบาน
หลังจากนั้นให้ออกจากวัดโดยรักษาความเงียบสงบเพื่อไม่เป็นการรบกวนสมาธิของผู้อื่น
พ่อสุพจน์
...........................................................................................................
พี่น้องที่รัก
อาทิตย์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา พระวาจาวันนี้เตือนตัวเราแต่ละคนให้มีความยุติธรรมต่อทุกคนและจงขอบพระคุณพระเจ้าเสมอในชีวิต
และยังต้องนอบน้อมเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ ทุกสามเดือนแรกของปี
พี่น้องทราบไหมว่ามีอะไรเกิดขึ้น
เราแต่ละคนต้องนั่งลงคิดและคำนวณรายรับและรายจ่ายของตัวเรา รวบรวมตัวเลขและนำไปรายงานที่กรมสรรพากร
มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่สรรพากรจะมาเยี่ยมคุณเป็นการส่วนตัว
เราเป็นคนซื่อสัตย์แบบไหนในชีวิต
บางครั้งเรากลัวเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมากกว่ายำเกรงพระเจ้า แล้วบอกกับตนเองว่า
ไม่เป็นไรหรอกของพระเจ้าไว้รอก่อน แต่ของบ้านเมืองรอไม่ได้ต้องรีบจ่าย เดี๋ยวถูกปรับเพิ่ม
หรืออาจเป็นว่าใช้วิธีการหลอกหน้าบัญชี
หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดชนิดเพื่อมิให้ต้องเสียตามเป็นจริง
ในสมัยที่ชาวอินเดียต้องเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ มหาตมะ คานธี
ได้เป็นบิดาผู้สร้างชาติอินเดีย ให้พ้นจากการยึดครองของอังกฤษ ใช้วิธีการไม่ใช้ความรุนแรง
“อหิงสา” ทำให้เขาเป็นที่เคารพนับถือของชาวอินเดียและทั้งชาติและทั่วโลก
มีรูปติดอยู่ตามสถานที่ต่างๆ
แต่มีสถานที่แห่งหนึ่งได้ติดรูปคานธีและรูปพระเยซูคู่กัน
ผู้ที่นิยมนับถือคานธีหลังจากเห็นรูปทั้งสอง เขาได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าโค้งคำนับให้คานธี
แต่ข้าพเจ้าคุกเข่านมัสการพระเยซูเจ้า” สมัยของจักรพรรดิติแบริอุส ซีซาร์
รัฐบาลโรมได้ผลิตเหรียญสำหรับใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยน ด้านหนึ่งเป็นของซีซาร์
อีกด้านเป็นตราของแผ่นดิน ประชาชนตั้งแต่อายุ 14 ปี จนถึง 65 ปี
ต้องเสียภาษีให้รัฐบาลโรมด้วยเงินเหรียญที่ผลิตขึ้นนี้ สำหรับชาวยิวที่เป็นชาตินิยมไม่เห็นด้วยกับการเสียภาษีนี้
จนเป็นที่มาของความเกลียดชังต่อคนเก็บภาษี
ทำให้คนเก็บภาษีต้องใช้มาตรการพิเศษเลยกลายเป็นคนบาปในระนาบเดียวกับหญิงโสเภณีและฆาตกร
แต่พระเยซูเจ้ามิได้คิดเช่นนั้น พระองค์ทรงคบกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป
และได้เรียกคนเก็บภาษีคนหนึ่งให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์
ฟาริสีกล่าวหาพระองค์เพื่อหวังจับผิด
เพื่อให้พระองค์ตกหลุมพราง “เสียภาษีแก่จักรพรรดิซีซาร์เป็นการถูกต้องหรือไม่”
หากตอบว่าต้องเสีย ประชาชนก็จะเสื่อมความนิยมในพระองค์ ถ้าตอบว่าไม่ต้องเสีย
พรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดและชาวฟาริสีจะกล่าวหาพระองค์ว่าเป็นกบฏ
ที่ยุยงให้ประชาชนขัดสู้กับอำนาจของโรมัน
ซีซาร์เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่เทพเจ้าแต่อย่างใด
แต่ก็ควรให้ความเคารพในฐานะผู้ปกครองประเทศที่จะต้องให้ความร่วมมือ
ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและต้องเป็นพลเมืองที่ดี แต่ต้องไม่ขัดแย้งหน้าที่ต่อพระเจ้ากับหน้าที่ต่อบ้านเมือง
เพราะเราต้องแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นใดหมด
ในฐานะเราเป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าแล้วค่อยปฏิบัติหน้าที่ต่อบ้านเมืองอย่างยุติธรรมและเสมอภาค
เพราะทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า เราจึงต้องหมั่นขอบพระคุณและมอบตัวเราทั้งครบแด่พระเจ้าโดยไม่สงวนสิ่งใดไว้สำหรับตัวเราเอง
และต้องดำเนินชีวิตตามจิตตารมณ์ที่แท้จริงแบบคริสตชนโดยมุ่งทำหน้าที่ของเราอย่างดีต่อสังคมและบ้านเมือง
เพื่อให้ความดีไปพร้อม ๆ กัน ไปสู่หลักชัยมิใช่เฉพาะในโลกนี้
แต่เป็นพระราชัยสวรรค์
พ่อพงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น