วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2014

พี่น้องที่รัก
            เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย จัดพิธีบูชาขอบพระคุณโอกาสครบรอบ 1 ปีของพระสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ที่วัดเซนต์หลุยส์ของเรา ซึ่งต้องนับว่าเป็นเกียรติพิเศษจริงๆสำหรับวัดของเราที่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ในการจัดงานครั้งนี้ ในพิธีนี้มีทั้งพระคาร์ดินัล พระสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย บรรดาพระสังฆราชจากสังฆมณฑลต่างๆ และ พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง ตัวแทนองค์กรฆราวาสทุกองค์กร คณะทูตานุทูตและครอบครัว รวมถึงพี่น้องสัตบุรุษจำนวนมากที่มาร่วมพิธี ทำให้พื้นที่แทบจะทุกตารางนิ้วในวัดของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของความเชื่อความศรัทธาที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อภาวนาวอนขอพระเจ้าเพื่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปา บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นที่รักของเราคริสตชนคาทอลิกทั่วโลก
            พระคุณเจ้าจำเนียร สันติสุขนิรันดร์ ผู้เป็นประธานในพิธี ในฐานะประธานสภาประมุขบาทหลวงคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้เทศน์ให้ข้อคิดเกี่ยวกับ พระบุคคลิกภาพ และ ความกระตือรือร้น ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสว่า พระองค์ท่านไม่ติดอยู่กับความหรูหรา พระองค์ใช้ชีวิตเรียบง่าย ทั้งในการกินการอยู่ การทำงาน การเดินทาง พระองค์คิดถึงผู้คนที่อยู่ชายขอบของสังคม ผู้ตกทุกข์ได้ยาก คนยากจนเสมอ ความเป็นคนยิ้มง่ายและไม่ถือพระองค์นี้ทำให้พระองค์เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั่วโลก สื่อหลายสำนัก ต่างยกย่องพระองค์ให้เป็น "บุคคลแห่งปี" เป็นการตอกย้ำถึงการยอมรับของสถานะของพระสันตะปาปาที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อผู้คนในสังคมโลก พระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดของคาทอลิก ที่มีแนวทางในการเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระศาสนจักรคาทอลิกไปสู่ความเรียบง่าย และ ให้ความสนใจกับปัญหาความยากจนของผู้คนในสังคมอย่างชัดเจนที่สุดพระองค์หนึ่ง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาในพระสมณสมัยของพระองค์ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจจนบรรลุผลเป็นประจักษ์แก่สายตาของผู้คนในสังคมโลก
            พี่น้องที่รักเทศกาลมหาพรตดำเนินมาถึงช่วงปลายของเทศกาลแล้ว จิตตารมณ์ของเทศกาลนี้ท้าทายเราแต่ละคนให้มุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราเช่นกันด้วยการบำเพ็ญกุศลกรรมในชีวิตของเราให้มากขึ้น โดยการทำกิจพลีกรรมใช้โทษบาป ถือศีลอดอาหาร สวดภาวนา ทำบุญให้ทาน ทำกิจเมตตา ขอให้ช่วงเวลาที่เหลือในเทศกาลนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เราแต่ละคนจะบำเพ็ญตนให้เข้มข้นขึ้น เพื่อผลักดันนำพาชีวิตของเราก้าวไปสู่ความดีงามที่สมบูรณ์มากขึ้น กว่าที่เราเคยเป็น เรามีตัวอย่างที่ดีงามของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสซึ่งเป็นผู้นำจิตวิญญาณของเราแล้ว ให้เราแต่ละคนมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับพระองค์ ออกก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงเรียกเราเถิด
คุณพ่อสุพจน์
...........................................................................
เราเชื่ออะไร
ศีลศักดิ์สิทธิ์ใดบ้างที่รับได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต

            ในจำนวนศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 7 ประการของพระศาสนจักร ศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลบวช ถือเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่มีการประทับตราซึ่งลบล้างมิได้ในวิญญาณของคริสตชน จึงถือเป็น 3 ศีลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคริสตชนจะรับแค่เพียงครั้งเดียวในชีวิต
            เช่นเดียวกับที่คนเราเป็นลูก ก็ย่อมเป็นลูกของพ่อแม่ตลอดไป ศีลล้างบาป และศีลกำลังก็เช่นเดียวกัน ทำให้บุคคลหนึ่งกลายเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นเหมือนพระคริสตเจ้าตลอดไป เช่นเดียวกัน ศีลบวชก็มิใช่เป็น “อาชีพ” ที่ชายผู้หนึ่งกระทำจนเกษียณอายุ แต่ศีลบวชเป็นพระพรแห่งพระหรรษทานที่ลบล้างมิได้ เพราะความรักของพระเจ้าไม่มีวันเสื่อมคลาย เมื่อเราได้รับการเจิมและถูกประทับตราว่าเป็นดังของพระองค์แล้ว ผลของศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ก็จะดำรงอยู่ตลอดไป ด้วยเหตุนี้ ศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามประการนี้จึงไม่สามารถมาขอรับซ้ำได้อีก


            เหตุที่เราจำเป็นต้องได้รับศีลศักดิ์สิทธิ์ ก็เพื่อชีวิตมนุษย์ที่ต่ำต้อยของเราจะได้เติบโตขึ้น และค่อยๆคล้ายคลึงกับพระเยซูเจ้า กลายเป็นดังบุตรที่รักของพระเจ้า และเข้มแข็งเติบโตขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากพระหรรษทานของพระองค์ ศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพรของพระเจ้าที่ทรงมอบแก่พระศาสนจักร มีไว้เพื่อพระศาสนจักร และโดยทางพระศาสนจักรเท่านั้นที่มีหน้าที่ให้บริการ และปกป้องมิให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด มนุษย์เราจึงมิอาจใช้ศีลศักดิ์สิทธิ์ตามความต้องการ หรือตามอำเภอใจได้
  “โดยทางศีลล้างบาป เด็กแต่ละคนได้รับการต้อนรับในความรัก และมิตรภาพ ซึ่งไม่มีวันแตกหัก ไม่ว่าจะในชีวิตหรือความตาย”
                    สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 (8 มกราคม 2006

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2014

พี่น้องที่รัก
            สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 3 ในเทศกาลมหาพรต แม้จะเป็นสัปดาห์ที่ดูไม่มีอะไรพิเศษในแง่ของพิธีกรรมในระหว่างเทศกาลมหาพรต แต่ก็มีสิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นในวัดของเราในสัปดาห์นี้คือ พิธีฉลองครบรอบ 1 ปีของพระสมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ที่วัดของเราได้รับเลือกให้เป็นสถานที่สำหรับจัดพิธีดังกล่าว ในเวลา 17.30 . ของวันอาทิตย์นี้ พ่อในฐานะพ่อเจ้าอาวาสขอเป็นตัวแทน คณะกรรมการสภาภิบาล และ สัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์ทุกท่าน ขอต้อนรับพระคาร์ดินัล พระสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย พระสังฆราชจากสังฆมณฑลต่างๆ พระสงฆ์ พี่น้องนักบวชชายหญิง คณะทูตและครอบครัว รวมไปถึง ตัวแทนองค์กรคาทอลิกทุกองค์กร และ พี่น้องสัตบุรุษทุกท่านด้วยความยินดีครับ
            สัปดาห์นี้พ่อขอนำเรื่อง “15 ข้อ ฝึกหาความสุขแบบตัดตรง(ไม่หรูหราแต่ได้ผลจริง) มาลงเป็นตอนสุดท้ายครับ
พ่อสุพจน์

15 ข้อ ฝึกหาความสุขแบบตัดตรง(ไม่หรูหราแต่ได้ผลจริง) ต่อจากฉบับที่แล้ว

11. ฝึกให้ตัวเองยอมรับความจริงง่ายๆ
            หมายความว่า อะไรที่ทำผิด อย่าดันทุรัง ให้พูดคำว่า ขอโทษครับ ขอโทษค่ะ ขอบคุณครับ ขอบคุณค่ะ ฝึกพูดคำเหล่านี้ให้เป็นเรื่องปกติ ความผิด ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่การผิดแล้วไม่ยอมรับผิด นั้นเป็นเรื่องเสียหาย และส่งผลเสียกับชีวิตเป็นวงกว้าง เพราะการปรับปรุงตัวนั้นมีจุดเริ่มต้นจากการที่คนๆ หนึ่งรู้ตัวว่าทำไม่ดี ดังนั้นคนที่ไม่รู้ตัว ว่าตัวเองทำไม่ดีแล้วดันทุรัง ก็คือคนที่ไม่มีโอกาส ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ขอให้รู้ว่า เมื่อเราทำผิด ต่อให้ปากแข็งแค่ไหน ดันทุรังแค่ไหน ผิดมันก็คือผิด หลอกตัวเองได้ แต่หลอกคนอื่นไม่ได้ เหมือนเราบอกว่า ไม่เหม็น แต่กลิ่นเหม็นนั้น ถ้ามันมีจริงมันก็ โชยออกมาอยู่วันยังค่ำ

12. ฝึกให้ตัวเองรู้จักเลือกคนต้นแบบที่ถูกต้องตรงธรรม
            หมายความว่า เมื่อคิดจะเลือกใครสักคนมาเป็นแบบ อย่างในการดำเนินชีวิต อย่าไปมุ่งเน้นแต่ความสำเร็จ ด้านเงินทองเพียงอย่างเดียว แต่เราควรให้ความสำคัญ กับคุณค่าในด้านอื่นๆ ด้วยเช่น ความดี คุณธรรม ความเสียสละ เราควรเคารพและชื่นชม ใครซักคนที่ความดีของเขาไม่ใช่รายได้ของเขา ทุกวันนี้ คำว่าความสำเร็จถูกใช้ไปกับเรื่องของเงินๆ ทองๆ มากเกินไป ใครหาเงินได้มาก แปลว่า คนๆ นั้นประสบความสำเร็จมาก ตรงนี้เป็นการให้ คุณค่าที่ผิดพลาด การคิดเช่นนี้ย่อมเป็น การปลูกฝั่งค่านิยมในระดับจิตวิญญาณที่ทำให้เราให้ตกเป็นทาสของเงิน เมื่อเราเป็นทาสของเงินเสียแล้ว เราก็จะเป็นคนที่ฝากความสุขของเราไว้กับเงินด้วย เราเลือกต้นแบบอย่างไร ชีวิตของเรา ก็จะมุ่งหน้าไปทางนั้น สังคมจะดีขึ้นได้ก็เริ่มจาก ทัศนคติของเราตรงนี้นั่นเอง

13. ฝึกให้ตนเองเป็นคนไม่ทะเลาะกับคนใกล้ชิด
            หมายความว่า เราต้องไม่เป็นคนหน้าชื่นอกตรม คือยิ้มไปทั่วกับคนนอกบ้าน แต่กลับมาทะเลาะกับ คนที่บ้าน ขอให้ใช้คนที่บ้านเป็นเครื่องมือ ฝึกจิตใจของตนเอง อะไรที่ยอมได้ก็ขอให้ยอม เสียเปรียบคนในครอบครัวให้มากที่สุด ดีกับเขาให้ เหมือนเขาเป็นคนเดียวกับเรา อย่าเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง นอกบ้าน แต่กลับมาเก่งในบ้าน เพราะมันจะสร้าง แต่ความทุกข์ให้ชีวิต ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ในชีวิตคนเรา  ถ้าหาความสุขจากครอบครัวไม่ได้ ความสุขที่อื่นก็ไม่ต้องพูดถึง ต่อให้หลอกคนทั้งโลก ได้ว่าชีวิตประสบความสำเร็จ แต่ภาพที่สร้างขึ้นมา ก็เป็นแค่ภาพลวงตาที่จะย้อนกลับมาสร้างความละอายใจให้ตัวเองอยู่วันยังค่ำ ยอมพ่อแม่ ยอมลูกเมีย ยอมสามี ยอมคุณตาคุณยายคุณปู่คุณย่า สิ่งดีๆ ที่ทำแล้วชื่นใจ ก็ขอให้ทำให้บ่อย คำพูดดีๆ ที่พูดได้ก็ขอให้พูด ครอบครัวคือรากของมนุษย์ ถ้ารากของชีวิตเน่า ส่วนที่เหลือก็เน่าทั้งหมด

14. ฝึกตัวเองให้เข้าใจคำสอนของศาสนาตน
            หมายความว่า เรานับถือศาสนาอะไรอยู่ ก็ต้องเข้าใจคำสอนของศาสนานั้น แม้ทำตามคำสั่งสอน ยังไม่ได้ แต่ก็ต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ ขอให้ถามตัวเองว่า ทุกวันนี้ หัวใจของศาสนาตัวเองคืออะไร เรารู้แล้วหรือยัง หยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น แล้วลองเขียนดู ถ้าไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรลงไป ก็แปลว่า เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับศาสนาของเรา อย่าหลอกตัวเอง ว่าเรารู้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรจะเขียน นึกเรื่องจะเขียนไม่ออก  ก็แปลว่าเราไม่รู้ เรียบเรียงไม่ได้  ความคิดยังไม่ตกผลึกทั้งๆ ที่นับถือศาสนานี้มาแล้วชั่วชีวิต ย่อมหมายความว่า เราเป็นคนไม่ใส่ใจในศาสนาตนเองเท่าที่ควร ไม่ต้องไปตกใจหรือรู้สึกผิดบาป ทุกอย่างแก้ไขได้ ขอให้รีบปรับปรุงตัวเสียแต่วันนี้ก็ยังไม่สาย ศาสนาเป็นรากของจิตวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะทิ้งๆ ขว้างๆ แล้วค่อยไปใส่ใจในวัยชรา เพราะถึงเวลานั้น ก็คงไม่ทันการแล้ว

15. ฝึกตัวเองให้ค่อยๆ ทำตามสิ่งที่ศาสนาของตนสั่งสอน จนสำเร็จ

            หมายความว่า เมื่อรู้ว่าศาสนาของตนสอนอะไร ก็ขอให้ทำ ทำด้วยความเบิกบาน ไม่จำเป็นต้องทำ ได้ทั้งหมด แต่ขอให้ทำเรื่อยๆ ทำให้ดีขึ้นทุกวัน อย่างน้อย ในแง่ของศีลธรรมก็ควรจะทำให้ได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้อายตัวเองเมื่อคิดจะพูดโกหก เมื่อจะเบียดเบียนผู้อื่น เมื่อจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องตรงธรรม บุคคลในอุดมคติของแต่ละศาสนาไม่ได้เป็นกันง่ายๆ แต่ถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีโอกาสไปถึง สำหรับคนที่ไม่มีศาสนา หรือไม่นับถืออะไร ก็ขอให้นับถือความดี "ความซื่อสัตย์กับความดี"คาถาง่ายๆ  ที่สำหรับ ผู้ไม่มีศาสนา ก็คือ"เราไม่ชอบสิ่งไหนก็อย่าไปทำสิ่งนั้นกับคนอื่น"ส่วนศีลสำหรับคนไร้ศาสนานั้นมีอยู่เพียงข้อเดียวนั่นก็คือ"อย่าขโมยความดีไปจากจิตใจ ของตนเอง"คาถาหนึ่งบท กับศีลหนึ่งข้อ ถ้าทำได้ แม้เป็นคนไม่มีศาสนา ก็ไม่เป็นภาระต่อโลกใบนี้ เรียกได้ว่าเป็นพลเมืองที่ดีของโลกและเพื่อนมนุษย์แล้วโดยสมบูรณ์

วิธีหาความสุขทั้ง 15 ข้อนี้คือสิ่งที่ทำได้ทันที แบบไม่ต้องรีรอ ไม่ใช่เรื่องยากหรือง่าย อยู่ที่จะทำหรือไม่ทำ ข้อไหนสะดวกใจให้ทำก่อน ข้อไหนรู้สึกว่ายากก็เว้นเอาไว้ ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เก็บไปทีละข้อจนครบทั้ง 15 ข้อถึงแม้คุณไม่ได้บรรลุธรรมแต่คุณก็จะเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าที่สุดคนหนึ่งทีเดียว

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2014

พี่น้องที่รัก
            เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพ่อนำ ข้อคิดเรื่อง "15 ข้อ ฝึกหาความสุขแบบตัดตรง (ไม่หรูหราแต่ได้ผลจริง)” มาลงให้พี่น้องได้อ่านไป 5 ข้อแล้ว คราวนี้พ่อขอนำส่วนต่อไป มาเพิ่มเติมให้พี่น้องได้อ่านกันอีกนะครับ

พ่อสุพจน์
"ข้อคิด 15 ข้อ ฝึกหาความสุขแบบตัดตรง"(ไม่หรูหราแต่ได้ผลจริง) ต่อจากคราวที่แล้ว
6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่องของการนินทา
            หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทา แน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า "เรามาถูกทางแล้ว" แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทา ก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเอง ไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา ขอให้รู้ว่า คำนินทาคือของคู่กับมนุษย์โลก มีมาช้านานแล้ว แม้แต่ นักบุญ คนที่สร้างคุณงามความดีไว้กับโลกมากมายยังถูกนินทา แล้วเราเป็นใครจะไม่ถูกนินทา ดังนั้น อย่าไปใส่ใจให้มาก ถ้าอะไรที่ดีเก็บไว้ปรับปรุงตัว อะไรที่ไม่ดี ทิ้งมันไว้ไม่ต้องไปตีราคา สร้างค่าให้คำพูดไร้สาระ ส่วนตัวเราเอง ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกตนเองให้เป็นผู้ไม่นินทาคนอื่นเช่นกัน
7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจากความเป็นขี้ข้าของเงิน
            หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน การยุติความเป็นขี้ข้าของอำนาจเงินนี้ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ ชีวิตทั้งชีวิตของเรา ก็จะเป็นชีวิตที่เกิดมาแล้วตายไปเปล่าๆ ด้วยเหตุที่ว่า ใช้เวลาหมดไปกับการสะสมเงินทองที่เอาไปไม่ได้แม้แต่บาทเดียว
8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ
            หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่าง แต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมด เพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น ซึ่งส่วนใหญ่มันก็เป็นเพียงความถูกต้องที่กิเลสของตัวเองลากไป ไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกต้องตรงธรรมอย่างแท้จริง ดังนั้น การยอมเสียเปรียบ การให้ผู้อื่นด้วยความเบิกบาน จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าที่เราคิดกัน มีแรงให้เอาแรงช่วย มีเงินให้เอาเงินช่วย มีความรู้ก็เอาความรู้เข้าไปช่วย ในหนึ่งวัน เราควรถามตัวเองว่า วันนี้เราได้ช่วยใครไปแล้วหรือยัง เราได้เสียเปรียบใครหรือยัง ถ้าคำตอบคือ "ยัง" ให้รู้เอาไว้เลยว่า เราเป็นอีกคนที่มีแนวโน้ม จะหาความสุขได้ยากเต็มที
9. ฝึกตัวเองให้เป็นแสงสว่างในที่มืด
            หมายความว่า ตรงไหนที่มันมืด เราควรไปเป็นดวงไฟ ส่องทางให้เขา ตรงไหนที่ไม่มีคนช่วย เราควรไปทำ เช่น ลองหาเวลาไป รับประทานอาหารร้านที่ไม่มีลูกค้าเข้า อย่ามุ่งแต่เรื่องกิน ให้การกินของเรามันเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ร้านเขาไม่มีลูกค้า แล้วเราเข้าไปนั่ง มันไม่ใช่แค่เงิน แต่มันหมายถึงกำลังใจ อย่าคิดถึงการบริการที่ดีที่สุด อย่าคิดถึงรสชาติของอาหารให้มากนัก ให้คิดว่า เรากำลังเป็นผู้ให้ เดินเข้าร้านหนังสือ หนังสือเล่มไหน เก่าที่สุด เราอ่านเนื้อหาแล้วสนใจ หยิบมันขึ้นมา แล้วจ่ายเงิน นำมันกลับบ้าน เหลือหนังสือเล่มสวยๆ ไว้ให้คนอื่นๆ ได้ซื้อได้อ่าน อย่าไปบ้ากับการเก็บสิ่งที่ดีที่สุด อย่าไปบ้ากับการปรนเปรอสิ่งที่ดีที่สุดให้ตนเอง แต่ให้เน้นจิตใจที่ดีที่สุด ใช้วัตถุ ใช้เงินเป็นเครื่องมือในการซื้อจิตใจดีๆ สูงๆ สะอาดๆ ของเรากลับคืนมา วัตถุเป็นเรื่องไม่จีรัง แต่จิตใจดีๆ นั้นเป็นทั้งหมดของชีวิต เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้จัก รักษาดูแลเอาไว้ไม่ให้เกิดความเสียหาย
10. ฝึกให้ตัวเองไม่ไหลไปตามอำนาจวัตถุนิยม

            หมายความว่า ต้องรู้จักยับยั้งช่างใจ และมีปัญญาในการมองเห็นว่า อะไรคือสิ่งจำเป็น อะไรคือสิ่งที่เราถูกโฆษณาหลอก เรากำลังเป็นตัวของตัวเอง หรือเรากำลังบ้ากระแสสังคมอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลดความจำเป็นเรื่องแฟชั่น ลดความจำเป็นเรื่องโทรศัพท์ ลดความจำเป็นเรื่องสิ่งของเครื่องใช้ ก่อนจะซื้อ ก่อนจะอยากได้ ให้ลองถามตัวเองว่า เราอยากได้เพราะอะไร เพราะมันจำเป็น เพราะอยากเท่ อยากดูดี ในสายตาของอื่น หรือเพราะอะไรกันแน่  ตอบตัวเองให้ได้ชัดๆ ในเรื่องของความจำเป็นนี้ พูดได้เลยว่า ของในชีวิตส่วนใหญ่ที่เราครอบครองกันอยู่ มีไว้โชว์ มากกว่ามีไว้ใช้
...........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ไปสารภาพบาปได้หรือไม่ แม้มิได้กระทำบาปหนักใด

            แม้โดยทั่วไปแล้ว บาปที่ต้องนำไปสารภาพก็คือ บาปหนักทุกประการที่จำได้ อย่างไรก็ดี พระศาสนจักรแนะนำอย่างเคร่งครัดให้สัตบุรุษไปสารภาพบาปอย่างน้อยปีละครั้ง

            คาทอลิกต้องสารภาพบาปหนักของตน เมื่อถึงอายุที่สามารถรู้ผิดชอบ หากรู้ตัวว่าได้กระทำบาปหนัก เขาต้องไปสารภาพบาปก่อนที่จะรับศีลมหาสนิท เพราะบาปหนักที่ทำไปโดยรู้ตัวและเต็มใจของเขานั้น ได้ทำลายอำนาจความรักของพระเจ้าในหัวใจของเขา จนคิดต่อต้าน และยอมตัดขาดจากพระเจ้า ดังนั้น เพื่อเยียวยารักษาแผลอันเกิดจากบาปหนักนี้ พวกเขาต้องกลับมาคืนดีกับพระก่อนผ่านทางการสารภาพบาปกับพระสงฆ์อย่างจริงใจ
            ขณะที่บาปเบา สามารถขอโทษพระเจ้าได้โดยตรงเลย เพราะถือเป็นการกระทำอย่างไม่เต็มใจ หรือทำไปโดยไม่มีความรู้อย่างเต็มที่ถึงความร้ายแรงของสิ่งที่ตนทำ ผลของบาปพวกนี้ได้ทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าก็จริง แต่มิได้ถึงกับยอมตัดขาดจากพระองค์เหมือนอย่างบาปหนัก

            อย่างไรก็ดี แม้มิได้กระทำบาปหนัก ก็สามารถไปสารภาพบาปเบาได้ เพราะการสารภาพบาปถือเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่แห่งการเยียวยารักษา ซึ่งจะนำเราใกล้ชิดกับพระมากขึ้น แม้แต่บรรดานักบุญก็ยังไปสารภาพบาปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเติบโตในความสุภาพถ่อมตน และเพื่อรับความรักความเมตตาจากพระเจ้า แต่เหนืออื่นใดหมด พระไม่ได้ทรงปรารถนาให้เราแค่บอกบาป ต้องไม่ลืมว่า เราควรสำนึกถึงบาปอย่างแท้จริง และปรารถนาจะปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นด้วย  เพราะนี่คือหัวใจของการมาสารภาพบาป
“เฉพาะผู้ที่รำพึงอย่างจริงจังว่า ไม้กางเขนนั้นหนักมากเพียงใดเท่านั้น
 จึงจะเข้าใจดีว่า บาปของตนนั้นหนักหนาเพียงใด”

                   นักบุญ อัลเซล์ม แห่งแคนเทอเบอรี (1034-1109)

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2014

พี่น้องที่รัก
            ช่วงเวลาของเทศกาลมหาพรตหมุนเวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งแล้ว พ่อขอเชิญชวนให้พี่น้องทุกท่านก้าวเข้าสู่เทศกาลนี้ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำชีวิตของเราให้บริสุทธิ์งดงามยิ่งขึ้น ด้วยการฝึกฝนคุณธรรมต่างๆที่ช่วยให้ชีวิตของเราสวยงามขึ้น เฉกเช่นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ช่วยให้กายของเรางดงามขึ้น พ่อจึงอยากนำข้อคิดดีๆที่อ่านพบมาแบ่งปันให้กับพี่น้องได้อ่านกัน ขออภัยที่ไม่สามารถอ้างอิงใส่เครดิตผู้เขียนได้ เพราะไม่พบรายละเอียดส่วนนี้ในส่วนที่พ่ออ่านเจอครับ ข้อเขียนนี้มีชื่อว่า 15 ข้อ ฝึกหาความสุขแบบตัดตรง (ไม่หรูหรา แต่ได้ผลจริง) พ่อจะค่อยๆทยอย นำข้อเขียนนี้ลงในเนื้อที่ตรงนี้ซึ่งมีอยู่จำกัดจนกว่าจะครบ ก็แล้วกันนะครับ

คุณพ่อ สุพจน์

15 ข้อ ฝึกหาความสุขแบบตัดตรง (ไม่หรูหรา แต่ได้ผลจริง)

1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้
            หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมาก อย่าปล่อยให้จิตใจวนไปวนมากับความรู้สึกของตัวเอง เหมือนจมอยู่ในอ่าง ลองเปิดตามองไปรอบๆ แล้วมองให้เห็นว่า คนบนโลกนี้ มีมากมายแค่ไหน ตัวเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลก ดังนั้นก็อย่าไปให้ความสำคัญกับมันมากนัก ทุกข์บ้าง ผิดบ้าง เรื่องธรรมดา
2.  ฝึกตัวเองเป็นนักไม่สะสม
            หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดีนอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย ในแง่ของความสุข เราไม่จำเป็นต้องสะสมอะไรเพื่อให้มีความสุข วิธีมีความสุขของคนเรามีมากมายหลายอย่าง และเราไม่ควรเลือกวิธีที่สร้างภาระให้กับตนเอง
3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ
            หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หัดเว้นที่ว่างไว้ให้ความผิดพลาดบ้าง ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องไร้ที่ติ การผิดบ้างถูกบ้างเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เพียงแต่เราต้องรู้จักปรับปรุงตนเองไม่ให้ผิดพลาดบ่อยๆ ซ้ำๆซากๆ
4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดแต่ในสิ่งที่ดีๆ

            หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมาก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำและขุ่นมัว คนที่พูดจาไม่ดี แม้ว่าคำพูดจะดูฉลาดหลักแหลมเพียงไรมันก็คือความโง่ชนิดหนึ่ง คนที่พูดแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่น นับเป็นคนหาความสุขได้ยากนัก
5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเสมอ

            หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเรา จนวันตาย ดังนั้น อย่าไปเสียเวลาคิดมาก อย่าไปย้ำคิดย้ำทำ อย่าไปหลงยึดไว้เกินความจำเป็น ให้รู้จักธรรมชาติของมัน การยึดติดกับวัตถุ บุคคล หรือความรู้สึกจนเกินเหตุ คือปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนเราเกิดความทุกข์ ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ และต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนปล่อยวางอะไรง่ายๆ เข้าไว้
............................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ในการไปสารภาพบาป ต้องเตรียมตัวอย่างไร
            องค์ประกอบสำคัญของการสารภาพบาปทุกครั้ง คือการพิจารณาบาปอย่างดี พร้อมกับการเป็นทุกข์ถึงบาปของตน ก่อนจะไปสารภาพบาปต่อพระสงฆ์ และทำกิจใช้โทษบาปให้ครบ
            สิ่งที่เรียกร้องในการให้อภัยบาป คือบุคคลนั้น ต้องกลับใจ และพระสงฆ์ให้อภัยบาปของเขาก็ในนามของพระเจ้า ดังนั้น นอกจากจะต้องพิจารณาบาปอย่างตั้งใจที่สุดแล้ว ยังต้องตระหนักว่า ไม่มีทางจะสามารถหลุดพ้นจากบาปได้ หากปราศจากความสำนึกผิดที่แท้จริง ซึ่งมิใช่เพียงแค่การพูดออกมาเท่านั้น หากแต่เป็นความตั้งใจที่จะไม่กลับไปทำบาปนั้นอย่างง่ายๆอีก ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนให้ดีขึ้น ด้วยความหวังในความช่วยเหลือของพระเจ้า
            ส่วนการใช้โทษบาป ซึ่งพระสงฆ์ผู้ให้อภัยบาปกำหนดให้กระทำ เพื่อชดเชยความผิดที่ได้กระทำนั้น มิใช่เพื่อให้คิดหมกมุ่นแต่ความไม่ดีของตัวเอง แต่การใช้โทษบาป จะเป็นเหมือนการปลดปล่อย และส่งเสริมให้ได้เริ่มต้นปรับปรุงตัวเองใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่เพียงแต่ในความคิด แต่เริ่มแสดงออกด้วยการกระทำ ด้วยการกลับไปแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดเท่าที่จะสามารถทำได้ การใช้โทษบาปยังอาจกระทำได้ด้วยการภาวนาให้กับบุคคลที่เราทำผิดต่อเขา หรือภาวนาให้กับตัวเองได้เข้มแข็งขึ้นที่จะไม่ยอมตกในบาปง่ายๆ การจำศีลอดอาหารก็ดี หรือการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งด้านฝ่ายจิต หรือวัตถุสิ่งของ ล้วนเป็นการชดใช้ต่อสิ่งที่เคยเป็นความเห็นแก่ตัวของตนได้
“เมื่อล้มลง จงลุกขึ้นทันที อย่าปล่อยให้บาป
อยู่ในใจของท่าน แม้แต่ครู่เดียว”
                                                            นักบุญ ยอห์น เวียนเนย์ (1786-1859