พี่น้องที่รัก
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย
จัดพิธีบูชาขอบพระคุณโอกาสครบรอบ 1 ปีของพระสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
ที่วัดเซนต์หลุยส์ของเรา
ซึ่งต้องนับว่าเป็นเกียรติพิเศษจริงๆสำหรับวัดของเราที่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ในการจัดงานครั้งนี้
ในพิธีนี้มีทั้งพระคาร์ดินัล พระสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย
บรรดาพระสังฆราชจากสังฆมณฑลต่างๆ และ พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง
ตัวแทนองค์กรฆราวาสทุกองค์กร คณะทูตานุทูตและครอบครัว
รวมถึงพี่น้องสัตบุรุษจำนวนมากที่มาร่วมพิธี
ทำให้พื้นที่แทบจะทุกตารางนิ้วในวัดของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของความเชื่อความศรัทธาที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
เพื่อภาวนาวอนขอพระเจ้าเพื่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปา
บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นที่รักของเราคริสตชนคาทอลิกทั่วโลก
พระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ผู้เป็นประธานในพิธี
ในฐานะประธานสภาประมุขบาทหลวงคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้เทศน์ให้ข้อคิดเกี่ยวกับ
พระบุคคลิกภาพ และ ความกระตือรือร้น ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสว่า
พระองค์ท่านไม่ติดอยู่กับความหรูหรา พระองค์ใช้ชีวิตเรียบง่าย ทั้งในการกินการอยู่
การทำงาน การเดินทาง พระองค์คิดถึงผู้คนที่อยู่ชายขอบของสังคม ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
คนยากจนเสมอ
ความเป็นคนยิ้มง่ายและไม่ถือพระองค์นี้ทำให้พระองค์เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั่วโลก
สื่อหลายสำนัก ต่างยกย่องพระองค์ให้เป็น "บุคคลแห่งปี"
เป็นการตอกย้ำถึงการยอมรับของสถานะของพระสันตะปาปาที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อผู้คนในสังคมโลก
พระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดของคาทอลิก
ที่มีแนวทางในการเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระศาสนจักรคาทอลิกไปสู่ความเรียบง่าย และ
ให้ความสนใจกับปัญหาความยากจนของผู้คนในสังคมอย่างชัดเจนที่สุดพระองค์หนึ่ง
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาในพระสมณสมัยของพระองค์ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ
แต่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจจนบรรลุผลเป็นประจักษ์แก่สายตาของผู้คนในสังคมโลก
พี่น้องที่รักเทศกาลมหาพรตดำเนินมาถึงช่วงปลายของเทศกาลแล้ว
จิตตารมณ์ของเทศกาลนี้ท้าทายเราแต่ละคนให้มุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราเช่นกันด้วยการบำเพ็ญกุศลกรรมในชีวิตของเราให้มากขึ้น
โดยการทำกิจพลีกรรมใช้โทษบาป ถือศีลอดอาหาร สวดภาวนา ทำบุญให้ทาน ทำกิจเมตตา
ขอให้ช่วงเวลาที่เหลือในเทศกาลนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เราแต่ละคนจะบำเพ็ญตนให้เข้มข้นขึ้น
เพื่อผลักดันนำพาชีวิตของเราก้าวไปสู่ความดีงามที่สมบูรณ์มากขึ้น กว่าที่เราเคยเป็น
เรามีตัวอย่างที่ดีงามของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสซึ่งเป็นผู้นำจิตวิญญาณของเราแล้ว
ให้เราแต่ละคนมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับพระองค์
ออกก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์
ความศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงเรียกเราเถิด
คุณพ่อสุพจน์
...........................................................................
เราเชื่ออะไร
ศีลศักดิ์สิทธิ์ใดบ้างที่รับได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต
ในจำนวนศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 7
ประการของพระศาสนจักร ศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลบวช
ถือเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่มีการประทับตราซึ่งลบล้างมิได้ในวิญญาณของคริสตชน จึงถือเป็น 3 ศีลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคริสตชนจะรับแค่เพียงครั้งเดียวในชีวิต
เช่นเดียวกับที่คนเราเป็นลูก ก็ย่อมเป็นลูกของพ่อแม่ตลอดไป
ศีลล้างบาป และศีลกำลังก็เช่นเดียวกัน ทำให้บุคคลหนึ่งกลายเป็นบุตรของพระเจ้า
และเป็นเหมือนพระคริสตเจ้าตลอดไป เช่นเดียวกัน ศีลบวชก็มิใช่เป็น “อาชีพ”
ที่ชายผู้หนึ่งกระทำจนเกษียณอายุ แต่ศีลบวชเป็นพระพรแห่งพระหรรษทานที่ลบล้างมิได้
เพราะความรักของพระเจ้าไม่มีวันเสื่อมคลาย
เมื่อเราได้รับการเจิมและถูกประทับตราว่าเป็นดังของพระองค์แล้ว
ผลของศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ก็จะดำรงอยู่ตลอดไป ด้วยเหตุนี้
ศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามประการนี้จึงไม่สามารถมาขอรับซ้ำได้อีก
เหตุที่เราจำเป็นต้องได้รับศีลศักดิ์สิทธิ์
ก็เพื่อชีวิตมนุษย์ที่ต่ำต้อยของเราจะได้เติบโตขึ้น
และค่อยๆคล้ายคลึงกับพระเยซูเจ้า กลายเป็นดังบุตรที่รักของพระเจ้า
และเข้มแข็งเติบโตขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากพระหรรษทานของพระองค์ ศีลศักดิ์สิทธิ์
เป็นพระพรของพระเจ้าที่ทรงมอบแก่พระศาสนจักร มีไว้เพื่อพระศาสนจักร
และโดยทางพระศาสนจักรเท่านั้นที่มีหน้าที่ให้บริการ
และปกป้องมิให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
มนุษย์เราจึงมิอาจใช้ศีลศักดิ์สิทธิ์ตามความต้องการ หรือตามอำเภอใจได้
“โดยทางศีลล้างบาป
เด็กแต่ละคนได้รับการต้อนรับในความรัก และมิตรภาพ ซึ่งไม่มีวันแตกหัก
ไม่ว่าจะในชีวิตหรือความตาย”
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 (8 มกราคม 2006