วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2014

พี่น้องที่รัก
            ช่วงนี้มีข่าวโศกนาฏกรรมที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเกิดขึ้นบ่อยๆ เริ่มตั้งแต่ สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH 370 ที่หายสาบสูญไปหลายอาทิตย์แล้ว ยังค้นหาไม่พบว่าไปลงจอดที่ไหน ซึ่งทุกคนก็เชื่อกันว่าคงจะประสบอุบัติเหตุตก ที่ใดที่หนึ่งในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งในเที่ยวบินดังกล่าวมีผู้โดยสาร ลูกเรือ พร้อมกับนักบินจำนวนสองร้อยกว่าคน ที่ต้องมาเสียชีวิตไปพร้อมๆกัน เรายังมีข่าวเกี่ยวกับรถบัสสองชั้นที่ประสบอุบัติเหตุตกลงเหวข้างทางที่จังหวัดตาก ทำให้ผู้โดยสารเกือบๆ 30 ชีวิตต้องมาจบชีวิตลง เราได้ยินข่าวการสูญเสียของนายร้อยตำรวจตรีสองนายที่ไปฝึกกระโดดร่มที่ชะอำ แต่เกิดอุบัติเหตุร่มไม่กางตกลงสู่พื้นเสียชีวิตต่อหน้าพ่อแม่ที่เดินทางไปให้กำลังใจ และเมื่อสองสามวันก่อน มีข่าวระเบิดขนาดใหญ่ที่เกิดระเบิดขึ้นในร้านรับซื้อขายของเก่าแถวๆลาดปลาเค้า ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมกับบ้านเรือนรอบๆบริเวณที่เกิดเหตุเสียหายจำนวนมากเพราะแรงระเบิด โศกนาฏกรรมเหล่านี้ที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความสูญเสียของชีวิตจำนวนมาก โดยที่เหตุเกิดในลักษณะที่เป็นเรื่องฉับพลัน ไม่ทันตั้งตัว ไม่มีโอกาสได้เตรียมการล่วงหน้า การสูญเสียเช่นนี้นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจของ สมาชิกในครอบครัว ญาติพี่น้อง และบุคคลใกล้ชิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะต้องมาพลัดพรากจากกันในเวลาที่ยังไม่ควรจะเป็น
            ชีวิตมนุษย์ทุกชีวิตนั้นมีค่าสูงยิ่ง แต่ชีวิตก็เปราะบางเกินกว่าที่เรามนุษย์จะคาดคิด การพลัดพรากจากกันมักจะนำมาซึ่งความเศร้า และยิ่งเป็นการพลัดพรากจากกันด้วยความตายที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ยิ่งนำมาซึ่งการสูญเสียที่ใหญ่หลวง เพราะต้องพลัดพรากจากผู้เป็นที่รักของเราไปอย่างชนิดที่ไม่มีวันหวนคืน ในความคิดของมนุษย์โดยทั่วไปความตายจึงเป็นต้นเหตุของความโศกเศร้าอันใหญ่หลวงนี้
            ความตายคืออะไรทำไมต้องตายด้วย? ตายแล้วไปไหน? คำถามนี้เป็นปริศนาที่มนุษย์พยายามแสวงหามาโดยตลอด มีคำอธิบายอะไรบ้างไหมที่พอจะช่วยให้เราพบคำตอบที่ให้ความหวังได้บ้าง ตรงนี้แหละที่พ่ออยากจะนำมากล่าวเพื่อให้เราได้พิจารณาขบคิดกัน คำสอนของพระศาสนจักรช่วยให้เราพบคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องความตาย  ความตายคือการจบสิ้นลงของร่างกาย หรือ สังขารของเรา ซึ่งเป็นจบชีวิตฝ่ายวัตถุ หรือ ฝ่ายโลกของเรามนุษย์ เมื่อมนุษย์เกิดมาในโลก ซึ่งอยู่ภายใต้ของข้อจำกัดในธรรมชาติที่ไม่มีอะไรจีรังถาวร ทุกๆสิ่งในธรรมชาติต่างก็มีเวลาจำกัดด้วยกันทั้งนั้น ทุกสิ่งจึงมุ่งไปสู่ความเสื่อมสลาย และ จบสิ้นลงตามเงื่อนไขในธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ ความตายจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกชีวิตที่จะต้องพานพบ แต่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาให้มีวิญญาณที่สถิตอยู่ในร่างกาย ด้วยเหตุนี้ แม้ร่างกาย หรือ สังขารจะจบสิ้น หรือ ตายลง แต่วิญญาณซึ่งเป็นจิต อันเป็นตัวตนของบุคคลทุกบุคคล จะไม่ตายไปพร้อมกับสังขาร แต่ตรงกันข้ามจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากสังขารที่เสื่อมสลายได้นี้ ไปสู่ความเป็นนิรันดรภาพ ประตูแห่งความตายจึงเป็นก้าวใหม่ของสถานภาพของบุคคลที่วิญญาณนั้นเปิดไปสู่ชีวิตอันเป็นจิตที่ไม่อยู่ในขอบเขตุและข้อจำกัดของธรรมชาติของวัตถุอีกต่อไป ดังนั้นการมาถึงของความตายของบุคคลจึงไม่ใช่การสูญสิ้นที่สิ้นสูญ แต่เป็นการดับลงของสังขารเพื่อเข้าสู่สถานะใหม่ของชีวิตที่อยู่ในสภาวะจิต ซึ่งรอคอยการพิพากษาตัดสินของพระเจ้า ว่าสมควรจะได้ไปสวรรค์ เป็นสุขอยู่กับพระองค์ หรือ อยู่ในสถานะที่ห่างไกลจากพระเจ้า ห่างไกลจากความสุขสมบูรณ์ ที่วิญญาณใฝ่ฝันหา ซึ่งเราใช้คำว่า นรก เป็นคำที่สื่อความหมายถึงสถานะนั้น
            พระเยซูเจ้าทรงชนะความตาย และกลับมีชีวิต เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ และ จะดำรงอยู่ตลอดไป พระองค์ตรัสว่า ในบ้านของพระบิดาของเรามีที่อยู่มากมาย เราไปเตรียมที่ให้กับท่าน ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตนิรันดร ความเชื่อในพระเยซูเจ้าจะนำพาเราไปสู่ชีวิตอมตะที่เปี่ยมไปด้วยความสุข แม้ความตายของสังขารจะชวนให้เราตกอยู่ในความเศร้าหมอง  แต่ชีวิตอมตะที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์ กลับนำความหวังที่ยิ่งใหญ่มาสู่เราทุกคน

คุณพ่อสุพจน์
...............................................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ผู้ที่มิใช่คริสตชนจะรับศีลมหาสนิทได้หรือไม่
            ศีลมหาสนิท เป็นการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระกายของพระคริสตเจ้า การจะเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรคาทอลิกได้ บุคคลนั้นต้องได้รับศีลล้างบาป ดำเนินชีวิต และมีส่วนร่วมในความเชื่อเดียวกันกับพระศาสนจักรก่อน ดังนั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ขัดแย้งอยู่ หากพระศาสนจักรเชิญผู้ที่ยังไม่ได้มีส่วนร่วมในความเชื่อเดียวกันให้เข้ามารับศีลมหาสนิท เพราะจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือต่อความเชื่อในเรื่องการประทับอยู่จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทเสียมากกว่า

            อย่างไรก็ดี คริสตชนออโธดอกซ์ อาจขอรับศีลมหาสนิทในพิธีมิสซาของคาทอลิกได้ เนื่องจากพวกเขามีส่วนร่วมในความเชื่อเรื่องศีลมหาสนิทคล้ายกับของพระศาสนจักรคาทอลิก แม้คริสตจักรออโธดอกซ์จะยังมิได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างสมบูรณ์ก็ตาม ส่วนกรณีสมาชิกในคริสตจักรอื่นๆ นั้น ก็อาจขอรับศีลมหาสนิทเป็นรายบุคคลได้ หากมีความจำเป็นเร่งด่วน และเขาเชื่อในการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทอย่างแท้จริง

            ผลของการรับศีลมหาสนิท จะทำให้เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น เปลี่ยนตัวเราให้เป็นสมาชิกในพระกายพระคริสตเจ้า ที่จะมีความกระตือรือร้น มีชีวิตชีวา และมีพลังในการต่อสู้กับบาป พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่า สักวันหนึ่งเราจะได้นั่งร่วมโต๊ะกับพระองค์อีก ดังนั้น มิสซาจึงเป็นพระหรรษทานที่เต็มเปี่ยม และเป็นมัดจำแห่งความสุขนิรันดรในอนาคตด้วย
“การมีส่วนร่วมในพระกาย และพระโลหิตของพระคริสตเจ้า
ไม่มีจุดประสงค์อื่นใดมากไปกว่า การเปลี่ยนแปลงเราให้กลายเป็นสิ่งที่เราได้รับ”

                                  สมเด็จพระสันตะปาปา เลโอ (400-461)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น